Chapter 6 กลิ่นหอยหวาน

1246 คำ
ก๊อก ๆ สิ้นเสียงเคาะประตู หนึ่งในสามห้องเพนเฮ้าส์ของคอนโดมิเนียมที่อามันต์พักอยู่ก็ถูกเปิดออก “มาช้า!” เจ้าของห้องเป็นสาวสวยวัยเดียวกันกับมาศิตา แต่ตัวสูงกว่า หุ่นปราดเปรียวขาเรียวยาวในแบบที่สามารถไปเป็นนางแบบมืออาชีพได้เลย แต่ ‘กติยา’ กลับชอบทำร้านอาหารมากกว่า และหล่อนก็ทำกับข้าวเก่งมาก ๆ เลยด้วย ตอนนี้ร้านอาหารของกติยากำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จแล้ว ถึงจะเรียนจบแค่ไฮสกูล แต่กติยาก็มีทุนดี มีที่ปรึกษาดี มาศิตาเองก็อยากให้กิจการของเพื่อนไปได้สวย “โทษทีกี้ ทำของหล่นน่ะเลยแวะไปเก็บนิดหน่อย” มาศิตาตอบเพื่อนเสียงกลั้วหัวเราะ หล่อนมีคีย์การ์ดเข้าลิฟต์ส่วนตัวของกติยาเพราะสนิทกันมาก เคยเรียนด้วยกันที่ต่างประเทศอยู่ตั้งหกปี หลังจากใช้ไม้ยาว ๆ เกี่ยวกางเกงในตัวเองมาหย่อนไว้ตรงระเบียงห้องของอามันต์แล้ว มาศิตาก็แอบดูจนเห็นชายหนุ่มเดินมาเจอกางเกงในแล้วนั่นแหละ หล่อนจึงใช้คีย์การ์ดอันนี้ขึ้นมาที่หน้าห้องของกติยาก่อน แล้วค่อยลงบันไดหนีไฟไปป่วนอารมณ์อามันต์ให้เตลิดไปกับกลิ่นหอยหวาน รับรองเลย กลิ่นของหล่อนจะติดจมูกเขาไปทั้งวัน! เพราะอยู่คอนโดมิเนียมข้าง ๆ ที่แบบแปลนเหมือนฝาแฝดกลับด้านของฝั่งนี้ มาศิตาจึงรู้ดีว่าห้องเพนเฮาส์ที่มีอยู่สามห้อง สามชั้น ของที่นี่ใช้บันไดหนีไฟจุดเดียวกัน “อะไรหล่นเหรอ” กติยาถามไปงั้น ๆ ก่อนจะดึงตัวมาศิตาเข้ามาในห้องหรูหราของหล่อนที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันจัดจ้าน รวมถึงมีไฟประดับระยิบระยับ ที่โต๊ะกินข้าว 'ยักษ์' แฟนหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ของกติยากำลังจัดจานพอดี “อาหารเสร็จพอดีเลยเม่ยเหม่ย มานั่งนี่มา วันนี้กี้เขาทำของโปรดของเม่ยเหม่ยด้วยนะ” ยักษ์เลื่อนเก้าอี้ให้สาวน้อยอย่างอ่อนโยน มาศิตาจึงกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลง จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน รสชาติอาหารอร่อย เสียงพูดคุยฉอเลาะของกติยา และความเอาใจใส่ทั้งเมีย ทั้งเพื่อนเมียของยักษ์ ก็ทำให้มาศิตารู้สึกอบอุ่นใจ หล่อนเป็นเด็กที่ขาดพ่อ ขาดแม่ ตอนอายุสิบขวบก็เหลือแค่หล่อนกับพี่สาว และมรดกกองโตที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เมื่อเรียนจบประถม พี่สาวจึงส่งมาศิตาไปเรียนที่ต่างประเทศ เพราะอยากให้ยืนด้วยขาของตัวเองได้ อยากให้หล่อนเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ‘เจษลิน’ พูดเสมอว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าพรุ่งนี้เจษลินนอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก เหมือนที่พ่อแม่ขับรถออกไปแล้วไม่ได้กลับมา... มาศิตาจะได้อยู่เองได้ เจษลินพูดกลั้วหัวเราะ เหมือนเป็นเรื่องขำ ๆ แต่มาศิตาก็ยังสังเกตเห็นว่านัยน์ตาของพี่สาวยังแดงระเรื่อด้วยความคิดถึงพ่อกับแม่ แต่มาศิตาก็คิดว่าเรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก เจษลินอายุยังน้อยเหมือนกับหล่อน ยังมีอนาคตอีกยาวไกล จะนอนหลับไปเฉย ๆ ไม่ตื่นขึ้นมาได้ยังไง ใครจะไปคิดว่าวันจบการศึกษา แทนที่พี่สาวของหล่อนจะบินไปแสดงความยินดีกับหล่อน คิดว่าจะเป็นวันแห่งความสุขของครอบครัว มาศิตากลับต้องได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง! แหมะ แหมะ น้ำตาใส ๆ หยดลงบนแก้มอีกแล้ว มาศิตายกมือขึ้นปาดน้ำตาออก เฮ้อ! จนได้สิน่า พอเหล้าไม่เข้าปาก ก็กลับมาคิดเรื่องดราม่าในครอบครัวอีกแล้ว สงสัยจะเลิกไปผับไม่ได้แล้วสิ อย่างน้อยที่ผับก็วุ่นวายพอที่จะทำให้หล่อนไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรเลย นอกจากหลงไปกับแสงสี รสเหล้า เตลิดไปกับเสียงเพลงที่ทำให้หัวใจว้าวุ่น ไม่เป็นอันคิดอะไรในหัวเลยนอกจากท่าเต้นสนุก ๆ “ว้าย เม่ยเหม่ย เป็นอะไร แสบตาเหรอ อาหารไทยมันเผ็ดเกินไปหรือเปล่า” สาวน้อยสั่นหน้าให้เพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน กลับมาประเทศไทยพร้อมกัน ที่จริงกติยาจะเที่ยวต่อ แต่หล่อนเป็นห่วงมาศิตาเลยกลับมาด้วย “เป็นห่วงเจี่ยเจียน่ะ” มาศิตาปาดน้ำตาออก ไม่อยากให้บรรยากาศเสีย แต่พอเริ่มคิดว่าไม่รู้เมื่อไหร่เจษลินจะฟื้น สาวน้อยก็ยิ่งน้ำตาไหลเผาะ ๆ จนกติยาต้องยื่นทิชชูให้ มาศิตาเช็ดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่หมด สุดท้ายแล้วมื้ออาหารเช้าก็ล่ม กติยากอดปลอบหล่อน เมื่อได้รับความอบอุ่นจากอกนุ่มของเพื่อนรัก สาวน้อยก็ปลดปล่อยความโศกที่เก็บไว้ในใจมาตลอดด้วยการร้องไห้โฮออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากประเทศบ้านเกิดไปนานถึงแปดปี... สามเดือนก่อน... ตึก! ตึก! ตึก! เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นโรงพยาบาลดังก้องอยู่ในหูของมาศิตา ภาพผู้คนตรงหน้าที่หล่อนวิ่งผ่านเหมือนพร่าเลือนไปหมดจากน้ำตา จนกระทั่งถูกกระชากแขนจากทางด้านหลังนั่นแหละ หล่อนถึงหันไปมอง กติยาขายาวกว่าแท้ ๆ แต่กลับวิ่งตามเพื่อนตัวเล็ก ๆ แทบไม่ทัน หล่อนกระชากแขนเพื่อนได้แล้วก็หยุดหอบหายใจแฮ่ก ๆ ด้วยความเหนื่อย ‘ใจเย็นก่อนเม่ยเหม่ย เดี๋ยวล้มหัวแตกไปจะยุ่งนะ’ มาศิตามองเพื่อนทั้งน้ำตา ก่อนยอมให้กติยาจูงมือไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งนั้น จนได้เห็นพี่สาวอันเป็นที่รัก นอนหน้าซีดเหมือนศพอยู่บนเตียงพยาบาล ‘ขอหมอดูอาการต่อในห้องฉุกเฉินหน่อยนะครับ คนไข้ขาดอากาศหายใจนานเกินไป หมอเองยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว’ หมอบอกกับหล่อนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนที่เขาจะขยับแว่นด้วยท่าทางอึดอัด ‘แต่หมอรักษาชีวิตเด็กไว้ไม่ได้ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ’ ‘เด็กเหรอ...’ มาศิตาทวนคำด้วยหัวที่วิงเวียนไปหมด เด็กอะไร พี่สาวของหล่อนตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ กับใคร แล้วทำไมเจษลินถึงต้องผูกคอตายด้วย!!! เป็นโชคดีของเจษลินที่ตึกข้าง ๆ มีคนเห็นเงามนุษย์ถูกผูกคอห้อยต่องแต่งอยู่กับราวระเบียงชั้นสองของคอนโดมิเนียมห้องนั้นจากทางเงาหน้าต่าง เลยรีบโทรมาบอก รปภ.ให้ขึ้นไปช่วย แต่กว่าจะพังประตูเข้าไปได้ พี่สาวของหล่อนก็หยุดหายใจไปหลายนาทีแล้ว ถึงจะปั๊มหัวใจกลับมาได้ก็เถอะ หลังจากหมอที่กรุงเทพ ฯ รักษาเจษลินอย่างสุดความสามารถอยู่สองเดือนกว่า แม้ว่าจะพ้นขีดอันตรายนานแล้ว หญิงสาวก็ไม่มีท่าทางจะตื่นขึ้นมาเลย มาศิตารอ... รอ... รอ... จนมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เจษลินยังคงหลับไม่ได้สติ แม้ว่าจะไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแล้วก็ตาม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม