3 (1/2)

3728 คำ
ท้องฟ้าไม่เคยแน่นอน… ช่วงสามทุ่มร้อนตับแตกเสียจนวาต้องลุกขึ้นมาจิบน้ำอยู่หลายครั้ง แต่พอพ้นเที่ยงคืนไปได้ไม่เท่าไร ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย                 เสียงฟ้าและเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นดังเคล้ากันไปมา ทำเอาคนที่เพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ดวงตากลมโตมองไปยังนอกหน้าต่างและพอเห็นท้องฟ้าสีแดงฉาน วาริชก็ถึงกับนอนไม่หลับ เพราะหลังจากนี้ในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ต้องลุกแล้ว เนื่องจากในวันรุ่งขึ้นคุณไฟมีออกกองที่ต่างจังหวัด                 นั่นแปลว่าวาริชต้องตื่นแต่เช้าตรู่…                                 [มัวทำอะไรอยู่ ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่มาอีก] ขนาดได้ยินแค่เสียง วาริชก็รับรู้ได้เลยว่าคนปลายสายกำลังหงุดหงิดเขาเต็มขั้น                 “คุณไฟครับ คือ…ตอนนี้ฝนตกหนักมากเลยครับ แถวหอพักผมไม่มีวินฯออกมาวิ่งเลย ผมไปหาไม่ได้” วาริชว่าเสียงเครียด คิ้วเรียวขมวดคิ้ว เพราะกำลังคิดไม่ตกว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี                 [ขึ้นวินไม่ได้ ก็นั่งแท็กซี่มาสิ] พอได้ยินคำตอบของคุณไฟ วาก็ถึงกับถอนหายใจอัตโนมัติ นี่ถ้าเขาเรียกแท็กซี่ได้ ก็คงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นให้คุณเขาออกปากหรอก แต่ทว่ามันไม่มีนี่สิ วาริชลองเรียกผ่านแอปพลิเคชันแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครรับงาน มันถึงได้เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้                 “ผมลองเรียกผ่านแอปฯแล้วครับ แต่ไม่มีใครรับงาน” วาริชตอบปลายสาย                 [….]                 “งั้นเดี๋ยวคุณไฟรอผมก่อนนะครับ ผมจะรีบไปหาให้เร็วที่สุด”                 [เดี๋ยว!] จังหวะที่จะกดวาง เสียงของคนในสายก็ดังขึ้นอีกครั้ง                 “ครับ?”                 [ฉันว่านายส่งโลเคชันมาให้ฉันดีกว่า เดี๋ยวจะให้คนขับรถไปรับเอง... ไม่อยากรอนายแบบไร้จุดหมาย] คุณไฟว่าเสียงห้วน                 “ได้ครับ งั้นสักครู่นะครับ” หลังวางสายคุณเขาได้ วาริชก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมา เมื่อกี้เขานึกว่าตัวเองจะถูกบ่นจนหูชาแล้วเสียอีก ข้อหาที่ไปหาคุณไฟช้า แถมอีกฝ่ายยังตื่นก่อนที่วาจะไปถึง แต่ยังดีที่คุณไฟปรานีเขาอยู่บ้าง ไม่งั้นคงได้มีน้ำตาตกในตั้งแต่เช้าแน่                 แม้จะถูกคุณไฟเหวี่ยงใส่ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่วาก็ต้องขอบคุณที่อีกฝ่ายเป็นธุระส่งคนมารับให้ เพราะนอกจากจะได้ไปหาคุณเขาตามความต้องการแล้ว วายังไม่ต้องเสียเงินค่ารถสักบาทด้วย                 ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ หลังวาก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้ว ซึ่งในเวลานี้คุณไฟยังอยู่ในชุดนอนและอีกฝ่ายกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟา                 หลังปิดประตูห้องเสร็จ วาก็หันไปมองคุณเขา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วาจะเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายคุณเขาก่อนตามมารยาท                 “อรุณสวัสดิ์ครับ”                 “…..” และแน่นอนคุณไฟไม่เคยตอบกลับมา อีกฝ่ายเลือกที่จะเมินเฉยคำทักทายของวาแล้วถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้                 “รถฉันก็มีหลังคานะ แต่ทำไมนายหัวเปียก”                 “อ๋อ…” วาริชขานรับในลำคอ ก่อนจะอธิบายเหตุผล “พอดีผมโดนฝนนิดหน่อย ตอนวิ่งมาขึ้นรถน่ะครับ”                 “….” เมื่อคุณไฟได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัว เตรียมตัวจะเข้าไปอาบน้ำ                 “คุณไฟครับ! วันนี้คุณไฟอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” วาริชรีบเอ่ยถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินเข้าห้องน้ำไป                 “อะไรก็ได้ ขี้เกียจคิด”                 “แล้ว….!” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถามต่อ โลกของวาก็มืดลงกะทันหัน หลังคุณไฟโยนผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาคลุมหัวเขาอย่างแม่นยำ                 “เช็ดซะ… เดี๋ยวจะไม่สบาย ฉันไม่อยากถูกคุณว่านกล่าวหาว่าใช้งานนายหนักเกินไป” ว่าจบ คุณไฟก็ปิดประตูห้องน้ำใส่หน้าวาทันที นั่นจึงทำให้อีกฝ่ายไม่ทันได้ยินคำขอบคุณจากเขา                 “ขอบคุณมากนะครับ” แม้จะรู้ว่าคุณไฟคงไม่ได้ยิน แต่วาก็ยังเลือกที่จะบอกอยู่ดี                   หลังเช็ดผมจนเกือบแห้งสนิทแล้ว วาก็เริ่มทำอาหารเช้าเตรียมไว้รอคุณไฟต่อ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ นั่นจึงให้วาเลือกที่จะทำข้าวผัดปลาและไม่ลืมที่จะเตรียมกาแฟดำไว้ให้คุณเขาด้วย ซึ่งหลังจากจัดอาหารเช้าเสร็จ วาก็เตรียมอาหารกลางวันต่ออย่างรู้งาน                 เพราะเราต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัดตั้งแต่เช้าตรู่ ไหนจะเพิ่งหลับไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ด้วยปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งแอร์เย็น ๆ ในรถบวกกับความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างการกำลังเดินทาง ทำให้ในที่สุดวาริชเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว                 “วา…. วา! ถึงกองแล้ว” เสียงของลุงคนขับรถที่เป็นคนเดียวกับคนเมื่อเช้าเอ่ยปลุกวา                 “คุณไฟล่ะครับ” หลังจากรู้สึกตัว วาริชก็ถามกลับเสียงงัวเงียและเขาก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณไฟไม่ได้นั่งอยู่บนรถด้วยกันแล้ว                 “ลงจากรถไปแล้ว เมื่อกี้”                 “อ้าว!”                 “เราน่ะรีบตามไปเร็ว เดี๋ยวคุณเขาจะโมโห”                 “ครับ ๆ!” คราวนี้วาถึงกับตื่นเต็มขั้น เขารีบเปิดประตูลงจากรถทันที โดยไม่ลืมที่จะคว้าเอากล่องอาหารของคุณไฟลงไปด้วย                 หลังถามหาคุณไฟจากทีมงานในกองถ่ายจนได้ความแล้ว วาริชก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นไปหาคุณเขาทันที ลงรถในเวลาไล่เลี่ยกันแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมคุณไฟถึงทำทุกอย่างเร็วนัก เพราะวามาเห็นอีกที ก็ตอนที่อีกฝ่ายกำลังนั่งหลับตาให้ทีมงานแต่งหน้าแล้ว                 เห็นทีเรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากวาที่เป็นฝ่ายเผลอหลับไปเอง เพราะเห็นว่าคุณไฟกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ วาจึงไม่กล้าพูดอะไร นอกจากยืนสังเกตคุณเขาแต่งหน้าอย่างเงียบ ๆ                 ในกองถ่ายนิสัยของคุณไฟช่างต่างจากตอนอยู่กับวานัก เพราะเวลาที่คุณเขาทำงานร่วมกับคนอื่น คุณไฟมักจะกลายเป็นคนยิ้มง่ายและหัวเราะเก่งทันที ผิดกับตอนที่อยู่วานัก หากอีกฝ่ายไม่ดึงหน้าก็มักจะโมโหใส่กันตลอด                 “เอาข้าวไปเก็บไว้ก่อนก็ได้ ฉันยังไม่ได้กินตอนนี้… แล้วถ้าว่างมากก็ไปเช็กตารางงานพรุ่งนี้ให้หน่อยว่ามีอะไรบ้าง” หลังช่างแต่งหน้าผละออกแล้ว คุณไฟก็หันมาพูดกับวา                 “ได้ครับ” วาริชขานรับ ก่อนจะรีบเดินไปเก็บกล่องข้าวตามคำสั่งของคุณเขา                 หลังจากเก็บกล่องข้าวและเช็กตารางงานให้คุณไฟเสร็จ วาก็เดินมาคุยกับทีมงานในกองต่อ เนื่องจากกองถ่ายนี้เริ่มถ่ายละครไปได้สักระยะแล้ว ทุกครั้งที่คุณไฟมีคิวถ่าย วาก็จะต้องติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอ นั่นจึงทำให้เขาพลอยได้รู้จักกับทีมงานเบื้องหลังไปด้วย                 “บราวนี่เต้าหู้งั้นเหรอครับ? ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยได้ยิน มันไปกันได้ด้วยเหรอ”                 “วาก็ลองชิมดูสิ คุณเขาเอามาฝากเยอะเลยนะ” ว่าจบ พี่ทีมงานก็ยื่นกล่องใส่บราวนี่เต้าหู้มาให้                 “แล้ว….”                 “ว่างใช่ไหม?” ยังไม่ทันจะได้ซักไซ้อะไรต่อ เขาก็รับรู้ได้ถึงแรงสะกิดแขน นั่นจึงทำให้วาริชต้องหันกลับไปมองทันที                 ตอนแรกวาก็นึกว่าเป็นคุณไฟที่จะมาเรียกใช้งานอะไรสักอย่าง แต่ที่ไหนได้… เป็นคุณพัดชานางเอกที่เล่นคู่กับคุณไฟในละครต่างหาก เพียงเท่านั้นเขาก็เอียงคอมองอย่างสงสัย                 “ไปยกของช่วยหน่อยสิ” คุณพัดชาพูดสั้น ๆ ก่อนจะเดินตัวละลิ่วนำไปก่อน โดยไม่ลืมที่จะหันมากวักมือเรียกอย่างเร่งรีบ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังวุ่นวายส่วนตัวเขาเองก็กำลังว่าง วาริชจึงเลือกที่จะแสดงความมีน้ำใจแทนที่จะปฏิเสธ เพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนร่วมงานของเจ้านายเขา                   “เดี๋ยว ๆ เดินไปหยิบน้ำมาให้ด้วย” หลังจัดการเป็นธุระยกข้าวของมาช่วยคุณพัดชาจนเสร็จ จังหวะที่วาเตรียมจะเดินหนีไปหาคุณไฟ คุณพัดก็เรียกใช้งานเขาต่อ                 “ครับ ๆ” เพราะเห็นว่ามันตั้งอยู่ไม่ไกล ไม่เหลือบ่ากว่าแรง วาริชจึงขานรับให้จบ ๆ แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เดินไปหยิบน้ำให้เธอ เสียงเรียกของคุณไฟก็ดังขึ้นเสียก่อน นั่นทำให้เขาต้องหยุดชะงัก                 “วา!” คุณไฟเรียกชื่อเสียงดัง พร้อมกับย่างเท้าเข้ามาหา                 “ครับ?”                 “จะไปไหนน่ะ” คุณเขาถามคิ้วขมวด                 “อ๋อ…จะไปหยิบน้ำเปล่าให้คุณพัดครับ” วาตอบอีกฝ่ายไปตามตรง                 “ไม่ต้อง นั่นไม่ใช่หน้าที่นาย” คุณไฟว่าเสียงเข้มและเพียงเท่านั้น ทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบทันที                 แม้วาจะไม่ได้หันมองรอบ ๆ ตัว แต่เขาก็พอรับรู้ได้ว่าเราทั้งสามคนกำลังเป็นจุดสนใจ เพราะระดับเสียงที่คุณไฟใช้เมื่อครู่นี้ มันไม่ใช่แค่ต้องการให้วาได้ยินแน่ ๆ แต่อีกฝ่ายจงใจให้คนที่อยู่บริเวณนั้น รวมถึงคุณพัดได้ยินมันด้วยต่างหาก แม้จะไม่มีการชักสีหน้าใส่ แต่พอได้ฟังน้ำเสียงคุณไฟแล้ว วาริชก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่สบอารมณ์                 “ขอโทษด้วยนะครับ นั่นไม่ใช่หน้าที่ของวา” หลังทุกคนได้ยินพ้องตรงกันแล้ว คราวนี้คุณไฟก็เดินไปพูดกับคุณพัดที่กำลังนั่งรอน้ำดื่มจากวาอย่างเจาะจง                 “…..”                 “คุณพัดคงเข้าใจผิด… วาริชเป็นคนของผม ผมจ้างเขาเพื่อมาดูแลผมแค่คนเดียว ไม่ได้จ้างให้เขามารับใช้คนในกองถ่าย”                 “…อ๋อ งั้นก็ขอโทษด้วยค่ะ พัดนึกว่าเป็นคนของกองถ่าย” แม้บรรยากาศระหว่างเราสามคนจะเริ่มอึมครึ้ม แต่คุณพัดชาก็ยังยิ้มออกมาได้                 “ครับ ไม่เป็นไร” นานนับนาทีกว่าคุณไฟจะพูดขึ้นอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงและสายตาก็ทำให้วารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างที่พูด                   “ส่วนนาย ตามฉันมานี่” คราวนี้คุณไฟหันมาพูดกับวา ก่อนจะเดินนำออกไปจากบริเวณนั้น โดยที่วาก็ทำได้แค่เดินคอตกแล้วตามคุณเขาไปอย่างเงียบ ๆ               “นายได้รับเงินเดือนจากเขาหรือไง” นั่นเป็นประโยคแรกที่คุณไฟพูดกับวา หลังอีกฝ่ายเดินนำเขาออกมาจากบริเวณนั้น                 เมื่อไร้สายตาของผู้คน คุณไฟก็แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างไม่ปิดบัง อีกฝ่ายถามเสียงเข้มและวาก็ไม่สามารถให้คำตอบคุณเขาได้ นอกจากจะก้มงุดแล้วฟังคุณเขาดุอย่างเงียบ ๆ             ก้มหน้าลงแล้วเงียบซะ นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด….                 “ฉันถาม…” แต่ดูเหมือนครั้งนี้ความเงียบจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะคุณไฟไม่ได้ต้องการให้วาเงียบใส่ แต่อีกฝ่ายต้องการคำตอบจากเขาต่างหาก                 “ไม่ครับ ผมไม่ได้รับเงินเดือนจากเขา” วาริชตอบเสียงแผ่ว                 “แล้วนายได้รับเงินเดือนจากใคร” อีกฝ่ายถามต่อ                 “คุณไฟครับ”                 “งั้นก็ต้องฟังแค่คำสั่งฉัน… คนที่ให้เงินเดือนนาย คนที่เป็นเจ้านายนายสิ”                 “ครับ ขอโทษครับ” วาเอ่ยและยังคงก้มหน้ามองพื้นเหมือนเดิม                 ความจริงวาก็ตั้งใจจะเดินกลับไปหาคุณไฟอยู่แล้ว แต่คุณพัดชาดันเรียกใช้ต่อ เขาก็เลยไม่รู้จะทำยังไง หากจะปฏิเสธก็กลัวว่าเรื่องจะไม่จบ ดีไม่ดีอาจส่งผลเสียไปถึงตัวคุณไฟด้วย นั่นจึงทำให้วาตัดสินใจยอมทำตามคำสั่งเธออีกหน  เขาคิดเพียงแค่ว่าอยากให้เรื่องมันจบ ๆ ไปเท่านั้น