“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่า...ไม่โอเคเหรอ ไอ้โตมันบอกเธอสนใจนี่นา ถ้าเธอห่วงเรื่องความปลอดภัยละก็ สาบานเลยว่าไม่มีทางเกิดเรื่องไม่ดี เธอเป็นเหมือนน้องสาวพี่ เธอก็รู้”
“ค่ะ...รู้ดีเลย” ตอบด้วยเสียงอย่างคนละเมอ น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า น้องสาวบ้าอะไร อาทิตย์ก่อนเขายังกดเธอจมเตียงอยู่เลย
“แล้ว...ตกลงไหม ถ้าตกลง พี่ออกจากโรง’บาลก็ย้ายเข้าคอนโดฯ ได้เลย”
มินตรายิ้มเฝื่อนๆ ข่มกลั้นเอาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“มิน...มินทำไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“มิน...มีแฟนแล้ว เขาบอกว่าจะแต่งงานกับมินตอนลูกมินโต”
“โอย...ยัยคนนี้นี่ เรียนยังไม่จบเลย พูดเรื่องแต่งงานมีลูกละ เอาเถอะ ไม่โอเคก็ไม่เป็นไร ความจริงมันก็เป็นเรื่องไร้สาระน่ะ ลืมๆ ไปก็ได้ แต่ถ้ามินเปลี่ยนใจทีหลังก็บอกพี่นะ ถ้าเป็นมินละก็ พี่เชื่อว่าเราต้องเป็นรูมเมทที่เข้ากันได้ดีแน่ๆ”
มินตราได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ ยิ้มทั้งที่ใจกำลังร้องไห้ เธอนั่งมองเขา ฟังเสียงเขาให้ชื่นใจ ก่อนจะขอตัวกลับ เมื่อรู้แล้วว่ายิ่งอยู่ต่อ ก็ยิ่งทรมาน
ประตูห้องถูกเลื่อนออกด้วยมือของมินตรา โตมรมองคนที่เดินหน้าเศร้าออกมา เขารู้สึกแย่แทนมินตราเลย
“มิน...”
น้ำเสียงเฮียโตเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอเลยรีบยิ้มให้
“พี่เตเรียกหาค่ะ เฮียเข้าไปเถอะ”
โตมรก้าวเข้าไปในห้อง มินตราเลยได้นั่งลงข้างนางนวลฉวี อีกฝ่ายดูนิ่งจนเธอกลัวใจ นางเป็น ผอ. มีมาดคุณครูผู้เคร่งการสอน นั่นยิ่งทำให้มินตรารู้สึกกริ่งเกรง
“รู้แล้วใช่ไหมว่าลูกฉันเป็นยังไง”
“ค่ะ”
“เธอได้บอกอะไรเขาหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้บอกอะไร ไม่ได้...ยัดเยียดข้อมูลอะไรให้พี่เขาต้องคิดให้ปวดหัว”
นวลฉวียิ้มทั้งน้ำตา อย่างน้อยยัยเด็กหน้าตาขี้เหร่ที่ลูกชายรักนักหนา ก็ยังรู้ตัวว่าควรต้องทำยังไง
“เขาจำบางเรื่องเมื่อสองปีก่อนไม่ได้ หมอบอกว่าความทรงจำของเขาจะค่อยๆ กลับมา”
“อีกนานไหมคะ”
“เร็วสุดก็อาทิตย์หน้า ช้าสุดก็...ไม่รู้สิ อาจจะหนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือนานกว่านั้น”
“พี่จะหายแน่ๆ ใช่ไหม”
“ฉันก็ได้แต่ภาวนา แล้วเธอล่ะ จะเอายังไงต่อ”
“มินเหรอคะ”
“เธอไม่ควรอยู่ที่คอนโดฯ”
“...มิน...กำลังจะย้ายออกแล้วค่ะ จะย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน”
“ดีใจนะที่ได้ยินอย่างนั้น”
“มินขอมาเจอพี่เขาบ้างได้ไหมคะ”
“ไม่ดีหรอก ฉันว่า...นี่เป็นโอกาสดีที่เธอจะไปซะ”
