บทที่ 6 ตอนที่ 2

1654 คำ
วันนี้ค่อนข้างสายสักหน่อยสำหรับการกลับบ้าน...อัญญดานั่งเปิดหนังสืออ่านพลางสาดสายตามองไปยังท้องถนนของรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อรอใครบางคนมารับ            เธอเหนื่อยใจกับความดื้อดึงของคุณหมอหนุ่มนักหนา เพราะรู้ว่าเขาติดงาน ติดคนไข้ต้องรักษาพยาบาลจึงไม่อยากให้ลำบากลำบนแบ่งเวลามารับมาส่ง ที่ไหนได้...อัศม์เดชกลับไม่เคยฟัง ทำอะไรตามแต่ใจตัวเองทุกอย่าง            "มองหาพี่เหรอ..." เสียงนั้นทำให้ร่างเล็กชะงักชั่วครู่ แน่นอนเธอจำได้ดีและตั้งสติไม่ให้เห็นว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่เป็นความจริง ก่อนจะปรับสีหน้าและหันตามเสียงนั้นไป            "สายแล้วค่ะ หนูกลัวคุณหมอติดงานเลยว่าจะกลับเองดีกว่า"            "ได้ไงรับปากแล้วว่าจะมาก็ต้องมาสิ" เขาเดินวนซุ้มสำหรับนักศึกษามายืนค้ำโต๊ะตัวที่เธอวางหนังสือและกำลังอ่านเพื่อฆ่าเวลา            "คุณเคนก็มาด้วยเหรอคะ..." ร่างใหญ่ของอีกคนเดินอาดตามหลังกันมา เขาหลบสายตาเธอและหลืบมองมาใหม่พร้อมกับการยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ            "วันนี้มันว่าง เลยว่าจะพาไปดินเนอร์ด้วย ติดค้างกันไว้ตั้งแต่รอบที่แล้วมันก็หายหัวไปเลย"            "น้ำมนต์ว่าจะถามอยู่...ว่าคืนนั้นไปส่งแพรวแล้วมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ แพรวยังไม่มาเรียนเลย" สีหน้าคนถามจริงจังแฝงความเคร่งเครียดเอาไว้ในที            "ออ นั่นสิพี่ก็ลืมสนิทว่าจะถามให้ ว่าไงไอ้เคน..." อัศม์เดชหันไปช่วยซักสมทบอีกที มองหน้าเพื่อนที่ทำท่าเหวอๆ แล้วก็ขมวดคิ้วฉงน            "พี่ไปส่งแพรวที่ห้างในคืนนั้น เขาบอกจะไปทำงาน..." เขาหยุดประโยคบอกเล่าเอาไว้เพียงเท่านั้น            "หลังจากนั้นล่ะ" อัศม์เดชเค้นอีก            "ไอ้นี่! ฉันก็มีงานทำนะโว้ยไม่ได้สนิทกันด้วยจะไปรู้ไหม โธ่..." แต่เขาก็ปดกลับด้วยความรู้สึกอึดอัดใจสุดขีด เพราะยังมีสาเหตุของหน้าที่การงานบังคับเอาไว้ด้วย            "เหรอคะ...น้ำมนต์เป็นห่วงแพรวมากเลย ปกติเขาไม่ใช่คนเหลวไหล ไม่เคยขาดเรียนถึงจะทำงานไปด้วยก็ตาม อีกอย่าง..."            "อะไรเหรอครับ" กิตติธัชถามด้วยความเผลอไผลนึกอยากจะรู้เรื่องราวของแพรวพรรณขึ้นมาดื้อๆ            "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นเรื่องส่วนตัวของแพรวน้ำมนต์ไม่อยากเอามาพูด สักวันถ้าเขาสนิทกับคุณเคนมากกว่านี้ก็คงจะได้รู้เอง ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่มันเป็นเรื่องสำคัญกับจิตใจของแพรวมากๆ เท่านั้นเอง"            "อ๋อ...ครับ"            "งั้นก็ไปกันเถอะ พี่มีเรื่องจะบอกน้ำมนต์ด้วย เราไปคุยกันในรถดีกว่า" อัศม์เดชหยิบหนังสือทั้งหมดของเธอมาถือเอาไว้เสียเอง และยิ้มให้คนตัวเล็กที่ยังก้มหน้าหงุดเหลือบหางตามองเขาน้อยๆ เช่นทุกครั้งแล้วก็ต้องลอบยิ้ม อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็ไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเก่า            กริ๊ง! กริ๊ง! เสียงโทรศัพท์เรียกให้ทุกคนที่กำลังเดินห่างออกจากซุ้มแห่งนั้น หยุดและหันไปมองกิตติธัชตามสัญชาตญาณ อัศม์เดชยักคิ้วเหมือนรู้ว่าเพื่อนรักมีงานเข้าอีกแล้ว กิตติธัชมักทำโอกาสงามๆ ให้เขาเสมอ            "โทษที...สายเข้า" แล้วก็กดรับสาย "ว่าไง...มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม"            'อืม...แกจะเร่งอะไรนักหนาวะเคน ยังไงเราก็รีบทำคดีนี้กันอยู่แล้วเพราะผู้ใหญ่สั่งมา' ปลายสายเพื่อนตำรวจด้วยกันโวยวายเล็กน้อยตามประสา กิตติธัชเดินห่างออกไปจากคนทั้งคู่ที่เดินมาด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการสื่อสาร            "ก็จับคนมาขังรอสอบสวนเนี่ย จำกัดอิสรภาพเขานะเว้ย! ถึงอยากจะรู้แค่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องไหมจะได้ทำถูก"            'ก็เนี่ยแหละถึงโทร.มาบอก เราเค้นสอบปากคำตัวแม่เล้าที่เป็นกะเทยนายหน้า มันก็รับสารภาพหมดแล้ว ตอนนี้เราไปค้นที่พักเพื่อหารายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลลูกค้าพวกมัน ส่วนรายชื่อพริตตี้และเด็กไซค์ไลน์ทั้งหมดในสังกัดของพวกนี้มีร้อยกว่าคนทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล...เยอะเอาการ'            "เนื้อๆ น้ำไม่ต้อง"            'เออๆ ไม่มีชื่อคุณแพรวพรรณ ผู้ต้องหาให้การว่าเป็นหน้าม้ารับงานให้พริตตี้เพื่อบังหน้า ใช้พริตตี้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกนี้เรียกแขกไปในตัวด้วย เรียกง่ายๆ ว่าอาศัยชื่อเสียงเขาทำมาหากิน โดยกลุ่มลูกค้าจะเข้าใจว่าเป็นเด็กขายบริการเหมือนกันก็จะเข้ามาติดต่อ เด็กสวยๆ ผ่านมีดหมออย่างดีมีเยอะ ยังไงหลงเข้าไปแล้วก็ต้องมีสักคนที่ถูกตาต้องใจ'            ปลายสายอธิบายคร่าวๆ และยังพูดคุยต่อเกี่ยวกับคดี แต่กิตติธัชกลับกดวางสายลดโทรศัพท์ในมือลงด้วยหัวใจอันหดหู่หม่นหมอง            "มีอะไรวะเกิดอะไรขึ้นเหรอเคน" อัศม์เดชออกปากถามเมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของเพื่อน            "ขอโทษนะเพชร น้ำมนต์ ฉันมีธุระด่วนคงไปกินมื้อค่ำด้วยไม่ได้แล้ว เอาไว้วันหลังละกันไปก่อนนะ" ว่าแล้วร่างใหญ่ในชุดตำรวจครึ่งท่อนก็จ้ำอ้าวไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ กับรถของอัศฒ์เดช และขับออกไปอย่างรวดเร็ว            "อะไรของมันวะไอ้หมอนี่ นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา..." อัศม์เดชบ่นอุบ            "เรื่องงานมั่งคะ ถ้างั้น...คุณหมอก็ยกเลิกแพลนเถอะค่ะ" อัญญดาอ้อมแอ้มเมื่อนึกถึงมื้อค่ำที่จะมีกันเพียงสองต่อสอง แม้จะรู้สึกดีในตัวคุณหมอหนุ่มขึ้นมาบ้างเพราะเขาคอยเอาอกเอาใจสารพัด แต่เธอก็ยังไม่สนิทใจกับฐานะปัจจุบันของตัวเองอยู่ดี            "ได้ไง...พี่จองร้านจองโต๊ะเอาไว้แล้ว จ่ายเงินไปแล้วด้วย ใครไม่ไปก็ช่างสิพี่มีน้ำมนต์ทั้งคน...จริงไหม..." คุณหมอหนุ่มยิ้มกริ่ม ดึงมือเธอไปที่รถกดรีโมทปลดล็อกและเปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหน้า ดันตัวหญิงสาวที่ทั้งเขินทั้งอายหน้าแดงก่ำเข้าไป รีบปิดประตูทันทีก่อนจะเดินอ้อมไปประจำที่พลขับอย่างอารมณ์ดี            ยามนี้โลกทั้งโลกดูปลอดโปร่ง ท้องฟ้าก็สดใส...ความมืดมนในหัวใจถูกทำลายลงทีละน้อยๆ หากแต่...ในภายภาคหน้าใครจะรู้ว่าเมฆหมอกที่ลอยตามลมมานั้นจะก่อตัวเป็นพายุฝนซักกระหน่ำมาอีกกี่ระลอก ความดีงามในชีวิตมักไม่อยู่ยั่งยืนเสมอ ใจก็ได้แต่หวังว่าวันพรุ่งนี้ขอให้ฟ้าสดใสยิ่งกว่าเดิม อย่าได้มีเพศภัยหอบเอาลมหายใจที่เหลือกลืนหายไปเพราะความเจ็บช้ำ อีกเลย...            "ไหนบอกทานข้าวเสร็จจะกลับบ้านคะ..." อัญญดาหันซ้ายแลขวารอบๆ ตัวแล้วขยับตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างเกร็งๆ เสียงเพลงอึกทึกครึกโครม แสงสีจากไฟกะพริบแวบแวมชวนปวดหัว บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสลัวมืดทืบ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมาในที่แบบนี้หรอกนะ แต่เธอไม่ชอบเท่านั้นเอง            หลังจากคุณหมอหนุ่มพาเธอกลับไปบ้านเพื่อสะสางงานที่คลินิกต่อนิดหน่อย ก็พาออกมาดินเนอร์ตามที่ตกลงกันไว้ เสร็จสรรพนึกว่าเขาจะพากลับที่ไหนได้ ลากมาต่อที่ผับหน้าตาเฉยโดยไม่ขอความเห็นใดๆ            "เอาน่า...ช่วงนี้ใกล้สอบน้ำมนต์คงเครียด ไหนจะเรื่องแพรวอีก พี่เลยพามาผ่อนคลายบ้าง" คุณหมอหนุ่มยิ้มปริ่มตามแบบฉบับของเขา เรียกบริกรมาสั่งเครื่องดื่มพร้อมถามความเห็นหญิงสาว            "น้ำมนต์ไม่อยากดื่มค่ะ ปวดหัว" อัญญดาตะเบ็งเสียงพร้อมส่งสัญญาณบอกแข่งกับเสียงของดนตรี ที่เปิดดังกลบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เหมือนคนฟัง จะแค่ใส่ใจถามแต่ไม่ได้ใส่ใจจะรับรู้ความต้องการของเธอ เขาคุยอะไรบางอย่างกับเด็กเสิร์ฟแล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป สักพักเครื่องดื่มสองแก้วก็ถูกนำมาเสิร์ฟ            "..." อัญญดาส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอจนยกดื่มขึ้นมาจิบเบาๆ อัศม์เดชทำท่าเชิญชวนเธอออกไปเต้น หญิงสาวยิ้มแปลกใจเล็กน้อยที่คุณหมอหนุ่มมีโมเม้นแบบนี้กับเขาด้วย            "มาเถอะ..." เมื่ออัญญดาทำท่าไม่อยากออกไปทำคำเชิญ จึงเป็นเขาที่ลุกฉุดมือเธอให้ลากมาด้วยจนได้ เขายิ้ม...เหมือนล้อเลียน สายตาหวานฉ่ำจับจ้องแต่หน้านวลที่ต้องแสงไฟวิบวับจนอีกฝ่ายรู้สึกเก้อเขินไม่ใช่น้อย เขาจับตัวเธอหมุนกระตุ้นให้เต้นไปตามจังหวะเพลงเช่นเดียวกับเขา แต่ไม่ปล่อยให้ออกห่างจากวงแขน            ท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คนมากมาย อัญญดากลับรู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบมีเพียงเธอกับเขา...แก้มสาวผลิรอยยิ้มน้อยๆ สบสายตาคมในบางครั้งราว            แต่ก็ยังไม่ละจากเครื่องดื่มที่เรียกเด็กเสิร์ฟนำมาให้เป็นระยะ ผ่านช่วงกาลเวลามานานแสนนาน หญิงสาวไม่เคยรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยเหมือนเช่นวันนี้เลย มันโล่งไปหมด เหมือนกำแพงบางๆ แต่แข็งแกร่งหนักหนาได้ถูกย่อยสลายให้หายไปอย่างอ่อนโยน            ทุกการกีดกั้นและสร้างกรอบล้อมตัวเองอันเนื่องมาจากสภาพครอบครัว และอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ใจเธอปิดกั้นความสุข ความสนุกทุกรูปแบบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งพอมาเจอเรื่องความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยแล้ว ความมืดมนจึงล้อมรอบครอบกายไว้โดยสดุดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม