บทนำ
เสียงฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาครึ้มคำรามไม่ลดละน่ากลัว สายฝนโปรยปรายกะปริดกะปรอย ส่อเค้าจะเกิดห่าฝนใหญ่ซัดกระหน่ำหนักในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แสงสลัวจากดวงไฟสองข้างทางถนนยังพอจะสาดส่องให้ความสะดวกรถที่สัญจรไปมา
แต่หากเป็นประเภทมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานคงต้องเร่งรีบกันหน่อย เพราะหากยังไปไม่ถึงที่หมายหรือหาที่หลบพักไม่ได้คงต้องเปียกปอนเพราะพายุฝนมืดทะมึนนี้เป็นแน่
"แม่จ๋า...ขับช้าๆ หน่อยก็ได้จ้ะ...ฝนเริ่มตกแล้วอันตรายนะจ๊ะแม่!"
"ถ้าไม่รีบผ้าที่ตากไว้จะเปียกหมดนะน้ำมนต์ เราต้องซักใหม่เปลืองน้ำ เปลืองผงซักฟอกเข้าไปอีก ฝนดูท่าจะตกหนัก แม่ว่าจะรีบไปรองน้ำฝนไว้ใช้ด้วยจะได้ประหยัดค่าประปา" เสียงแม่ตอบกลับดังแข่งกับเสียงลมและเสียงรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งถูกดัดแปลงต่อเป็นพ่วงข้างเพื่อให้ใช้งานได้มากขึ้น หรือเรียกกันภาษาชาวบ้านว่ารถซาเล้งนั่นเอง
"จ้ะ..." หญิงสาวรับคำโดยไม่โต้แย้ง ด้วยเห็นสมกับเหตุผลที่มารดากล่าว รถของสองแม่ลูกจึงมุ่งตรงไปยังจุดหมายโดยไม่รีรอ เสียงฟ้าร้องอีกแล้วคราวนี้มีแสงแลบแปลบปลาบจนผืนดินสว่างวาบไปทั่วในวินาทีนั้น
ไม่มีบทสนทนาระหว่างนั้น ผู้เป็นมารดาบิดคันเร่งเพื่อนำพาตนเองและลูกกลับไปยังบ้านให้เร็วที่สุด ท่ามกลางเม็ดฝนที่ร่วงปรายลงมา เสียงกรีดร้องของสตรีทั้งสองก็ดังหวีดขึ้นเมื่อรถพ่วงเสียการทรงตัว เนื่องจากมีรถเก๋งที่ขับสวนมาเกิดเสียหลักพุ่งเข้าหาเลนที่แม่ของเธอกำลังขับรถอยู่ ทำให้คนขับหักหัวรถหลบเข้าไปยังเลนด้านขวาซึ่งไม่ใช่ทางของตัวเอง
เสียงดังโครมสนั่นเมื่อรถอีกคันที่ขับตามเก๋งคันก่อเหตุพุ่งชนสองแม่ลูกเข้าอย่างจังเพราะต่างก็ไม่ทันได้ตั้งตัว บวกกับความเร็วทำให้อุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นจนได้ มันร้ายแรงและนำพาสู่การสูญเสียรวมไปถึง...ทำลายหัวใจดวงน้อยให้แดดิ้นดับสลายไปด้วยในชั่วพริบตาเดียวนั้น
“แม่จ๋า!!! เด็กสาวกรีดร้องด้วยตัวเองยังมีสติดีอยู่ แต่ผู้เป็นแม่นั้นแน่นิ่งไปแล้วในสภาพเลือดท่วมไปทั้งตัว
เป็นจังหวะเดียวกันที่รถเก๋งซีดานต้นตอปัญหาเองก็ขับตกไหล่ถนนจนพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ตัวรถเกิดความเสียหายไม่น้อย ด้านกระโปรงหน้าบุบตามแรงกระแทก ทว่าคนขับยังมีสติอยู่และได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก เขาโอดครวญและเปิดประตูรถเดินโผเผออกมาจากตัวรถโดยเอามือกุมศีรษะที่ท่วมเลือดเอาไว้
ชายหนุ่มหรี่ตามองท่ามกลางสายฝน ความจำเลื่อนลอยกลับมาก่อนหน้าที่อุบัติเหตุจะเกิด เหมือนเขาเห็นบางอย่างตัดหน้าพร้อมด้วยเสียงหวีดร้อง และเสียงการปะทะที่ดังเกินกว่าจะเป็นแค่เพียงตัวเองขับรถชนต้นไม้ นภดลพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆ
"มอเตอร์ไซค์คันนั้น..." สิ่งที่เห็นทำเอาหัวใจเต้นระส่ำ ไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่ประสบเหตุร้ายแรงนี้ เขาครางเจ็บปวดให้กับร่างสองร่างที่นอนจมกองเลือดท่ามกลางเม็ดฝนที่ร่วงโรยลงมา ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าความสูญเสียทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความสะเพร่า...ของเขาคนเดียว
ความเจ็บและความสลดใจกดดันโสตประสาทให้หยุดทำงานในบัดเดี๋ยวนั้น ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมๆ กับสติที่ดับวูบมืดมิดตามไปด้วย
"อ้าว...จะกลับแล้วหรอหมอเพชรอยู่ทานมื้อค่ำด้วยกันก่อนสิ” เสียงเรียกทักจากดวงหทัยซึ่งเป็นนายจ้างของมารดาทำให้ชายหนุ่มหันไปยิ้มรับน้อยๆ สีหน้าของเขาฉายแววยินดีแต่ก็แฝงความเจ็บปวดเอาไว้ไม่สร่างซา
“ผมลาเลยดีกว่าครับคุณน้า พรุ่งนี้มีนัดกับเพื่อนไปดูพวกอุปกรณ์การแพทย์แต่เช้าด้วยกลัวสายครับ นี่ก็ถูกคุณณกรมอมจนเมาจะแย่อยู่แล้วครับ” นภดลโน้มตัวเป็นการขออภัยในคำเชิญ อันที่จริงเขาไม่ได้เมามายสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกโหยหาความสันโดษเดียวดายให้สมกับสภาพจิตใจตอนนี้ก็เท่านั้น
“เอาเถอะๆ มาอยู่เสียทั้งวันแล้วจะกลับก็ไม่เป็นไรหรอก ขับรถดีๆ นะพ่อหมอ” ดาหลาคุณยายวัยเจ็ดสิบกว่าๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ สามีและลูกเขยหันบอกนภดล
“อืมนั่นสิ นี่ก็มืดค่ำแล้ว...หมอเพชรยังไงลุงกับทุกคนต้องขอขอบใจเรามากๆ เลยนะสำหรับทุกๆ เรื่อง” ธนาพ่องานของค่ำคืนนี้เสริมทัพ เขาพูดด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และนภดลก็ควรได้รับคำขอบคุณนี้จากทุกคนด้วย ทุกคนยิ้มส่งเมื่อชายหนุ่มยกมือไหว้และตั้งท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวฉันไปส่งนะหมอ” ภูมิศิลาดูเหมือนจะเข้าใจดีรีบเดินไปตบไหล่แล้วพากันออกไปข้างนอก โชคดีที่วันนี้แม่หนูน้อยอภษฎาเข้านอนแต่หัววันเพราะเธอซนมาก เล่นจนเหนื่อยและเพลียหลับไปในที่สุด ไม่อย่างนั้นคงร้องไห้โยเยตามพ่ออุปถัมภ์ของเธอเหมือนเช่นเคย
“ขอบใจมากนะหมอ...ฉันนับถือน้ำใจนายจริงๆ ว่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำแม้บางครั้งอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราแอบหวัง และเสียใจกับมันบ้าง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เราก็สมควรทำไม่ใช่เหรอครับ” พูดไปแล้วก็ใจหาย เขาจะต้องกลับมาใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอีกครั้งหลังจากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้เพียงสองปี
แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างเป็นเพียง...ภาพลวงหลอกตาเท่านั้น
เพราะส่วนที่เคยเข้ามาเติมเต็มชีวิตนั้น มันไม่สมควรจะเป็นของเขาตั้งแต่แรก และเจ้าของที่แท้จริงก็คงรอคอยด้วยความเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการคืนมธุรสกับอภษฎาคืนสู่อ้อมอกของณกร ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ต่อให้ยื้อยืดยาวเท่าไหร่ ผลลัพธ์มันก็คงไม่ต่างกัน
“ฉันเข้าใจนายนะหมอ...ฉันเชื่อว่าสักวันนายจะเจอเนื้อคู่ของนายเอง คนที่เขารักนาย และนายก็รักเขา...โชคดีนะเพื่อน”
“เช่นกันครับคุณภูมิ...ฝากจัสมินกับน้ำหวานด้วยนะครับ” นภดลพยักหน้ายิ้มก่อนจะพูดฝากฝังคนที่ตัวเองแสนห่วง ก่อนจะเดินขึ้นรถขับออกไป
ภูมิศิลามองรถของคุณหมอหนุ่มจนลับหายไปกับท้องถนนและความมืดยามค่ำคืน เขานับถือน้ำใจลูกผู้ชายของนภดลยิ่งนัก ชายหนุ่มอนาคตไกลที่เอาตัวเองเข้ามาปกป้อง ดูแลคนที่ตัวเองรักโดยไม่หวังผลตอบแทนทำได้อย่างนั้น จะมีสักกี่คนที่จะมีจิตใจบริสุทธิ์ ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้คนที่รักมีความสุขทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองต้องเจ็บปวด
รถเก๋งคันงามวิ่งฉิวตามท้องถนน คนขับใจเลื่อนลอยแทบไม่มีสมาธิกับเส้นทางที่จะไป มันเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือไว้แม้แต่หัวใจของตัวเอง
หลังจากภูมิศิลาและทุกคนพาอภษฎามากรุงเทพฯ เมื่อเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อน พ่อกาเหว่าอย่างเขาก็เทียวไล้เทียวขื่อมาหาอยู่ไม่ขาด ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจากสายเลือด แต่มันคือความผูกพันที่ถูกเชื่อมโยงมาจากความใกล้ชิด ความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันและมันเหนียวแน่นจนเขาไม่อาจข่มใจให้ลืมได้เลย แม้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม
ภาพเก่าๆ บรรยากาศแห่งความสุขลอยวนเวียนหลอกหลอนอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นทุกกิริยาอาการของมธุรสผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ หรือภาพของอภษฎายามนอน ยามที่เด็กหญิงหัวเราะร้องไห้แล้วมีเขาคอยประคบประหงมมาตั้งแต่แบเบาะ ต่อไปนี้มันจะไม่มีอีกแล้วความทรงจำที่สวยงามเหล่านั้น มันกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต คนที่เขารักทั้งคู่กำลังโผผินไปสู่อ้อมอกเจ้าของที่แท้จริงของพวกเขา และจะใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขตลอดกาลอย่างพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก
มือหนายกปาดน้ำตาที่เค้นออกมาจากความเจ็บจุกอย่างอยากจะห้ามใจ ไฟหน้ารถสาดส่องทำให้เห็นว่าถนนด้านหน้าของเขาเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีกิ่งไม้ปักบอกเป็นสัญญาณถึงความไม่ปลอดภัยในการสัญจร ชายหนุ่มรีบหักพวงมาลัยหลบด้วยว่าตัวเองนั้นขับมาเร็วพอสมควร ประกอบกับความไม่ชินเส้นทางนี้ทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นเป็นเหตุให้รูปถ่ายครอบครัวที่เขาตั้งไว้หน้ารถเสมอ ร่วงหล่นไปอยู่ตรงใกล้ๆ กับเท้าของเขาที่กำลังเหยียบคันเร่ง ชายหนุ่มละความคิดเรื่องในวันวานก้มลงควานหารูปถ่ายแสนรักที่เหลือบเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่ามันอยู่ในตำแหน่งไหน
มือใหญ่วนคว้าให้เจอกรอบรูปถ่ายโดยไว ทั้งที่ตานั้นยังมองถนนและมืออีกข้างก็ยังหมุนพวงมาลัยบังคับทิศทางของรถอยู่ ปลายนิ้วแตะโดนของแข็งบางอย่างแต่ไม่สามารถคว้ามันมาไว้ในมือได้ เนื่องจากเขาก้มจนสุดเอื้อมแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจละสายตาจากท้องถนนก้มลงเก็บรูปถ่ายใบนั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววิ...รถของตัวเองกำลังพุ่งไปยังเลนตรงกันข้ามเสียแล้ว
“ว้าย!” เสียงของสตรีสองนางที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ดัดแปลงสวนมาประสานร้องกรีดลั่นท้องถนน คนขับซึ่งดูอาวุโสกว่ารีบหักลบรถเก๋งที่เสียหลักเข้ามาอยู่ในเส้นทางของพวกตน โดยข้ามล้ำไปยังเลนขวา เป็นเหตุให้รถอีกคันที่ตามหลังรถของนภดลเฉี่ยวชนเข้าเต็มแรง
“เอ๊ย!!” เป็นจังหวะเดียวกันที่นภดลก็หยิบรูปถ่ายได้และเงยหน้าขึ้นมาพอดี พอรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอีกเลนหนึ่งและมีรถมอไซค์อยู่ด้านหน้า ถ้าจะหักกลับเส้นทางของตัวเองก็ไม่ทันเสียแล้วชายหนุ่มจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยลงข้างทางด้านขวามือที่รถของตัวเองกำลังวิ่งผิดที่ผิดทางอยู่
เสียงปะทะดังลั่นเมื่อรถของนภดลชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง
"คุณคะ...คุณ รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ"
สิ่งแรกที่รู้สึกหลังจากได้ยินเสียงกระซิบเรียกนั้น คือความเจ็บปวดระบม เมื่อค่อยๆ ปรือตามองก็พบว่าตัวเองอยู่ในที่แปลกตากับหญิงสาวซึ่งอยู่ในชุดนางพยาบาลนางหนึ่ง
"เจ็บ..."
