“ต้องขออภัยที่ท่านพ่อของข้ามิได้ทูลให้พระธิดาได้ทราบว่าตำหนักร้อยไหมนี้นอกจากความงามวิจิตรอันเลือเลื่องแล้วก็ยังมีความน่ากลัวพอกัน”
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร” หลินเจินตั้งสติได้จึงถามขึ้น “เหตุใดองค์ชายจึงให้พระชายาประทับอยู่ในสถานที่น่ากลัวเช่นนี้”
“ข้ามิรู้ดอกเพราะนั่นเป็นประสงค์ขององค์ชายหลี่เจี๋ย แต่ก็อยากให้องค์ชายาได้รับรู้ไว้เท่านั้นว่าหากมิมีความจำเป็นอันใดก็อย่าได้ลงไปเล่นน้ำใต้ตำหนักแห่งนี้”
พอฮุยอินกล่าวจบก็มีทหารเกือบสิบนายถืออาวุธเดินเรียงแถวเข้ามาแล้วยืนเรียงแถวบนสะพานทอดข้ามจากแผ่นดินเข้ามายังตำหนักร้อยไหม ดูแล้วเหมือนว่ามาถวายการดุแลความปลอดภัยหากแต่จางลี่กลับมิได้รู้สึกดั่งนั้นเลย นางเหลือบมองจระเข้ที่ว่ายวนในน้ำเพิ่มมากขึ้นอีกหลายสิบตัวก่อนหันกลับไปยังฮุยอิน
“จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องให้ทหารของหลู่อ๋องมาอารักขาข้ามากมายเช่นนี้เพราะข้าก็มีคนของข้าติดตามมาด้วย”
“ข้ามิอาจตอบเรื่องนี้ได้ ท่านควรถามองค์ชายหลี่เจี๋ยเพื่อความกระจ่างใจควรจะดีกว่า...ข้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบนางก็หันหลังเดินจากไป ฮุยอินเดินกลับไปหาบิดาของนางที่นั่งรอบนเกี้ยวด้วยรอยยิ้ม นางขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวของวั่งซูก่อนพระอาจารย์เป็นฝ่ายถามขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างฮุยอิน?”
“อะไรหรือคะท่านพ่อ...ถ้าหากเป็นองค์ชายาของหลู่อ๋องแล้วล่ะก็ความจริงท่านน่าจะให้ทหารของเราจับพวกนางโยนลงไปให้จระเข้ใต้ตำหนักร้อยไหมกินเสียให้สิ้นซาก”
“อย่าเพิ่งวู่วาม คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง พ่อบอกเจ้าหลายหนแล้วว่าการกระทำสิ่งใดเราต้องสงบจิตสงบใจและรอจังหวะเวลาอันเหมาะสม”
“นี่หรือคือเวลาเหมาะสม? ไหนท่านพ่อเคยสัญญาว่าจะผลักดันให้ข้าเป็นองค์ชายาขององค์ชาย แล้วเหตุใดเล่าท่านจึงเห็นดีเห็นงามเมื่อฉีหวนกงยกธิดาให้เป็นราชินีแคว้นหลู่”
“ใจเย็นไว้ฮุยอิน อย่าลืมว่าฉีหวนกงมีศักดิ์เป็นถึงพระปิตุลาขององค์ชายหลี่เจี๋ย”
“ทั้งที่อ๋องแคว้นฉีสั่งฆ่าพี่ชายตัวเองกระนั้นหรือ”
“นั่นนับเป็นโอกาสอันดี อย่าลืมว่าความแค้นนั้นเป็นของหวาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วองค์ชายย่อมเก็บความเดือดแค้นไว้ รอวันสะสาง และเมื่อฉีหวนกงเสนอยกธิดาให้เพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเจ้าคิดหรือว่ามันจะช่วยผ่อนเบาสิ่งที่เคยทำไว้กับหลานตัวเองได้ องค์ชายหลี่เจี๋ยเป็นถึงอ๋องแคว้นหลู่ เจ้าคิดหรือว่าผู้เป็นกษัตริย์นั้นจะทำสิ่งใดโดยมิคิดตรึกตรอง"
“ท่านพ่อกำลังจะบอกอะไรข้า”
“มิต้องเอ่ยตอนนี้ ต่อไปเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่พ่อคิด ขออย่างเดียวเจ้าอย่าวู่วาม อย่าเอาแต่ใจ พ่อรู้ว่าเจ้าผูกใจรักองค์ชายมากเพียงไหน แต่เจ้าต้องยอมสูญเสียบางอย่างไปเพื่อผลประโยนช์ในภายภาคหน้า”
ฮุยอินรับฟังแต่หัวใจของนางรุ่มร้อนมากขึ้นทุกที ความหวังที่จะได้เป็นชายาขององค์ชายหลี่เจี๋ยต้องพังลงตรงหน้า นางผูกใจรักอ๋องแห่งแคว้นหลู่มาแต่ไหนแต่ไร กลายกลับเป็นหญิงต่างเมืองเข้ามาครอบครองตำแหน่งแทนที่
ค่ำลงที่ตำหนักร้อยไหม หลินเจินเดินไปเดินมาภายในห้องอันงามวิจิตขณะพระธิดาจางลี่นั่งครุ่นคิดด้วยสีหน้าเป็นกังวล สักครู่หลินเจินก็เข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าและดึงมือเรียวบางของนายหญิงไปกุมไว้
“ท่านหญิง...ข้าว่ามันอาจมีเรื่องไม่ดีนะเจ้าคะ”
“เรื่องอะไรหรือหลินเจิน”
“ก็เรื่องที่องค์ชายหลี่เจี๋ยให้ท่านหญิงมาพำนักที่ตำหนักแห่งนี้ ชื่อตำหนักงดงามแต่ซ่อนความน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก”
“ข้าก็ไม่สบายใจเช่นกัน แต่...เราจะทำอย่างไรได้ มองออกไปข้างนอกนั่นซี พวกทหารยืนเวรยามเต็มไปหมด ข้าอยากออกไปจากที่นี่เพื่อพบองครักษ์เจ้า ป่านนี้พวกเขาจะเป็นเช่นไรบ้างก็มิรู้เลย”
“หรือว่าพวกเราจะหาทางออกไปจากตำหนักแห่งนี้ ข้ารู้สึกกลัวเหลือเกินท่านหญิง นี่มันบ่อจระเข้นะท่าน”
“แล้วเราจะออกไปได้เช่นไร”
“ท่านหญิง...ข้าก็ยังมิรู้ แต่พวกเราจะรอช้าอยู่มิได้”
“หลินเจิน...”
ยังไม่ทันที่จางลี่จะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู
“พระธิดาจางลี่...หลู่อ๋องได้เสด็จมาถึงแล้ว”
จางลี่ผุดลุกขึ้น ใบหน้าสวยซึ้งของนางเต็มไปด้วยความลังเล หลินเจินเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า
“ปิดประตูมิให้องค์ชายเข้ามาดีไหมเจ้าคะ หรือว่า...ท่านหญิงจะหลบเข้าไปข้างในให้ข้าออกรับหน้า บอกว่าท่านเดินทางมาไกลทำให้ไม่สบาย”
“ไม่จำเป็นดอก ถึงอย่างไรข้าก็ต้องพบอ๋องแคว้นหลู่ ถึงหลบหน้าสักหมื่นครั้งก็ยังต้องพบเขาอยู่ดี”
“แต่สีหน้าท่านหญิงไม่ดีเลยนะเจ้าคะ”
“ข้า...”
จางลี่เอ่ยได้แค่นั้นบานประตูก็เปิดออก นางผงะงันไปชั่วขณะเมื่อบานประตูเปิดอ้าและเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่นั่น การแต่งกายและเครื่องประดับศีรษะบ่งบอกการเป็นชนชั้นระดับสูง นัยน์ตายาวรีดำเข้มแฝงไว้ด้วยความลุ่มลึกบนใบหน้าคมคร้ามจ้องมองมายังร่างของพระธิดาร่างน้อยบอบบางโดยปราศจากรอยยิ้มก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เมื่อเสียงห้าวทรงอำนาจดังขึ้นเหล่าทหารผู้ติดตามจึงถอยออกไปจนหมด จางลี่ซึ่งยังอยู่ในความงงงวยรับดึงสติกลับคืน
“ทะ...ท่านคือ...”
“ยินดีที่พระธิดาจางลี่เดินทางมาถึงโดยปลอดภัย...ข้าคือองค์ชายหลี่เจี๋ย อ๋องแห่งแคว้นหลู่”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินเจินก็รีบคุกเข่าลงและเก็บความตื่นเต้นเอาไว้แทบไม่ได้ โอ...นี่หรือคือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นหลู่ เสียงร่ำลือว่ารูปงามนั้นมิผิดเพี้ยนไปจากที่ได้ยิน ใบหน้าคมคาย นัยน์ตายาวรีดำสนิท จมูกโด่ง ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูป และสง่างามยิ่งนัก ขณะนั้นพระธิดาจางลี่ก็รีบถวายความเคารพโดยการย่อตัวและค้อมศีรษะลง
“ถวายบังคมเพคะองค์ชายหลี่เจี๋ย...เอ้อ...หลู่อ๋อง...หม่อมฉันก็รู้สึกยินดีและขอบพระทัยที่พระองค์ให้การต้อนรับหม่อมฉันอย่างสมเกียรติ”
จางลี่รีบบังคมทูล หัวใจของนางเต้นระริกหากความเกรงกลัวก็ยังมิคลายจากความรู้สึก สักครู่หลินเจินก็เอ่ยกระซิบกับพระธิดาว่า
“ท่านหญิงเจ้าคะ หลินเจินขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะเจ้าคะ”