"ไม่รอคุณเคนเหรอคะ..." อัญญดาเอ่ยปากถามเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มตักอาหารใส่จานให้เธอ ส่วนตัวเขานั้นสั่งเบียร์มานั่งดื่มตามความเคยชิน พร้อมกับแกล้มสองสามอย่าง
"กินก่อนเถอะ รอนานแล้วเดี๋ยวจะปวดท้องเอาได้" อัศม์เดชคะยั้นคะยอด้วยรู้ว่าอย่างไรเสียกิตติธัชคงไม่กลับมาแล้ว เพราะเขาวานให้ช่วยไปส่งแพรวพรรณ ป่านนี้คงเลยกลับบ้านไปแล้ว
ก็ไม่แปลก...เพราะอย่างไรเสียพรุ่งนี้เขากับเพื่อนก็ต้องพบเจอกันอยู่ดี ค่อยเลี้ยงข้าวขอบคุณก็ไม่ได้สาย
"อ้าว...แล้วพาน้ำมนต์ออกมาทำไมล่ะคะถ้ารู้ว่าคุณเคนไม่มา"
"พามากินข้าวไง" เขาตอบหน้าตายก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่จานให้ไม่สนใจท่าทีนิ่งงันของอีกฝ่าย
"พอแล้วค่ะ หนูไม่หิวคุณหมอดื่มเสร็จเรากลับบ้านกันเลยดีกว่าหนูต้องอ่านหนังสือสอบ"
"ออ...นี่ใกล้จะจบแล้วสินะ"
"ค่ะ อีกแค่เดือนเดียว..." เธอเปรย นานแล้วที่ไม่ได้หันหน้าคุยกันด้วยดีแบบนี้ แม้ก่อนหน้าจะระหองระแหงแต่เธอก็ยังให้ความเคารพในฐานะที่เขาเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนให้ที่กินที่อยู่ แต่หลังจากเหตุร้ายเกิดขึ้นจะให้ยินดียังความรู้สึกกลับไปแบบเดิมมันคงยากเหลือแสน
"คิดไว้หรือยังว่าจะทำงานอะไร พี่ว่าน้ำมนต์เริ่มดูๆ ไว้ได้แล้วนะ"
"ค่ะ..." เธอตอบอย่างเสียไม่ได้ ใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจานเล่น ไร้ความรู้สึกอยากจะทานมันเข้าไป
"อืม...เอางี้ไหม มาทำงานกับพี่ที่คลินิกพลางๆ ก่อน จนกว่าจะได้งานที่ถูกใจ"
"หนูไม่อยากรบกวนคุณหมออีกแล้ว...หนูขอร้องนะคะคุณหมอปล่อยหนูไปซะทีเถอะ อย่าทรมานกันอีกเลย" บรรยากาศรอบตัวอึมครึมลงในชั่วพริบตา ดวงตากลมโตคลอหน่วย ประหนึ่งไม่อาจฝืนกับชะตากรรมได้อีกต่อไปแล้ว
"พี่..."
"ถ้าคุณหมอคิดจะชดเชยความผิดด้วยการหน่วงเหนี่ยวหนูไว้แบบนี้...มันก็รังแต่จะทำให้เราสองคนมีแต่ความทุกข์กันทั้งคู่ คุณหมอจะบอกพี่เบสว่ายังไงคะเรื่องของหนู แล้วคุณหมอจะให้หนูทำไม่รู้ไม่ชี้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ ของคุณหมอ คุณหมอทำได้ยังไง..." ไม่เพียงแค่ความอัดอั้นตันใจเท่านั้นที่ไหลบ่า น้ำตาแห่งความอาดูรก็หลั่งรินอาบแก้มด้วยอารมณ์ประหนึ่งใจจะขาด
"น้ำมนต์..." อัศม์เดชรู้สึกจุกไปกับกิริยาแสดงถึงความอ่อนแอนั้นจนตัวเองก็อ่อนยวบไปตามกัน เขาหยิบทิชชู่เอื้อมไปซับเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่อัญญดาถอยห่าง มื้อค่ำคืนนี้คงอวสานแบบไม่สวยสักเท่าไหร่
"ลืมเรื่องในอดีตไปบ้างได้ไหมน้ำมนต์...พี่อยากให้เรื่องของเรามีจุดเริ่มต้นที่คืนนั้น..."
