นางกำนัลคนสนิทรีบถอยออกไปจากห้องนั้นจึงเหลือเพียงองค์ชายหลี่เจี๋ยและพระธิดาจางลี่เผชิญกันเพียงสอง จางลี่นั้นมือเย็นเฉียบ นางเห็นใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่แต่มิกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาตรง ๆ นางยังก้มหน้าโดยไม่เห็นรอยยิ้มเหยียดบนมุมปากของหลี่เจี๋ยก่อนเขาเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าเดินทางมาไกลคงยังเหนื่อยใช่ไหม?”
“เพคะ”
“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้ามาแคว้นหลู่ด้วยเหตุผลอันใด”
“รู้เพคะ”
“แล้วใยเวลาพูดถึงไม่ยอมเงยหน้าสบตาข้า”
น้ำเสียงแม้ทรงอำนาจหากก็เยียบเย็นบาดจิต จางลี่จึงต้องเงยหน้าขึ้น มือของนางยิ่งเย็นมากกว่าเก่า องค์ชายหลี่เจี๋ยผู้มีพระชนมายุมากกว่านางถึงหนึ่งรอบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ชั่วแว่บหลี่เจี๋ยกลับรู้สึกว่าพระธิดาของฉีหวนกงซึ่งเป็นพระปิตุลานั้นมิได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้แม้แต่น้อย นางยังเยาว์ ใบหน้างดงามสวยซึ้งนั้นเปล่งปลั่งจับตา รูปร่างของนางบอบบางภายใต้ชุดผ้าไหมปักลวดลายวิจิตร แววตาของนางบอกความประหม่า หลี่เจี๋ยก้าวผ่านนางไปและทรุดกายลงนั่งบนตั่งไม้ จางลี่จึงค่อย ๆ ย่อตัวลงและขยับเข้าไปนั่งบนพื้นเบื้องล่างห่างจากองค์ชายไม่ถึงวา นางไม่ได้ก้มหน้าดังเก่าแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบนัยน์ตาคมปลาบราวมีดเหล็กกล้า
“เจ้าชื่ออะไรนะ?”
“จางลี่เพคะ”
“เจ้าเป็นธิดาของฉีหวนกง พระปิตุลาของข้า จะว่าไปเราสองคนก็มีสายเลือดเดียวกัน แต่...เจ้าเป็นธิดาของสนมองค์ใดกัน”
“หม่อมฉันเป็นธิดาของพระสนมซิ่วอิงเพคะ”
“ขยับเข้ามาใกล้ข้าซิ”
“เพคะ”
จางลี่ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ นางเข้าไปนั่งแทบเท้าองค์ชายหลี่เจี๋ย แต่แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อแขนของนางถูกกระชากอย่างแรง
“ฟังข้าไว้จางลี่...ข้ามิปรารถนาในตัวเจ้า...แม้เพียงสักนิด!”
“องค์ชาย...ทะ...ท่าน..”
จางลี่สะอึกเพราะไม่นึกว่าอ๋องแคว้นหลู่จะสำแดงความกักขฬะในคราแรกที่ได้พบ นางเริ่มสั่นแต่รวบรวมกำลังใจแม้หวั่นกลัว หลี่เจี๋ยเหยียดยิ้มอำมหิต แววตานั้นแปรเปลี่ยนจากมิตรเป็นดิบดันกร้าวกล้า
“คิดหรือว่าที่ข้ายอมรับธิดาของฉีหวนกงมาเป็นชายาเป็นเพราะข้าเต็มใจ...เปล่าเลย ฟังข้าให้ชัด ๆ เถิดธิดาแคว้นฉี แม้เรามีสายเลือดเดียวกันหากเลือดของข้านั้นเข้มข้นยิ่งกว่าเจ้าหลายเท่านัก!”
“องค์ชาย...ได้โปรดเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจทำให้องค์ชายเคืองพระทัยเลยแม้แต่น้อย ที่หม่อมฉันตอบรับการเป็นชายาของพระองค์ก็เพราะว่า...”
“ข้าไม่ต้องการเหตุผล!”