“คุณป้า...” มินตราเจ็บปวดนักที่ได้ยิน
“เธอไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาสักอย่าง ทั้งฐานะ ชาติตระกูล หรือแม้แต่หน้าตา” นวลฉวีมองคนที่นั่งข้างกันอย่างเวทนา ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง
“แต่มินรักพี่เต”
“แล้วไงล่ะ ตอนนี้เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยรักเธอ”
“พูดแบบนั้นหนูเจ็บนะคะ”
“ไม่มีใครไม่เจ็บตอนรู้เรื่องเขาหรอก แต่รู้ไหม คนที่เจ็บที่สุดคือเตชิณ เพราะเขาจำไม่ได้ ถ้าบอกเรื่องของเธอออกไป เธอคิดว่าเขาจะเป็นยังไง เขาจะรับได้ไหม ที่มีผู้หญิงอย่างเธอ...เป็นแฟน”
มินตรานั่งเงียบ ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเท่านี้มาก่อนเลย แม่อาจจะไม่รักเธอ พี่น้องอาจจะมองไม่เห็นหัวเธอ แต่อย่างน้อยที่มหา’ลัย เธอก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่มีสิทธิ์มีเสียงเท่านักศึกษาคนอื่น หรือที่ร้านไอศกรีมที่เคยทำงาน ลูกค้ามารยาทดีๆ ก็ยังพูดกับเธออย่างให้เกียรติ แต่เวลานี้ คำพูดอย่างสุภาพของนางนวลฉวี กลับทำให้เธอรู้สึกอับอาย การมีแฟนอย่างเธอ มันไม่มีอะไรดีเลยเหรอ เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะ เธอก็มีหัวใจ เธอก็พร้อมจะรักเตชิณในทุกทางเหมือนกัน
“เธอยังเด็กนะมินตรา เธอยังมีโอกาสได้พบเจอคนดีๆ ได้ประสบความสำเร็จ ปล่อยมือจากลูกฉันเถอะนะ ถือว่าฉันขอร้อง”
“คุณป้าคะ!?”
ครืดๆ ครืดๆ
เสียงสมาร์ตโฟนสั่นครืดๆ ไม่หยุด จนสุดท้ายก็ต้องล้วงออกมาจากกระเป๋า บางครั้งเจ้ากรรมนายเวรของเรา ก็มาในรูปแบบครอบครัว ที่หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น เธอปัดหน้าจอทิ้งซ้ำๆ ปัดทิ้งไปน้ำตาก็รินไหล
“ถ้าเธออยากได้เงิน”
“หนูไม่ใช่คนแบบนั้น!”
มินตราเถียงทันควัน แต่คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างนวลฉวี มีวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน
“คิดดีๆ มินตรา เธออาจไม่มีวันได้กลับมาอยู่กับเขา อย่าลืมว่าตอนนี้ เธอเป็นคนอื่นสำหรับเขาไปแล้ว คว้าอะไรได้ ทำไมไม่คว้าไปล่ะ ฉันให้เงินเธอได้นะ”
“ความรักที่มินมีให้พี่ มันตีค่าเป็นเงินไม่ได้”
“ได้สิ! ถ้าเธอลองบอกราคามา เธอเป็นคนฉลาดมินตรา ตัดเรื่องความรักบ้าบอนั่นทิ้งไปก่อน นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้อะไรติดมือไปบ้าง จากความสัมพันธ์ที่จู่ๆ มันก็พังลง”
ครืดๆ ครืดๆ
เสียงสมาร์ตโฟนสั่นครืดๆ อยู่ในสมองของเธอ เธออยากจะปามันทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น และพอเธอไม่ยอมรับสาย มารดาก็ส่งข้อความมา และใช่ มันโชว์หราที่หน้าจอ
ติ๊ง!!