แต่คุณไฟก็ดันมาเห็นเข้าเสียก่อน                 “แต่ว่า…การแสดงความมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็เป็นเรื่องดีนะครับ” ตอนแรกก็ว่าจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่พอคิดไปคิดมา หากจะอธิบายเหตุผลให้คุณไฟฟังสักนิด วาริชก็คิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร                 “ที่ผมยอมทำตามคำสั่งคุณพัด เพราะแค่ต้องการแสดงความมีน้ำใจเท่านั้น”                 “ตอนที่เขาใช้ให้ไปยกของช่วย นั่นยังแสดงความมีน้ำใจไม่พออีกเหรอ” คุณไฟถามกลับ ทำเอาวาริชถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะตอนแรกเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายมาเห็นตอนที่คุณพัดชาเรียกใช้ให้เขาไปหยิบน้ำให้เท่านั้น แต่ที่ไหนได้…คุณไฟเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นแล้วต่างหาก                 “…..”                 “ต่อจากนี้ไป… ฟังแค่คำสั่งฉันก็พอ แล้วจำเอาไว้ด้วยว่าใครเป็นเจ้านายนาย เข้าใจไหม?” คุณไฟพูดขึ้นอีกครั้งหลังเห็นว่าวาเงียบ                 “เข้าใจแล้วครับ”                 “เอ่อ…ขอโทษนะคะ คุณไฟคะ ได้เวลาเข้าฉากแล้วค่ะ” บทสนทนาระหว่างเราถูกขัดจังหวะลง เมื่อมีหนึ่งในทีมงานเดินมาตามคุณไฟให้ไปเข้าฉาก                 “ระหว่างที่ฉันกำลังทำงานอยู่ นายจะไปคุยเล่นกับทีมงานก็ได้ ฉันไม่ว่า แต่อย่าให้ใครมาเรียกใช้นายอีก ถ้าใครจะใช้…ก็บอกเขาไปว่านายเป็นคนของฉัน ใครมีปัญหาอะไรก็ให้เขามาคุยกับฉันเอง” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่คุณไฟพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินตามหลังทีมงานไปเพื่อกลับไปเข้าฉาก                 หลังคุณเขาเดินจากไปแล้ว วาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่นึกว่าการแสดงความมีน้ำใจเพียงแค่ครั้งเดียว มันจะเป็นเรื่องราวขนาดนี้                   “อร่อยไหม?”                 “รสชาติดีกว่าที่ผมคิดเยอะเลยครับ” วาให้คำตอบพี่ทีมงานพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้หนึ่งที หลังเขาได้มีโอกาสชิมรสชาติบราวนี่เต้าหู้เสียที นี่ถือเป็นการเปิดโลกของวามาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักและชิมมัน                 “จริง ๆ เขาเอามาให้ชิมบ่อยอยู่นะ มีแต่อันอร่อย ๆ ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่วันที่เขาเอาเข้ามาฝากกองฯ คุณไฟไม่มีคิวถ่ายนี่สิ วาก็เลยอดกินไปตั้งหลายรอบ”                 “หูย น่าเสียดายจังครับ” วาริชพึมพำ ก่อนจะถามพี่ทีมงานต่อ “แล้วเขาที่ว่านี่… พี่หมายถึงใครเหรอครับ?”                 “ก็คุณไทระไง วารู้จักไหม?”                 “อ๋อ…คุณไทระ” พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม วาริชก็พยักหน้ารับทันที “ผมเคยได้ยินชื่อนี้อยู่ครับ”                 แม้ว่าจะรู้จักชื่อและจำหน้าได้ แต่วาก็ไม่เคยได้ดูละครที่คุณไทระแสดงเลยสักครั้ง เนื่องจากพักหลังมานี้กว่าเขาจะกลับมาถึงห้องก็เหนื่อยจนแทบสลบแล้ว ไหนจะได้มีโอกาสมาคลุกคลีกับการทำละครนี่อีก นั่นจึงทำให้วารู้สึกเอียนละครไปโดยปริยาย                 “แล้วคุณไทระ เขาทำขนมเองเหรอครับ” เขาถามต่ออย่างสงสัย                 “เปล่าหรอก ถ้าพี่จำไม่ผิด….