ช่วงเวลาที่เราต่างฝ่ายต่างกำลังทำเรื่องผิดผีกันอยู่ที่ระเบียงของห้องตัวเอง ฉันหลับตาลงไม่ใช่เพราะรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับริมฝีปากร้อนดังกล่าว แต่เป็นเพราะฉันกำลังยอมรับชะตากรรมของตัวเองที่กำลังจะเกิด
แต่ก็ใช่ว่าฉันตั้งใจจะยอมเขาอยู่ฝ่ายเดียว เพราะในหัวพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา แค่เพียงว่าตอนนี้คงต้องยอมตามน้ำไปก่อน เพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้ แค่การกระทำที่เขาใช้แบลกเมล์น่ะ มันไม่สามารถผูกมัดความรู้สึกของฉันได้ไปตลอดกาลหรอกนะ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมามันก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ดี…
ผู้ชายคนนี้คงจะไม่รู้เลยสินะว่าสาวเหนือต่อให้ภายนอกจะดูอ่อนช้อย ไม่ทันคน ไม่รู้ความ แต่ภายในน่ะแข็งแกร่ง เข้มแข็งยิ่งกว่าอะไร เคยได้ยินประโยคนี้ไหม ‘ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับไม่โกง’ และถ้าเขาคิดว่านังพริกคนนี้จะยอมถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ฝ่ายเดียว ใสเจียเสียใจ เขาคิดผิด!
ชั่วขณะหนึ่งริมฝีปากร้อนที่กดทับลงมาบนผิวปากก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว ผละออกไป ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าอ้ายกอล์ฟจะผละริมฝีปากออกไปเลยทีเดียว เขายังคงค้างเอาไว้ในระยะที่ใกล้ จนสามารถรับรู้ลมหายใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
“กฎของการลงเรือลำเดียวกัน มีไม่กี่ข้อนะรู้ไหม?” คนตัวสูงตรงหน้าพูดติดกระซิบ วินาทีที่สายตาของเขาจ้องลึกเข้ามาในตาฉันอย่างตรงๆ แสดงความต้องการของตัวเองออกมาแบบไม่ปิดบังความรู้สึก “ข้อแรก พริกต้องเป็นของพี่…”
เขาเว้นช่วงหายใจครู่หนึ่ง โดยใช้นัยน์คู่เดิมกวาดมองฉันตั้งแต่หัวจรด สำรวจไปทั่วดวงหน้าอย่างถือสิทธ์ ขณะเดียวกันเขาก็ผละตัวออกไปยืนในท่ากอดอกด้วยเช่นกัน จากนั้นถึงได้กล่าวเสริมขึ้นว่า
“ข้อสอง พริกห้ามเป็นของใคร” ปากเขาน่ะพูดไปขณะมืออีกข้างเริ่มกำกระชับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแน่นขึ้น “ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ก็อต…”
รอยยิ้มร้ายกระตุกเหยียดขึ้นเมื่อสิ้นเสียงประกาศิต อ้ายกอล์ฟเลื่อนโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเองอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งเสียงเรียกปลายสายเสมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โหล…ไอ้ก็อตยังอยู่ป่ะวะ? …เออ ไม่มีไร…คนข้างห้องกูเขาทำของตรงมาที่ระเบียงห้องกู…” ฉันสะอึกเมื่อจู่ๆคนตัวใหญ่ตวัดสายตาใส่ฉัน ใบหน้ายังคงรอยยิ้มเลวร้ายเอาไว้ดังเก่า ก่อนพูดออกมาคล้ายกับตั้งใจให้ฉันได้ยิน “กูก็เลยเก็บให้เขา…”
แต่ก็ใช้ว่าเขาจะพูดจาร้ายกาจแบบนั้นใส่ฉันแต่เพียงอย่างเดียว อ้ายกอล์ฟยังคงทำตามกติกาที่ให้ไว้ระหว่างเราด้วยเช่นกัน
“เมื่อกี้ลองดูหน้าคนข้างห้องใกล้ๆ แล้วแม่งก็ไม่ได้เหมือนน้องพริกของมึงเท่าไหร่ แย่ว่ะๆ…เออ…แล้วนี่มึงอยู่ไหนเนี่ย?...”
ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจฉันแล้ว แต่เลือกที่จะเดินห่างออกไปคุยโทรศัพท์อีกฝากของระเบียง จนแทบไม่ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างเขากับอ้ายก็อตอีกต่อไป ฉันเลยอาศัยจังหวะนั้น หันหลังกลับเข้าห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อวางแผนเตรียมตัวตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทว่า
“เฮ้ย! จะไปไหนอ่ะ?” เสียงตะโกนไล่หลังของอ้ายกอล์ฟที่ไม่น่าจะสนใจฉันอีกต่อไปแล้ว กลับดังขึ้น หยุดทุกความเคลื่อนไหวของฉันให้ชะงักลง
ฉันไม่ได้หันไปมองหน้าเขา แต่ไม่ใช่กับหูที่เงี่ยฟัง ขณะมือจับด้ามประตูเลื่อนเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวซะนะ” เขากำลังออกปากสั่ง เหมือนอย่างที่เขาต้องการอยากให้เป็น “เสร็จแล้วก็เดินมาห้องพี่หน่อย…”
เขากำลังใช้สิทธิ์ที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่
“เราจะได้หาอะไรสนุกๆ ทำกัน”
“หนูไม่…” ฉันพยายามจะปฏิเสธแต่เขาไม่ฟัง
อ้ายกอล์ฟใช้มือเลื่อนเปิดบานประตูก่อนพาตัวเองเดินกลับเขาไปในห้อง โดยทิ้งท้ายไว้สั้นๆ ว่า
“อย่าให้ต้องรอนาน...ไม่งั้นเรื่องของเราถึงหูไอ้ก็อตแน่”
ตึง!!
เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันตอบโต้กลับ มิหนำซ้ำยังปิดกระแทกประตูระเบียงห้องตัวเองอัดหน้าอย่างเสียมารยาท จนต้องเบ้ปากใส่อย่างนึกโมโห นอกจากเขาจะเห็นแก่ตัว เผด็จการแล้ว เขายังเป็นผู้ชายที่ไร้มารยาท ต่างจากอ้ายก็อตที่ฉันรักโดยสิ้นเชิง
คอยดูเถอะถ้าฉันหาทางหลุดจากข้อตกลงบ้าๆ ที่เขาใช้ข่มขู่ได้เมื่อไหร่ หมอนี่ต้องโดนเอาคืนหนักเป็นสองเท่าแน่ๆ!
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พาตัวเองกลับเข้ามาในห้องพักของตัวเองในที่สุด ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มีเพียงความเงียบและให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว
ฉันทิ้งตัวลงใส่เตียงนอนขนาดใหญ่ พลางเหลือบมองกองผ้าห่มที่ดันห่อติดตัวกลับมาที่ห้องเมื่อเช้า พอได้เห็นมันก็อดเจ็บใจตัวเองขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ที่ดันหลงเชื่อคำพูดของผู้ชายข้างห้องจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขนาดนี้
“เฮ้อออ” ฉันถอนหายใจยาวๆ อย่างนึกเหนื่อยหน่าย ใจหนึ่งก็อยากโทรหาแม่ เพื่อที่ว่าจะได้ระบายความอึดอัดออกไปบ้าง แต่อีกใจก็ไม่อยากที่จะทำอะไร อยากนอนโง่ๆ ขังตัวเองอยู่ในห้องแบบนี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ฉันปล่อยตัวเองให้นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง จนกระทั่งความเงียบและความสงบสุขภายในห้องพักหมดสิ้นลง
กึก! กึก! กึก!
เสียงเคาะผนังดังขึ้นเป็นจังหวะสามช่า จิตใต้สำนึกบอกได้ทันทีว่าเสียงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความผิดพลาด หากแต่เกิดขึ้นจากการกระทำที่เจตนา โดยเฉพาะเมื่อต้นสายปลายเสียงมาจากห้องของอ้ายกอล์ฟ!
และดูเหมือนว่าเขาจงใจทำเสียงดังบนผนังไม่หยุด แถมยังดูจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดทั้งมวลนั่นอาจเพราะเขากำลังเร่งหรือไม่ก็กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉันอยู่ก็เป็นได้
ตอนแรกก็กะไม่สนใจหรอก แต่ยิ่งปล่อยไว้เสียงเคาะผนังก็ยิ่งสร้างความรำคาญจนใจ๋ขึ้น(โมโห)อย่างบอกไม่ถูก
“อ้ายกอล์ฟจะเคาะอะหยังนักหนา เสียงดังขนาด เฮารำคาญ!” เพราะงั้นฉันก็เลยตะเบ็งเสียงต่อว่ากลับไป ขณะยังนอนทิ้งกายอยู่บนเตียง ซึ่งเสียงที่ฉันได้รับตอบกลับมาจากห้องข้างๆ นั้นมันดันเป็น
“ฮัลโหลไอ้ก็อตเหรอ กูมีเรื่องจะปืดสะก๊าดกับมึงเยอะเลยยย!”
โค๊ะะะะะ! บ่าปอบนี่!!!
เพราะไอ้คำขู่บ้าๆ ที่เขาจงใจตะเบ็งเสียงลอดกลับมาให้ได้ยินนั่นแหละ จากที่นอนโง่ๆ อยู่บนเตียง ฉันก็จำต้องดีดตัวลุกจัดการกับตัวเอง อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยภายใน 10 นาที
และใช่! ข้อตกลงที่เขาใช้บังคับขู่ฉันมันทำฉันหอบผ้าห่มผืนหนาพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักข้างๆ
ไม่ต้องเคาะประตูตามมารยาทให้เสียเวลา เพียงแค่เท้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ประตูก็เปิดโดยอัตโนมัติแล้ว เหมือนกับว่าบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของห้องกำลังรออยู่
“มาช้าไป 40 นาที” คนแสนเผด็จการ เหลือบมองนาฬิกาในห้องตัวเอง ก่อนหันกลับมามองฉันในท่ากอดอก
“หนูมัวแต่จัดของ” ฉันตอบแก้ต่างให้ตัวเองแบบไม่มองหน้า
“จัดของหรืออู้?”
“อ้ายกอล์ฟอย่ามาใส่ร้ายเน้อ น้องจัดของ บ่ได้มีเวลาว่างยะหยังเหมือนอ้ายกอล์ฟเน้อ!” ฉันรัวคำพูดออกไปแบบไม่ต้องคิด แต่เขาดันส่งเสียงขัด
“แปล!” อ้ายกอล์ฟยืนกอดอก ทำลอยหน้าลอยตา ก่อนจะพ่นประโยคถัดมาคล้ายกับตำหนิ “บอกแล้วไม่ใช่ไงว่าให้เลิกพูดภาษาเวรๆนั่นซะ?”
“หนู…” ฉันนี่ก็บ้าเนอะ ทำไมถึงต้องรู้สึกผิดต่อคำต่อว่าของเขาด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่ภาษาเหนือมันเป็นภาษาบ้านเกิดของฉันแท้ๆ แต่ยังพูดไม่ทันสิ้นวลีแรก อ้ายกอล์ฟก็ง้างปากถามออกมาอีก
“ใส่กางเกงอะไรมา?” คำถามของเขาทำฉันรีบก้มมองกางเกงขาสามส่วนที่ใส่มาโดยอัตโนมัติ “ไม่รู้เหรอ ว่าที่เรียกมาห้อง พี่จะให้พริกทำอะไร?”
ฉันรีบเงยหน้าขวับมองหน้าอ้ายกอล์ฟเป็นหนที่สอง และพบว่าเขากำลังเคลื่อนตัวเปิดทางให้ฉันมองเห็นอะไรๆ ในห้องเขาได้ชัดเจนมากขึ้น และไอ้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าฉันกลางห้องตอนนี้มันก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเตียงนอน!
“อะ อ้ายกอล์ฟต้องการอะไร… ว๊ายยย”
ฟึ่บ
คนตัวใหญ่ไม่รอฟังฉันถามจนจบด้วยซ้ำ เขาพุ่งมือดึงตัวฉันให้เข้าไปในห้องก่อนปิดประตูห้องลงทันทีและจัดการล็อกกลอนประตูอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงหันมาทางฉันและแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งตามมาด้วยคำถามพานให้หัวใจกระตุกวูบ
“เห็นเตียงไหม?” ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่เขาใช้ถามหรอก แต่รวมไปถึงการกระทำ ที่คนตัวสูงถือวิสาสะคว้ามือลงกับหัวไหล่ของฉันขณะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนระดับริมฝีปากอยู่ชิดติดข้างหู “ทำหน้าที่ของตัวเองให้พี่ดูสิ…”
“อึก…” ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่าห้ามไม่ได้ และอดคิดตามคำพูดของผู้ชายนิสัยร้ายกาจไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วในหัวของเขาอาจจะคิดแต่เรื่องอย่างว่าอยู่ก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำพูดประโยคถัดมา
“ถอดกางเกงออกสิ…”
1 ชั่วโมงให้หลัง…
ฉันถูกบังคับให้ถอดกางเกงที่ใส่มาออก แล้วเปลี่ยนไปใส่บ็อกเซอร์สีเขียวขี้ม้า แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? จากแม่ญิ๋งเมืองเหนือสู่เฟรชรี่เมืองกรุง กลายเป็นแรงงานกะเหรี่ยง ปัด กวาด เช็ด ถู ยิงยาวไปถึงการที่ต้องมานั่งซักผ้า ซักกางเกงในผู้ชายในห้องน้ำ!
จำเป็นไหมที่คนอย่างอีพริกต้องมาทำอะไรแบบนี้ จำเป็นไหม?!
ส่วนไอ้ตัวปัญหาที่ใช้เรื่องน่าอายข่มขู่ฉันน่ะ ตอนนี้เขาน่ะ…
เอะอะก็ว่ารัก เอะอะก็คิดถึง แต่เธอไม่เคยซึ้งไม่เคยเข้าใจ
ไม่เคยทำให้รู้ ไม่เคยทำให้เห็น ไม่ห่วงเลยว่าใครจะเป็นจะตาย
คำพูดที่ไม่เคยคิด ที่จริงก็คือยาพิษ ทำลายชีวิตของคนงมงาย~
“เธอจะรู้บ้างหรือเปล่า~ คิดหรือเปล่า~ ว่ามีใครเขาทุกข์ทน พิษของคำคนร้ายแรงแค่ไหนนนนนนน~~” กำลังเปิดเพลงร็อคดังลั่นห้องแถมยังส่งเสียงคร่ำครวญเพี้ยนๆ ตามเนื้อเพลงอีกต่างหาก
ภาพที่ดูจะอารมณ์ดีจนน่าโมโหของเขา ทำฉันที่แอบลอบมองจากหลังประตูห้องน้ำได้แต่เบ้ปาก ส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความหมั่นไส้ ถ้าหากไม่มีเรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นล่ะก็ ป่านนี้ฉันคงได้ตะลุยเมืองกรุงหรือไม่ก็ออกไปหาอ้ายก็อตตามอย่างที่ตั้งใจไว้แล้วล่ะ!
เมื่อทำอะไรไม่ได้สุดท้ายฉันก็ต้องวนกลับเข้าไปนั่งประจำที่บนเก้าอี้พลาสติกทรงเตี้ย จุ่มมือใส่กาละมังซักผ้าเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
คิดแล้วก็ได้กัดฟันกรอดอย่างนึกโมโห มือคว้าเสื้อผ้าบางส่วนที่ยังซักไม่เสร็จดี ขึ้นจากกาละมังเตรียมที่จะขยี้ ทว่า สิ่งที่ติดมือฉันขึ้นมาเหนือน้ำนั้นมันดันเป็น กางเกงในผู้ชาย!
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง ฉันรีบเหวี่ยงกางเกงในผู้ชายในมือลงใส่ในกาละมังซึ่งเต็มไปด้วยผงซักฟอกอีกครั้ง
“จัดง่าว! ทำไมไม่รู้จักแยกเสื้อผ้ากับกางเกงในนะ!” ส่วนปากก็บ่นไปตามประสา ก่อนที่ในหัวจะคิดแผนการเอาคนดีๆ ขึ้นมาได้ เลยตัดสินใจลุกจากม้านั่งชะโงกหน้าแอบมองผู้ชายนิสัยเสียที่ดูจะอินกับเพลงร็อคอยู่ที่กลางห้อง
พอทางสะดวก ฉันก็เลย…
ตุ้ม!
ค่อยหย่อนเท้าลงไปในกาละมังก่อนจะออกแรงกระทืบเสื้อผ้าที่อยู่ภายในโดยทิ้งความหงุดหงิดและความโกรธแค้นหมอนั่นใส่ลงไปอย่างเต็มเม็ด!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
“บ่าฮ่า!” ฉันสบถออกมาอย่างนึกโมโห ยิ่งได้เพิ่มแรงของฝ่าเท้ากระทืบใส่เสื้อผ้าของเขาด้วยแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกสะใจ ไม่สนด้วยซ้ำว่าน้ำผงซักฟอกจะสาดกระเด็นไปรอบๆ กาละมังหรือไม่ วินาทีนี้ขอแค่ความสะใจของฉันแต่เพียงอย่างเดียวพอ!
ทว่า…
กึก! แอ้ด…
“เฮ้ย! ทำไรอ่ะ?”