"ค่ะ...ระวังนะคะ คุณไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่รอยฟกช้ำแล้วก็รอยแผลจากการถูกกระแทกมีหลายแห่ง ถ้าขยับผิดจังหวะอาจทำให้ระบมมากขึ้นได้นะ"
"แม่ แม่ล่ะจ๊ะ" ดวงตากลมกลอกไปมาด้วยความสับสนหวาดระแวง พยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า หัวใจดวงน้อยก็เต้นสั่นระรัว
"ใช่เย็นๆ ค่ะ ก่อนอื่นลองบอกชื่อจริง ชื่อเล่นกับพี่นะคะ จำได้ไหมเอ่ย" นางพยาบาลพยายามประโลมใจคนป่วยซึ่งมีอาการตื่นตระหนกชัดเจน โดยการหันเหความสนใจชั่วคราว
"ชื่อ...อัญญดาค่ะ ชื่อเล่นน้ำมนต์"
"โอเคค่ะน้องน้ำมนต์ จำชื่อตัวเองแล้วรายละเอียดอื่นได้ใช่ไหมคะ ตอนนี้รู้สึกปวดหัว หรือวิงเวียนอยากจะอาเจียนอยู่ไหม" เธอถามพลางเลกเชอร์อาการคนป่วยลงในกระดาษที่แนบกับแฟ้มรองเขียน
"พี่พยาบาลคะ...แม่ของหนูล่ะคะ แม่อยู่ไหน"
"เอ่อ...คุณหมอกำลังรักษาอยู่ ตอนนี้น้องน้ำมนต์ทานยาก่อนนะเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาดูแลให้ นอนพักอีกสักสองสามชั่วโมงแล้วค่อยลุกนะคะ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวอีกหน่อย" นางพยาบาลแนะนำและเลี่ยงจะพูดถึงมารดาของคนเจ็บ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายที่บอบช้ำอยู่แล้ว
"ไม่ค่ะพี่ หนูขอร้องนะคะให้หนูพบแม่หน่อย แม่อยู่ไหน หนูอยากเจอแม่" พูดพลางพร้อมกันนั้นเธอก็ยกมือขึ้นพนมไหว้ น้ำตาคลอเบ้า พอจะลำดับเรื่องราวก่อนจะหมดสติไปได้บ้างแล้ว ทำให้อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจด้วยความสงสาร รู้สึกสลดไปไม่น้อยกว่ากัน
"คุณแม่ของน้องอยู่ในห้องไอซียูค่ะ...ถ้าอย่างนั้นก็นั่งรถเข็นไปนะคะ เดี๋ยวพี่จะให้บุรุษพยาบาลช่วยเข็ญพาไป"
"อยู่ห้องไอซียู...แม่..."
ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าห้องไอซียูเมื่อบุรุษพยาบาลนำพามาถึง เธอร้องไห้จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปช้านานเท่าไหร่ หยดน้ำตาเหือดแห้งแล้วก็ไหลเอ่อออกมาใหม่ซ้ำอยู่อย่างนั้น หัวใจสั่นคลอนอ่อนแรงหวาดกลัวเหลือเกินกับการสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้
อยากให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้ายในนิทราอันมืดมิด ของค่ำคืนหนึ่ง เมื่อตื่น...ทุกอย่างรอบตัวจะเป็นไปตามวิถีทางที่เหมือนเดิม มีแม่...มีเธอ ช่วยกันทำมาหากิน ไปเรียนหนังสือและกลับบ้านมาอยู่ด้วยกัน นอนตระกองกอดกันในอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ไม่อาจเทียบทานด้วยสิ่งใด
"ขอโทษครับ" ใครคนหนึ่งเยื้องกรายเข้ามาในขณะที่เธอกำลังอาดูรหวนไห้ เขาอยู่ในชุดของผู้ป่วยเหมือนกัน
หญิงสาวหันมอง...ชายหนุ่มผู้กล่าวทัก เขามีผ้าพันแผลบนศีรษะ และมีรอยขีดข่วนฟกช้ำดำเขียวบริเวณแขนที่โผล่พ้นสาบเสื้อออกมา
เธอไม่ได้ให้ความสนใจเขา...เพียงแค่เหลือบมองและหันกลับมาก้มหน้าสะอื้นดังเดิม
“คือ...ผมอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนที่คุณกับแม่ประสบอุบัติเหตุนะ”
ประโยคนั้นเรียกความสนใจของหญิงสาวได้ทันที เธอสะบัดหน้ามองเข้าแววตาเจ็บแค้นแดงก่ำและฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดหยดแห่งความเสียใจ พร้อมเหยียดเท้าลงจากเก้าอี้ที่นั่ง เดินตรงไปยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มทันที
“คุณ...ไอ้เลว!!! คุณคือคนที่ชนฉันกับแม่แล้วหนีใช่ไหม” เสียงเล็กแหลมแหบแห้งตะโกนด่าทอด้วยความโกรธชิงชังในตัวผู้ก่อเหตุที่ทำให้เธอและมารดาบาดเจ็บ ซ้ำร้ายผู้ให้กำเนิดนั้นอาการสาหัสจนแม้แต่หมอกับพยาบาลยังไม่กล้าแจ้งความคืบหน้าในการรักษาแก่เธอ ทั้งที่ผ่านไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่เมื่อคืน
ในใจ...จึงหวาดกลัวหวั่นไหวสับสนไปหมด
“ไม่ใช่นะ...มีคนอื่นมาชนคุณด้วยเหรอ...คือใจเย็นๆ ก่อนนะ ไม่รู้คุณพอจะจำได้ไหมว่ามีรถคันหนึ่งวิ่งเข้าไปในเลนถนนที่คุณขับมา” เขาพยายามกล่อมอีกฝ่ายให้สงบพร้อมตั้งคำถาม เพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ประสบเหตุอีกราย คิดว่าพวกเธอแค่เสียหลักแล้วรถล้มคว่ำไปเองเสียอีก เพราะพอตัวออกมาจากรถได้ก็ไม่เห็นใคร หรือรถคันอื่นอยู่ในเหตุการณ์แล้ว มีเพียงผู้หญิงสองคนที่นอนจมกองเลือด และซาเล้งต่อพ่วงสภาพยับเยินกองอยู่ใกล้ๆ กัน
“คุณ...เป็นเจ้าของรถคันนั้นเหรอ” เธอนึกออก และจำได้เป็นอย่างดีทีเดียว ว่าขณะที่มารดากำลังเร่งขับรถเพื่อให้ทันกลับถึงบ้านก่อนฝนตกหนักนั้น มีรถจากอีกเลนฝั่งหนึ่งเสียหลักพุ่งเข้าหา เป็นเหตุให้รถพ่วงข้างของเธอต้องหักหลบไปยังอีกเส้นทาง เป็นเหตุให้ประสานงากับรถยนต์คันหลังที่ขับตามหลังเขามาด้วยความเร็วสูง
“ใช่ ผมขับรถคันนั้นเอง” เขายอมรับ...ลอบกลืนน้ำลายและใช้สายตาอันเศร้าสำนึก สำรวจหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนตรงหน้าไปในตัว
เธอมีรอยขีดข่วนและช้ำเป็นจ้ำๆ ตามใบหน้าและแขนรวมถึงผิวเนื้อทุกส่วนที่โผล่พ้นชุดของโรงพยาบาล ผิวขาวเหมือนหยวกต้องแปดเปื้อน เพราะความสะเพร่าของเขา อุบัติเหตุจะไม่เกิดเลยหากมีความระมัดระวังไม่ประมาทเลินเล่อ
“เพราะคุณ...เพราะคุณคนเดียว แม่ฉันถึงต้องเจ็บขนาดนี้” ร่างแบบบางปรี่พุ่งเข้าใช้กำปั้นน้อยๆ ของเธอทุบแผงอกของอีกฝ่ายเท่าที่กำลังจะมีเหลือ เขาไม่ตอบโต้ ไม่รั้งยื้อ ไม่ปัดป้องตัวเองเพราะรู้ว่าความเจ็บปวดแค่นี้เทียบไม่ได้เลยสักเศษเสี้ยวของความเสียใจที่หญิงสาวกำลังรู้สึกอยู่
เธอดิ้นรนหวีดร้องสะอื้นตีอกชกเขาอยู่อย่างนั้นได้ไม่นานก็อ่อนล้าล่าถอยกลับไปนั่งยังที่เดิม สะอื้นฮักตัวโยน ด้วยไม่รู้จะหาทางระบายความอัดอั้นอย่างไร
“ผมขอโทษ...ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากนักแต่ก็พอรู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุจริง ชายหนุ่มไม่คิดหนีหน้าตัดสินใจเดินไปยืนใกล้ๆ กับเธอ
“เพราะคุณคนเดียว เพราะความไม่ระวังของคุณนั่นแหละ เราขับรถกันมาดีๆ จู่ๆ คุณมาจากไหนก็ไม่รู้ขับข้ามเลนมา แม่ฉันตกใจหักหลบ รถของเราเลยวิ่งไปอีกฝั่งถนน รถคันที่ขับตามหลังคุณมา...เลยชนเราเข้าเต็มๆ แล้วรถคันนั้นก็ขับหนีไปเลย” เล่าพลางร่างบางก็สะอื้นพลางจนคนฟังใจเสียยิ่งกว่าเก่า
“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมผิดเอง ไม่ต้องห่วงนะผมยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง” นอกจากจะรับปากกับผู้เคราะห์ร้ายไปแล้ว นภดลยังให้คำมั่นกับตัวเองอีกด้วย เขาไม่อาจละเลย...ไม่อาจมองผ่านความเสียใจโสมนัสนี้ไปได้เลย เหมือนตัวเองเป็นผู้ลงมือทำร้าย กดกรีดบาดแผลลงบนหัวใจดวงน้อยของเธอให้เจ็บปวดทุกข์ระทม จนชีวิตจมดิ่งอยู่ในความมืด ไร้แสงส่องสว่างให้กลับคืนมาเป็นเช่นเด็กสาวคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
“คุณอัญญดาครับ...เชิญด้านในหน่อยครับ...อ้าว!! หมอเพชรมาแล้วเหรอ นายจะเข้ามาด้วยก็ได้นะ” ร่างเล็กดีดตัวลงยืนแล้วเดินเข้าไปหามารดาในทันที โดยมีคุณหมอผู้ให้การรักษาและนภดลยังยืนคุยกันอยู่ด้านนอก
หญิงสาวปรี่ตรงเข้าผู้ให้กำเนิดที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีเครื่องไม้เครื่องมือสายยางห้อยระโยงเต็มไปหมด สภาพชวนให้สลดหดหู่ยิ่งนัก
“อาการคนป่วยเป็นไงบ้างสิน”
“แย่ว่ะเพชร...บอกตามตรงอยากให้ลูกสาวเขาทำใจนะ” แพทย์หนุ่มบอกเพื่อนตามความเป็นจริงไม่ปิดบัง นภดลถอนหายใจและแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเคร่งเครียด...เขาทำอะไรลงไป ช่วงเวลาแห่งความประมาทเพียงเสี้ยววินาที กำลังสร้างความสูญเสียให้กับหญิงสาวผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง มารดาอันเป็นที่รักของเธอกำลังจะจากไปด้วยน้ำมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอ...ซึ่งมีอาชีพช่วยเหลือชีวิตผู้คน
“ทำไม...รักษาสิ นายเก่งนี่ เครื่องไม้เครื่องมือที่นี่ก็ครบครัน ช่วยเขาสิ ฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น นายก็เป็นหมอน่าจะรู้ดี อาชีพของเราต้องช่วยเหลือคนป่วยอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว แต่ถ้าช่วยไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง คุณป้าโดนกระแทกอย่างแรงจนอวัยวะภายในบอบช้ำเสียหาย ที่ยังอยู่ได้เพราะมีเครื่องช่วยหายใจช่วย แกรู้สึกตัวแล้วและทรมานมากนายรู้ไหม ตอนนี้....ฉันเข้าใจว่าคุณป้าคงอยากเจอลูกสาว...เป็นครั้งสุดท้าย”
กันพัชรก้มหน้าหลับตาด้วยความจำยอม ในขณะที่นภดลนั้นตามหญิงสาวเข้าไปในห้องไอซียูทันที ไม่รอให้เพื่อนร่วมอาชีพกล่าวอะไรต่อ
อัญญดาดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เธอกุมมือที่อ่อนแรงของมารดาไว้แน่น ทั้งเข็มน้ำเกลือและเข็มให้ยาเจาะผ่านผิวเนื้อที่เสื่อมโทรมตามวัยอย่างน่าใจหาย เธอรั้งหลังมือที่เย็นชืดมาแนบแก้มพยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เป็นการบั่นทอนกำลังใจคนเจ็บ
“เอ่อ...สวัสดีครับคุณป้า" ชายหนุ่มยกมือไหว้ เขามองภาพนั้นด้วยความสำนึกผิดมหันต์ เขาที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยใช่ไหม ทั้งที่เป็นคนก่อเหตุให้เรื่องราวมันเลวร้ายจนเกิดความสูญเสียขนาดนี้
คนเจ็บที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เกือบทุกอย่างรอบตัว ค่อยๆ หันมองเขา ดวงตาของนางแดงฉานช้ำเลือดแต่หากไม่มีแววเจ็บแค้นสื่อให้เห็น
“ผม...เป็นคนที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อคืน คุณป้าวางใจนะครับผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” เขารู้การรับปากด้วยคำสัตย์จะช่วยให้นางรู้สึกสบายใจขึ้น ไม่ต้องนึกเดาหรอกว่าสิ่งที่นางยังห่วงกังวลอยู่นั้นคือสิ่งใด
หัวใจของแม่...ย่อมไม่อาจละวางจากลูกอันเป็นที่รัก แม้รู้ตัวเองว่าไม่อาจทนฝืนชะตากรรมได้ไหว แต่เมื่อมีห่วง ก็ยังพยายามต่อต้านเจ็บปวดจนกว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่นั้นจะได้รับการสะสาง นางขยับตัวจ้องมองหมอนภดลตาแข็ง ราวกำลังต้องการสื่อสารบางอย่าง
“แม่จ๋า...แม่เป็นอะไรจ๊ะ แม่อย่าเพิ่งขยับนะแม่ยังไม่หายดี รออีกวันสองวันคงจะดีขึ้น แม่อยากได้อะไรค่อยบอกน้ำมนต์นะ” น่าสะท้านสะเทือนใจยิ่งนักที่ผู้ไม่รู้จะยังมีความหวังเต็มเปี่ยม เธอออกปากปรามเมื่อเห็นผู้ให้กำเนิดกระสับกระส่าย กำมือท่านเอาไว้แน่นปลอบประโลมด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์
กันพัชรเดินเข้ามาพอดีในจังหวะนั้น เขาสะอึกจุกไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ทั้งที่เป็นอาชีพ เป็นหน้าที่และพบเจอเหตุการณ์เหล่านี้บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้ง...เขาก็ยังเจ็บปวดที่เห็นภาพญาติคนป่วยต้องร้องไห้คร่ำครวญกับการสูญเสียเหล่านั้นและยังไม่เคยชินสักที
“คุณอัญญดาครับ เชิญทางนี้หน่อยผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” มันลำบากใจมากสำหรับคนพูดต่อให้เขาเป็นหมอก็เถอะ นภดลมองหน้าเพื่อน และหันมองหญิงสาวในขณะเดียวกัน วูบหนึ่งเขานึกอยากเป็นคนบอกกล่าวเรื่องนี้กับเธอด้วยตัวเอง แต่เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตนจึงพยักหน้าให้กับนายแพทย์ผู้ดูแลช่วยหาทางสื่อสารด้วยวิธีอ่อนโยนที่สุด แม้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม เมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
นภดลมองอัญญดาที่เดินตามกันพัชรหายไปในห้องพักแพทย์จนลับตา เขาหันกลับมาสนใจคนเจ็บ จับมือนางมากุมเอาไว้ส่งมอบกำลังใจและความรู้สึกผ่านสัมผัส นางกำมือเขาแน่น พยายามขยับ พยายามพูด พยายามสื่อสารผ่านสายตาที่แดงช้ำเลือด หยาดน้ำใสๆ ไหลรินลงอาบสองแก้ม
“อื้อ...อื้อ...” นางจ้องเขาเขม็ง และส่งเสียงผ่านลำคอซึ่งมีเครื่องช่วยหายใจอยู่ทำให้มีแค่เสียงอือออเท่านั้นที่เปล่งออกมา
“คุณป้า! ใจเย็นครับอย่าเพิ่งใช้แรงมาก คุณป้าครับ” คนเจ็บพยายามกำมือเขาแน่น พยายามจะพูด หายใจแรงจนดวงตาเหลือกถลน เลือดสดๆ ไหลออกมาเมื่อมีอาการสำลักร่วมด้วย นางพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาให้ความช่วยเหลือ และตามตัวคุณหมอเจ้าของไข้
“คุณป้า...ใจเย็นค่ะอย่าเพิ่งฝืนขยับตัวนะคะ” ทั้งพยาบาลและหมอในคราบคนไข้ต่างพยายามปฐมพยาบาลคนเจ็บที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง สายตาของนางมองนภดลสลับกับกลอกเกลือกไปทางด้านห้องพักที่อัญญดาและหมอกันพัชรเข้าไปคุยธุระกัน
“อื้อ...” ยิ่งดิ้นยิ่งปัดป้อง ก็ยิ่งทรุดหนัก เลือดไหลเปรอะเปื้อนเครื่องมือแพทย์ส่งเสียงร้องเตือนดังระนาวไปทั้งห้อง
“พยาบาลครับ ดูเหมือนคุณป้าอยากบอกอะไรผม”
“แม่! แม่จ๋า” เป็นจังหวะเดียวกันที่อัญญดาและหมอกันพัชรวิ่งตรงเข้ามา หญิงสาวโผเข้ากอดร่างทุรนทุรายของมารดาด้วยความระทมใจอย่างหาที่สุดมิได้
เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้จะแตกแหลกสลายลงในชั่วพริบตา...
“อื้อ...อื้อ” คนป่วยยิ่งดิ้น คว้าข้อมือของลูกสาวและสาละวนไปจับมือนภดลด้วยในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มรับรู้ตั้งแต่แรกว่านางต้องการสั่งเสียสิ่งใด จึงบีบกำมือเย็นชืดเอาไว้พร้อมทั้งรวบมือบุตรสาวของมาบีบกำไว้มั่นเช่นกัน
“ผมเข้าใจแล้ว...ผมจะดูแลลูกสาวคุณป้าให้ดีที่สุดครับ ผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย...คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้นนะครับ” เขารับปากทันที น้ำตาคลอหน่วย หัวใจถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง ทั้งหญิงสาวที่ฟูมฟายคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ พร่ำเรียกหาแต่บุพการีซึ่งหายใจหอบถี่ขึ้น ชักกระตุก และค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงลงไปทีละน้อย ในที่สุดมือที่เหี่ยวย่นผ่านร้อนผ่านหนาวมาครึ่งค่อนชีวิตที่กำบีบมือของชายหนุ่มอยู่ก็เริ่มคลายตัว แน่นิ่ง...หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
"แม่จ๋า!!" เป็นสิ่งเดียวที่หัวใจไม่อาจยอมรับเหตุการณ์หายนะในครั้งนี้ มันมากมายเทียบเท่าลมหายใจทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่ อัญญดากรีดร้องเพรียกหาผู้ให้กำเนิดด้วยความอาลัยสุดซึ้ง แม้รู้ว่าไม่อาจยื้อชะตากรรมอันโหดร้ายนี้ให้กลับคืนมาได้แต่เธอก็ยังไม่พร้อมสำหรับการสูญเสีย มันกะทันหันและเร็วเหลือเกิน...
ร่างเล็กทรุดฮวบพร้อมๆ กับสติที่ดับวูบลงไป นภดลประคองเอาไว้ทันและยกอุ้มแนบอก หันกลับไปมองมารดาของเธอที่แน่นิ่งไปแล้วท่ามกลางหมอและพยาบาลซึ่งกำลังช่วยกันยื้อชีวิตอย่างเต็มที่อีกครั้งเท่าที่สามารถจะทำได้ แล้วก้มศีรษะเป็นการขอขมา ใจหนึ่งเขายังตั้งมั่น อธิษฐานให้นางกลับมาอีกครั้ง เผื่อบางที...ปาฏิหาริย์จะยังพอหลงเหลืออยู่
“ฉันฝากทางนี้ด้วยนะสิน” ชายหนุ่มกระชับวงแขนโอบร่างระทวยเอาไว้แน่นกว่าเก่า หันไปฝากฝังเพื่อนหมอด้วยความอาลัยสลด จากนั้นก็อุ้มพาเธอไปยังห้องพักฟื้นดังเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างมีโชคชะตาขีดกำหนดเอาไว้แล้ว ต่อให้ฝืนเท่าไหร่ก็ไม่อาจข้ามพ้นวิถีทางเหล่านั้น การพลัดพรากการจากลา...เป็นสิ่งยั่งยืนเสียกว่าคำรักอันเลิศล้ำอำไพ ทางเดียวที่จะหลุดพ้นความรู้สึกทุกข์มหันต์นั้น คือการทำใจให้ยอมรับต่อโชคชะตาอันประเสริฐเที่ยงแท้เหล่านั้น...
ช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้...คือการชดใช้ให้กับทุกความรู้สึกที่ขาดหาย