น่าจะเป็นพี่สาวเขาแหละมั้ง” พี่ทีมงานให้คำตอบ แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรต่อ เธอก็ถูกผู้กำกับเรียกตัวไปกะทันหัน นั่นจึงทำให้เราต้องแยกย้ายกัน                 “สู้ ๆ นะครับ” แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่มีใครอยู่คุยเล่นด้วยแล้ว แต่วาก็ยังส่งกำลังให้เธออยู่ดี                 หลังจากที่พี่ทีมงานเดินออกไป วาก็กลับมาให้ความสนใจกับขนมตรงหน้าอีกครั้ง ครั้งแรกที่หยิบชิม เพราะเขาอยากรู้รสชาติ ส่วนครั้งที่สองและสามเป็นเพราะความอร่อยล้วน ๆ                 “อยากทำขนมแบบนี้เป็นบ้าง” วาริชพึมพำกับตัวเอง                 แต่ก่อนเรื่องการทำขนมประเภทพวกเบเกอรี่ ไม่เคยอยู่ในหัววามาก่อนด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้พอเห็นร้านขนมมากมายตั้งเรียงรายชื่อไม่ซ้ำกัน วาก็เริ่มอยากลองทำบ้าง เพราะถ้าหากเขาได้วิชาทำขนมมาสักนิด บางทีวาก็อยากจะลองคิดค้นสูตรขนมปังเพื่อสุขภาพไว้ให้คุณไฟดู เผื่ออีกฝ่ายจะได้กินคู่กาแฟยามเช้า             “สนใจเรื่องทำขนมอยู่เหรอ?” เพราะไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นพูดกับตัวเองไหม นั่นจึงทำให้วาริชหันไปตามเสียง เพื่อที่จะพบกับคุณไทระ เจ้าของบราวนี่เต้าหู้นี้ ซึ่งอีกฝ่ายนักแสดงดาวรุ่งชายผู้ที่กำลังรับบทเป็นพระรอง ในละครที่เล่นร่วมกับคุณไฟ                 “อ๋อ เปล่าหรอกครับ” พอรู้ว่าคุณไทระกำลังพูดกับตัวเอง วาก็รีบตอบเขาทันที เพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท                 “แย่เลย ก็นึกว่ากำลังสนใจ” ฝั่งคุณไทระที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเสียดาย                 “ทำไมเหรอครับ?” วาถามอย่างสงสัย                 “พอดีพี่สาวผมเขากำลังจะเปิดร้านกาแฟน่ะ ช่วงนี้อยู่ในช่วงลองทำขนมเตรียมที่จะวางขาย เขากำลังหาลูกมือช่วยพอดี ถ้าได้คุณไปช่วยงานก็คงดี แบบแฟร์ ๆ กันทั้งคู่ พี่สาวผมก็ได้ลูกมือ ส่วนคุณก็ได้วิชาทำขนม”                 “อ๋อ ผมไม่มีเวลาหรอกครับ ตารางงานของคุณไฟในแต่ละวัน มันค่อนข้างไม่แน่นอน” ถึงจะมีความสนใจอยู่ไม่น้อย แต่วาริชก็ต้องปฏิเสธอย่างเสียไม่ได้ เพราะงานของคุณไฟน่ะ…สำคัญที่สุด                 “อา…นั่นสินะ” คุณไทระพึมพำราวกับเพิ่งนึกได้                 “น่าเสียดายจังเลยนะครับ” วาริชว่าต่อ หากเขามีตารางงานที่แน่นอน วาคงไม่มีทางปฏิเสธคำชวนนี้แน่ เพราะถ้าได้ไปเป็นลูกมือช่วยงานพี่สาวคุณไทระ นอกจากค่าวิชาจะไม่ต้องเสียสักบาทแล้ว เขายังจะได้รู้ด้วยว่าตัวเองเหมาะกับการทำขนมหรือเปล่า                  “ใช่ น่าเสียดาย… เอางี้ถ้าคุณว่าง ๆ แล้วยังสนใจอยู่ก็ลองติดต่อผมมานะ เดี๋ยวผมจะบอกพี่สาวให้เอง” คุณไทระว่าอย่างใจดี ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถามต่อ “เราก็คุยกันมาได้สักพักแล้ว ว่าแต่คุณชื่อ….?”                 “วาครับ วาริช”                 “วาริชที่แปลว่าสายน้ำใช่ไหม” อีกฝ่ายถามเพื่อให้แน่ใจ                 “ใช่ครับ”                 “ชื่อเพราะจัง เหมาะกับคุณดีครับ” แม้จะรู้ดีว่าคนที่ชื่อวาริชไม่ได้มีคนเดียวในประเทศ แต่พอถูกชมเช่นนั้น วาก็ยังอดตัวลอยไม่ได้อยู่ดี                 “แล้วคุณวากับคุณไฟเป็น…?”                 “อ๋อ เราเจ้านายลูกน้องกันครับ แค่เท่านั้น” วารีบตอบอีกคนเสียงหนักแน่น                 “โทษที ผมก็ลืมไปว่าคุณไฟเขาคบกำลังคบหากับคุณพิม ณิชา”                 “…..” หลังได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง                 “เป็นอะไรหรือเปล่า”                 “เปล่าครับ ว่าแต่ว่าคุณไทระเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเหรอครับ” เพราะไม่อยากให้คุณไทระมาสนใจตัวเอง วาจึงเปลี่ยนเรื่อง เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้                 “เปล่าหรอก” คุณไทระปฏิเสธ อีกฝ่ายยิ้มหวานให้วาหนึ่งหนแล้วอธิบายต่อ “ผมเป็นคนไทยแท้นี่แหละ แต่พอดีตอนเกิด … พ่อกับแม่กำลังอินกับประเทศญี่ปุ่นอยู่น่ะเลยตั้งชื่อนี้ให้”                 “….”                 “มันเป็นนามสกุลของซามูไรสมัยก่อน”                 “ว้าว ชื่อเท่ดีนะครับ”                 “วาริช ก็เพราะเหมือนกัน” ว่าจบ คุณไทระก็ขยิบตาให้หนึ่งที ทำเอาวาริชถึงกับหลุดขำออกมา                 “แล้วนี่คุณวาทำงานกับคุณไฟนานหรือยังครับ”                 “ก็ได้สักพักแล้วครับ น่าจะเกือบครึ่งปีได้ พอดีผมมาช่วยญาติครับ…เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณไฟ”                 “อ๋อ แบบนี้นี่เอง”                 “จริง ๆ คุณไทระจะเรียกผมว่าวาเฉย ๆ ก็ได้นะครับ ไม่ต้องถึงขั้นเรียกคุณวาหรอก คือผมไม่ค่อยชินเท่าไร” วาริชเอ่ยต่อ                 “ถ้าเดาไม่ผิด คุณน่าจะอ่อนกว่าคุณไฟใช่ไหม?”                 “ใช่ครับ ผมเด็กกว่าเขาสองปี”                 “งั้นแปลว่าผมก็ต้องเป็นพี่คุณด้วย เพราะผมกับคุณไฟเราอายุเท่ากัน เอางี้… งั้นคุณก็เรียกผมว่าพี่ไทระ ส่วนผมก็จะเรียกว่าวาดีไหม?” คุณไทระยื่นข้อเสนอ                 “ให้เรียกแบบนั้น มันจะดีเหรอครับ” วาถามเสียงลำบากใจ                 “คุณไม่โอเคเหรอ?”                 “ไม่ใช่ไม่โอเคครับ แต่ว่ามัน…”             “อย่าคิดเยอะเลย ผมไม่ใช่เจ้านายคุณสักหน่อย จะเรียกว่าพี่ไทระก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่”                 “ถ้างั้น…ก็ได้ครับ”                 “มันต้องอย่างนี้” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง “นี่เดี๋ยวพี่ต้องไปเติมหน้าแล้ว งั้นเราค่อยคุยกันใหม่นะวา”                 “ครับ สู้ ๆ นะครับ…พี่ไทระ” วาริชเอ่ยปิดท้าย ก่อนที่เราจะโบกมือร่ำลาและแยกย้ายกัน                 นี่เกือบเป็นครั้งแรกที่วาถูกดาราหยิบยื่นไมตรีให้ วาไม่เคยได้ดูผลงานคุณไทระเลยสักครั้ง แต่หลังจากนี้ไปเขาคิดว่าตัวเองคนได้เป็นแฟนคลับตัวยงของอีกฝ่ายแน่ เพราะตอนนนี้…วาประทับใจเขามาก  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม