ชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ อายุไม่น่าจะเกิน 35 ปี ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแบบชาวอาหรับช่างดูบาดตาบาดเจ็บสาวๆ ยิ่งนัก เรือนร่างสูงใหญ่กำยำอยู่ในชุดสูทสากลสีดำสนิทส่งให้ผู้สวมใส่ดูสมาร์ทหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม แถมใบหน้าก็สะอาดเกลี้ยงเกลามีแค่รอยเคราเขียวครึ้มขึ้นตามสันคาง ริมฝีปากสีสดแย้มยิ้มน้อยๆ ราวกับราชสีห์หนุ่มที่เตรียมตะครุบเหยื่อ และสิ่งที่ทำให้เขากลัวจนตัวสั่นงันงกพูดผิดพูดถูกขณะที่นำเสนอผลงานก็คือดวงตาสีดำสนิทที่ดูลึกลับราวกับดวงตาพญาเหยี่ยว เป็นดวงตาที่จับความรู้สึกได้ยากที่สุด
“เจ้านาย... คุณกรกฏคะ” ปิณฑิราเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดเป็นนานจึงเอ่ยเรียกเบาๆ ให้รู้สึกตัว
“ว่าไงพริ้นซ์”
กรกฎเอ่ยถามอย่างงุนงงเพราะมัวแต่นึกถึงท่านชีครูปงามทำให้เขาลืมเรื่องที่กำลังคุยไปเสียสนิท
ปิณฑิราหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านชีคของเจ้านายพักอยู่โรงแรมไหนคะ เดี๋ยวพริ้นซ์จะได้เอาคู่สัญญาไปให้ท่านชีคเซ็น”
“ท่านชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ไม่ได้พำนักอยู่ที่เมืองไทย ท่านชีคอยู่ที่ประเทศของท่าน ประเทศ ‘อัสดารานส์’ ตั้งอยู่ในทวีปตะวันออกกลาง”
“อะ...อะไรนะคะ”
ปิณฑิราได้ยินชื่อของท่านชีคที่หลุดออกมาจากปากของเจ้านายถึงกับตกใจหน้าถอดสีไร้สีเลือดละล่ำละลักเปล่งเสียงถามแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ มือไม้สั่นเทาจนเผลอปล่อยแฟ้มเอกสารในมือตกลงกระทบพื้นเสียงดังก้องทั่วห้องทำงาน
กรกฏไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไปถึงทำให้ผู้ช่วยคนเก่งตกใจหน้าซีดได้ถึงเพียงนี้ เขาลุกจากเก้าอี้ใหญ่เดินไปก้มลงเก็บเอกสารทั้งสองแฟ้มมาวางไว้บนโต๊ะทำงานเหมือนเดิมก่อนจะเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะ
“เป็นอะไรไปพริ้นซ์ แค่ต้องเดินทางไปประเทศอัสดารานส์ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตกใจเลย บ้านเมืองเขาไม่ได้ป่าเถื่อนหรอกน่ะ ออกจะเจริญรุ่งเรืองศิวิไลซ์ยิ่งกว่าบ้านเมืองเราเสียด้วยซ้ำไป”
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าลูกน้องสาวกลัวการเดินทางไปยังประเทศแถบทะเลทรายเลยทำให้กรกฏรีบเอ่ยไขข้อกังวลของลูกน้อง แต่เขาหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้ปิณฑิรากำลังหวาดกลัวก็คือ ชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ต่างหาก
ปิณฑิราบีบมือตัวเองที่วางอยู่บนตักซึ่งสั่นเทาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ ยิ่งได้ยินชื่อชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ยิ่งทำให้หัวใจเต้นสั่นรัวไม่เป็นส่ำกระแสบางอย่างแล่นพล่านจากปลายเท้าเข้าสู่หัวใจ
“เอ่อ...เจ้านายจะให้พริ้นซ์เอาเอกสารเหล่านี้ไปให้ทะ...ท่านชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ เซ็นถึงที่ประเทศอัสดารานส์หรือคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก เธอไม่กลัวเรื่องการเดินทางไปไกลถึงอีกซีกฝั่งของโลก แต่เธอกลัวที่จะต้องพบกับเจ้าของประเทศ ชีคหนุ่มที่มีสายตาคมกริบด่ำลึกดุจพญาเหยี่ยว
“ถูกแล้วคุณต้องนำคู่สัญญาไปให้ท่านชีคเซ็นถึงที่ประเทศอัสดารานส์” กรกฏเน้นย้ำเสียงทุ้ม
“เอ่อ...ทำไมต้องเป็นพริ้นซ์ด้วยคะ ให้คุณอื่นไปแทนไม่ได้หรือคะ ให้น้องพันธิสาไปก็ได้นี่คะ”
หญิงสาวปัดปฏิเสธไม่เต็มซุ่มเสียงนัก พันธิสาที่เธอพูดถึงเป็นเลขาของกรกฏอีกคนซึ่งทำงานได้ดีไม่แพ้กัน
“คุณน่ะดีแล้ว คุณพูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าพันธิสาเยอะ แล้วที่สำคัญคุณก็สามารถแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่งกว่าพันธิสา ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินทันด่วนผมเกรงว่าพันธิสาจะไม่ทันกิน”
“แต่น้องพันธิสาก็พูดภาษาอังกฤษคล่องนะคะ พริ้นซ์เกรงว่าตัวเองจะสื่อสารกับท่านชีคไม่รู้เรื่อง”
ปิณฑิราพยายามยกสารพัดเหตุผลมาเป็นข้ออ้าง
“ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกับท่านชีคไม่รู้เรื่องหรอกน่ะ ท่านชีคฟาซิซต์ พูดภาษาไทยได้ชัดเจน นัยว่าท่านมีแม่เป็นคนไทยเลยทำให้พูดและอ่านเขียนภาษาไทยได้ด้วย”
กรกฏเอ่ยบอกยิ้มๆ ตามข้อมูลที่ตนเองศึกษาประวัติของชีคหนุ่มท่านนี้มา
ปิณฑิราก้มหน้านิ่งขอบตาร้อนผ่าวเอ่ยตอบเจ้านายหนุ่มอยู่ในใจ
‘ถูกแล้วค่ะ ชีคฟาซิซต์พูดภาษาไทยได้ชัดเจน ยิ่งเวลาที่พริ้นซ์ตอบสนองทำให้ท่านพึงพอใจ ท่านยิ่งชอบและพึมพำเป็นถ้อยคำภาษาไทยหวานซึ้งสละสลวย’
กรกฏเห็นลูกน้องสาวก้มหน้านิ่งราวกับลำบากใจจึงเอ่ยถามออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าพริ้นซ์ ปกติคุณไม่เคยบ่ายเบี่ยงปฏิเสธงานที่ผมมอบให้สักครั้ง แล้วทำไมครั้งนี้ถึงเกิดอึกอักไม่อยากรับงานล่ะครับ”
ปิณฑิราหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อถูกเจ้านายตำหนิ เธออยากจะบอกกรกฏว่าจะส่งเธอไปทำงานที่ไหนไกลหรือทุรกันดารเพียงใดเธอก็ไม่เกี่ยง...ขอเพียงแค่อย่างเดียว...อย่าส่งเธอไปหาชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ เลย
“คือ...พริ้นซ์เกรงว่าคุณแม่จะดูลูกชายของพริ้นซ์แค่ตามลำพังไม่ไหวนะคะ”
“พริ้นซ์...ช่วงที่คุณเดินทางไปอเมริกาคุณแม่คุณก็ดูแลลูกชายคุณได้นี่”
กรกฏเอ่ยค้านเขาชักอยากจะรู้แล้วสิว่าทำไมหญิงสาวแสนสวยและเก่งกาจเรื่องการทำงานคนนี้ถึงได้คิดปฏิเสธที่จะทำงานชิ้นสำคัญชิ้นนี้
“อย่าทำให้ผมผิดหวังน่ะพริ้นซ์ งานชิ้นนี้เป็นงานชิ้นเอกที่จะเชิดหน้าชูตาบริษัทของเราและจะทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณอีกหลายๆ คนมีงานมีเงินไปจุนเจือครอบครัวด้วย”
เมื่อถูกมัดมือชกแบบนี้ก็ทำให้หญิงสาวไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ใบหน้างามเนียนเงยขึ้นสบตากับเจ้านายก่อนจะเอ่ยถามอย่างยอมจำนนต่อเหตุผล
“เจ้านายจะให้พริ้นซ์เดินทางไปเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้...เครื่องออกตอนตีห้าครึ่ง” กรกฏยิ้มกว้างอย่างโล่งอกเมื่อลูกน้องสาวยอมตอบรับทำงานชิ้นเอก
ปิณฑิราได้ยินกำหนดเส้นตายเวลาเดินทางถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ทำไมเร็วจังเลยคะ พริ้นซ์นึกว่าอีกวันสองวันถึงได้ออกเดินทาง”
“ไม่ได้หรอกพริ้นซ์ ยิ่งช้ายิ่งเสียโอกาสในการทำธุรกิจ และอีกอย่างท่านชีคก็เร่งมาด้วยอยากให้ทางเรานำคู่สัญญาไปให้ท่านเซ็นโดยด่วน”
“พริ้นซ์เกรงว่าจะเตรียมเอกสารการเดินทางไม่ทัน”
“ทันสิ พาสปอร์ตคุณยังไม่หมดอายุไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ...ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับคำเสียงแผ่วเบา
“ถ้างั้นคุณกลับบ้านจัดกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางได้เลย ส่วนตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปเบิกกับพันธิสา ผมสั่งให้เธอเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่พักก็ไม่ต้องเป็นห่วง พันธิสาโทรไปจองโรงแรมให้คุณแล้ว”