‘เอาเงินมาให้ฉันก่อนบ่ายสอง นังมิน! ไปหามาเร็วเข้า!’
นั่นคือคำพูดของแม่ที่พูดกับลูกสาวตัวเอง และใช่ มารดาของเตชิณที่นั่งอยู่ข้างกัน ก็ได้เห็นมันด้วย เหมือนมีคมมีดมากรีดใจเธอซ้ำๆ มันเจ็บ มันละอายใจ เพราะสุดท้ายก็จำต้องพูดออกมา
“สองแสนค่ะคุณป้า ให้หนูสักสองแสนเถอะ หนูจะได้เลิกเป็นลูกของแม่ซะที”
นวลฉวีไม่เข้าใจในประโยคท้ายๆ แต่ความขมขื่นของสาวเจ้า นางรับรู้ด้วยหัวใจ น้ำตาของสาวน้อยที่หลั่งไหล นั่นละคือคำตอบ
“ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม ช่วยลบทุกบัญชีโซเชียลของเธอ เฟซ ไลน์ อีเมลหรืออะไรก็ตามที่เธอมี ที่เธอเคยใช้ติดต่อกับลูกฉัน ลบมันออกไป แล้วเอามือถือเธอให้ฉันด้วย”
ปากของมินตราสั่นระริก มันขมขื่นในสิ่งที่กำลังทำ เธอเจ็บจนชา เหมือนว่าความหวังที่เคยมีมันพังครืนลง
นวลฉวีโอนเงินให้มินตรา ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ เงินสองแสนก็ไปนอนอยู่ในบัญชีของมินตรา และใช่ เพื่อแลกกับสมาร์ตโฟนของเจ้าตัว
“ย้ายของออกไปจากคอนโดฯ เจ้าเต ให้เร็วที่สุด ฉันไว้ใจเธอได้ใช่ไหม หวังว่าเธอจะไม่แอบติดต่อเขาอีก”
“หนูจะพยายามค่ะ”
“ตัดให้ขาด เพราะถ้าเขาจำเธอได้ แล้วรู้ว่าเธอเอาเงินไป เพื่อแลกกับการไม่ต้องเจอเขาอีก เขาก็คงเจ็บปวดเหมือนกัน”
“คุณป้าจะไม่บอกเขาใช่ไหม”
“ถ้าความทรงจำเขากลับมา ฉันจะบอกแค่ว่าเธอไปตามทางของเธอ”
“เขาคงเจ็บถ้ารู้ว่าหนูไม่รอเขา”
“คงเจ็บไม่เท่าตอนที่รู้ว่าเธอจากไปพร้อมเงิน”
มินตราสะอื้นไห้ ศักดิ์ศรีของเธอถูกทำลายเพราะเงินสองแสนนี่ เธอจะจำมันไว้จนตาย เธอต้องทอดทิ้งความทรงจำที่มีเขาไว้เบื้องหลัง และอาจจะต้องฝังมันไว้ในหัวใจ ตลอดไป
เสียงหัวเราะของเตชิณดังมาจากในห้อง เขากำลังคุยเรื่องอะไรสักอย่างกับโตมรอย่างออกรส ไม่ได้รู้เลยว่า ผู้หญิงที่เขาคิดจะแต่งงานด้วย หัวใจกำลังบอบช้ำเพียงไร เธอตัดใจแล้วลุกยืน ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ เธอต้องรีบไปจากเขา ไม่ใช่ว่ารีบไปทำใจ แต่ต้องรีบเอาเงินไปให้มารดา
นวลฉวีถอนหายใจอย่างปลงๆ ในที่สุดยัยเด็กนั่นก็จะหายไปจากชีวิตลูกชายของนาง มันเป็นเรื่องของโชคชะตา คราวนี้แหละ นางจะบงการชีวิตของเตชิณเอง เขาจะได้เจอคนดีๆ เขาจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างที่นางต้องการ