เสียงคำรามลั่นของหลี่เจี๋ยทำให้จางลี่ผงะ ใบหน้าเคียดขึ้งของเขายิ่งทำให้นางหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าการตอบรับบัญชาของพระบิดาผิดหรือถูก นางอยากออกจากแคว้นฉีเพื่อมิให้พระเชษฐาต่างมารดารังแกเพื่อพบว่าการมาเป็นองค์ชายาแคว้นหลู่สร้างความยุ่งยากมากกว่านั้น นี่นางหนีเสือมาปะจระเข้จริง ๆ หรือนี่
“องค์ชาย...”
“เจ้าก็เคยรู้มามิใช่หรือว่าครั้งหนึ่งฉีหวนกงเคยทำสิ่งใดไว้กับพระบิดาของข้าหากเจ้าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“หม่อมฉันมิอาจเข้าใจความบาดหมางในอดีต หากบัดนี้รู้แล้วว่าที่ท่านตอบรับข้าเป็นชายาก็ด้วยเหตุผลนี้ใช่หรือไม่เพคะ”
คำตอบของจางลี่จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เจี๋ยก่อนเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ...เจ้าเองก็ฉลาดไม่เบา ถึงเป็นแค่ธิดาของพระสนมหากก็มีไหวพริบเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ”
“หม่อมฉันมิได้นึกเสียใจที่เมื่อเดินทางมาถึงพระองค์มิได้ออกไปต้อนรับหม่อม และมิได้นึกเสียใจที่เมื่อมาถึงแคว้นหลู่ก็หาได้มีพิธีการต้อนรับอย่างที่เคยคิดเอาไว้ หากมิเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงปล่อยให้พวกหม่อมฉันเดินทางข้ามแคว้นเข้ามายังแผ่นดินหลู่ได้ พระองค์มิพักต้องลำบากให้คนของพระองค์ไปคอยต้อนรับหม่อมฉัน หากเป็นดังที่พระองค์ทรงหวังก็ควรฆ่าหม่อมฉันเสียตั้งแต่ตอนเดินทางมายังแคว้นหลู่”
นางตอบปากกสั่นระริกหากก็กล้าเชิดปลายคางมนขึ้นราวกับจะท้าทาย ท่าทีของพระธิดาแม้วัยเยาว์กว่าแต่ช่างอวดดียิ่งจุดความคั่งแค้นในหัวอกของหลู่อ๋อง แม้นางอวดกล้าถึงเพียงนี้หากหลี่เจี๋ยก็มีวิธีกำราบด้วยการจับไหล่บางทั้งสองดึงร่างนั้นเข้ามาใกล้และโน้มใบหน้าคมคายลงไปหา เห็นได้ชัดว่ากายนางสั่น ใบหน้าสวยซึ้งของนางอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่ถึงคืบ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยอยู่ใกล้ชายใดมากขนาดนี้ จางลี่อยากขัดขืนแต่มือหนาใหญ่ของอ๋องแคว้นหลู่กระชับบ่าเล็กของนางมั่น หลี่เจี๋ยเหยียดยิ้มร้ายกาจ
“ข้าเพียงรอให้เจ้ามาถึงแคว้นหลู่เพื่อจะทำอะไรสนุก ๆ”
นางเลิกคิ้วขึ้น “สนุก ๆ หรือเพคะ?”
“เมื่อใดที่เจ้าย่างเท้าลงบนแผ่นดินหลู่ เจ้าก็มีค่าแค่สัตว์เลี้ยงของข้าเท่านั้น!”
โดยมิทันคาดคิด องค์ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปหาองค์ชายาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากได้รูปฉกวูบลงบนกลีบปากของจางลี่ที่ค้างอ้าด้วยไม่นึกว่าหลี่เจี๋ยจะล่วงล้ำนางตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ร่างน้อยนิ่งงันและสั่นระริก หัวใจของนางเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อจุมพิตแรกจาบจ้วงเข้าไปในอุ้งปาก หลี่เจี๋ยไม่เปิดโอกาสให้นางตั้งตัว จุ่มจ้วงปลายลิ้นหยาบหนาเข้าไปในเรียวปากเล็ก จางลี่หลับตาและกดเกร็ง ความหวาดหวั่นกลายกลับเป็นความร้อนรุ่ม