"ไม่ว่าตอนไหนๆ สำหรับหนูก็มีแต่ความเจ็บช้ำทุกอย่าง...คุณหมอลองมาเป็นหนูบ้างสิคะแล้วจะได้รู้" อัญญดาให้คำตอบด้วยน้ำตานองหน้า ไม่นึกแคร์สายตารอบโต๊ะที่มองอย่างประหลาดใจ
"เกลียดพี่ขนาดนั้นเชียว..." เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่สายตาจ้องหน้าเธอไม่วาง หญิงสาวไม่ได้ให้คำตอบแต่ก็เหมือนเป็นการไม่ปฏิเสธไปในตัวด้วย ชายหนุ่มหลุบตาต่ำถอนหายใจกับปัญหาหนักอึ้งราวกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
"พี่กับเบส...เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันแล้ว"
"หนูไม่อยากรู้ค่ะ เพราะหนูเชื่อว่าคนอย่างคุณหมอทำได้ทุกอย่าง นอนกับผู้หญิงอีกคนบนเตียงทั้งๆ ที่รูปแต่งงานแขวนอยู่บนหัวนอน และยังมีอีกคนที่เดินว่อนอยู่ในคลินิกด้านล่าง สำหรับคุณหมอแล้วทุกคนก็คงเป็นแค่ของเล่นชั่วคราว ฉะนั้นขอให้ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ"
"น้ำมนต์..."
"ขอตัวนะคะ น้ำมนต์จะกลับ" หญิงสาวพูดพลางลุกยืนเก็บกระเป๋าสะพายข้างพร้อมจะจากไปด้วยท่าทีลนลาน เหมือนไม่อยากอดทนต่อไปอีกแล้ว อัศม์เดชมองอึ้งๆ ไม่นึกว่าอัญญดาจะหนีไปเสียเฉยๆ แบบนี้ เขาเรียกพนักงานอย่างรีบเร่งและควักเงินให้โดยไม่รอเงินทอนก่อนจะวิ่งตามร่างบางออกไป
"น้ำมนต์! น้ำมนต์! รอพี่ด้วยจะกลับยังไง"
"คุณหมอทานต่อเถอะค่ะ ตั้งแต่เย็นยังไม่ได้ทานอะไรไม่ใช่เหรอ หนูกลับแท็กซี่ก็ได้ รับรองว่าถึงบ้านคุณหมอแน่ๆ" หญิงสาวก้าวเท้าไม่เหลียวมองหลัง
อัศม์เดชรู้สึกปวดหัวกับสาวเจ้าเป็นยิ่งนัก และไม่คิดฝันว่าตนเองจะต้องมาทำอะไรเช่นนี้ด้วย เขาคว้าข้อมือเล็กหมับเมื่อสามารถเข้าใกล้ร่างเล็กได้ระยะประชิด พลางเป่าปากโล่งอกที่ยื้อเอาไว้ได้
"เหลวไหล!...มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ" จากนั้นก็เป็นฝ่ายเดินนำจูงร่างเล็กให้เดินตามบ้าง เลี้ยวเข้าลานจอดรถซึ่งอยู่ซ้ายมือของถนนสายตาก็เหลือบมองไปเห็นบางอย่าง
"อะไรคะ...ไหนจะกลับบ้าน..." อัญญดาถูกลากไปยังอีกทิศทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางที่รถของคุณหมอหนุ่มจอดอยู่ หล่อนเห็นเด็กผู้ชายถือช่อกุหลาบอยู่หลายช่อ ท่าทีลังเลเมียงมองเหมือนกำลังหาทางเข้าไปในร้าน
"เหมาหมดนี่เท่าไหร่"
"หา!" เด็กคนนั้นหันมาตามเสียงทักเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
"ถามว่าเหมาหมดนี่เท่าไหร่ พี่จะซื้อเองเราจะได้กลับบ้านไปนอน ยังเป็นนักเรียนอยู่เลยนี่" อัศม์เดชมองสำรวจร่างเล็กผิวคล้ำที่จ้องเขาอย่างตื่นตา เด็กน้อยยังสวมชุดนักเรียนเกือบเต็มยศ ยกเว้นเสียว่าใส่รองเท้าแตะเท่านั้น
"จริงเหรอ! พี่จะเหมาหมดนี่จริงๆ เหรอ ใจดีจัง"
"ก็บอกมาสิว่าเท่าไหร่" เขาเท้าสะเอวมองยิ้มแต่มืออีกข้างยังไม่ยอมปล่อยจากอัญญดา เธอก็มองเขางงๆ
"เจ็ดร้อยครับ หมดนี่เกือบห้าสิบดอกเชียว" อัศม์เดชแบะปากมองกุหลาบหลากสีที่ตกแต่งเป็นช่อๆ แต่ละช่อบ้างก็มีดอกเดียว สองดอก มากสุดก็ห้าดอกตกแต่งด้วยริบบิ้นและกระดาษแก้ว
"แพงไปเหรอพี่" เด็กชายถาม
"เปล่า...แค่อยากรู้ว่าถ้าพี่ไม่ซื้อเราจะขายหมดไหม"
"บางคืนก็หมด บางคืนก็ไม่หมดก็เอาไว้ขายต่อพรุ่งนี้ แต่นี่ผมลดให้พิเศษเลยนะเห็นว่าพี่จะเหมาให้แฟน"
"เอ่อ..." อัญญดาตาลุกวาวกับคำเรียกขานของเด็กชายที่สื่อมาถึงเธอ
"อือ...งั้นพี่ให้พันหนึ่งเลยไม่ต้องทอนนะ พูดจาดีนี่เรา" อัศม์เดชกลั้วขำในลำคอ หยิบกระเป๋าเงินและชักแบงก์สีเทาออกมาจ่ายค่าดอกไม้ เด็กชายยกมือไหว้ดีใจจนเนื้อเต้น
"พี่ชายใจดีจังเลย สมควรแล้วได้เมียสวยแบบนี้ ขอให้รักกันนานๆ นี่ครับดอกไม้" มือเล็กๆ รับเงินไปอย่างรวดเร็วพร้อมยื่นดอกไม้ทั้งหมดให้เจ้าของคนใหม่ซึ่งหัวเราะอย่างพออกพอใจกับคำยกยอไร้เดียงสานั้น ผิดกับอัญญดาที่ก้มงุดด้วยความอาย จะเอ่ยปฏิเสธก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ในเมื่อคุณหมอหนุ่มเออออไปด้วยอย่างหน้าชื่น
"ขอให้มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองเลยนะพี่ ผมไปล่ะ" เด็กชายยกมือไหว้ทั้งสองอีกครั้งแล้ววิ่งฉิวหายไปในความมืด ดอกไม้กำใหญ่ในมือถูกพลิกไปพลิกมาเหมือนกำลังชั่งใจ พลางสายตาก็เหลือบไปยังสาวเจ้า
"อ่ะ...ให้" จู่ๆ เขาก็ยื่นส่งให้เธอที่ทั้งเขินทั้งอาย ตั้งแต่เด็กคนนั้นพูดจาละลาบละล้วง หญิงสาวมองดอกไม้ช่อเล็กๆ หลายช่อรวมกันเป็นกำใหญ่ตรงหน้า อีกฝ่ายจึงดันมือกระแทกตัวเธอเร่งให้รับไว้
"อะไรคะ...หนูไม่อยากได้หรอก"
"เอาไปเถอะพี่ซื้อเพราะสงสารเด็ก ดึกๆ ดื่นๆ ยังต้องมาขายกว่าจะขายหมดปาเข้าไปกี่โมงกี่ยาม อีกอย่างพี่ไม่ชอบดอกกุหลาบน้ำมนต์ก็รู้นี่ ป่ะๆ กลับบ้านกัน" แล้วเขาก็ยัดเยียดกุหลาบกำใหญ่นั้นใส่มือเธอ อัญญดาต้องรับไว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี อีกมือหนึ่งจึงถูกอัศม์เดชจับจูงพาเธอเดินไปขึ้นรถแบบเคลิ้มๆ งงๆ ใจเต้นเบาๆ...