ขนมเค้กถูกส่งให้เจ้าของร้านกาแฟหน้าหล่อ ซึ่งมารับขนมที่สั่งกับเธอถึงหน้าบ้าน นานกว่าหลายปีที่เธอและบุริศร์ไม่ได้เจอกัน แต่ก็ยังมีการติดต่อถามข่าวคราวกันทางแอปพลิเคชันต่างๆ บ้าง ถึงแม้จะนานๆ ครั้งก็เถอะ
ตอนแรกเก็ตถวาคิดหนักว่าจะทำขนมส่งให้ร้านไหนดี แต่เหมือนพระเจ้าจะเห็นใจคนตกทุกข์ได้ยากอย่างเธอ ถึงได้ส่งเทพบุตรสุดหล่อที่ปกติดูแลไร่กาแฟแถบภาคเหนือ แต่เกิดอินดี้อยากมาเปิดร้านกาแฟที่กรุงเทพฯ เขาทักเธอมาทางโปรแกรมอัปเดตชีวิตชาวบ้านอย่างเฟซบุ๊ก จึงรู้ว่าทั้งคู่อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แล้วยังมีธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อกันและกันอีก
“ถ้าไม่มีพี่นาย แก้มไม่รู้เลยนะคะ ว่าจะส่งขนมให้ร้านไหนดี”
ส่วนมากร้านกาแฟที่ไปสอบถามมา เจ้าของทำขนมเอง ไม่ก็มีเจ้าประจำที่ส่งให้อยู่แล้ว แถมยุคนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี ถ้าจะขายปลีกเอง เธอยังไม่รู้เลยว่าจะไปขายที่ไหน ไหนจะต้องดูแลลูกอีก ครั้นจะให้ตั้งโต๊ะขายหน้าบ้าน ทั้งวันเห็นคนผ่านประมาณสามคนได้มั้ง นับว่าบุริศร์เป็นเทพบุตรของเธอโดยแท้
“งั้นพี่ขอค่าตอบแทนเป็นข้าวเช้าสักมื้อได้หรือเปล่า”
คนที่มาขออาศัยเขาอยู่ นิ่งไปอย่างใช้ความคิด ก็มันไม่ใช่บ้านเธอนี่น่า ถึงแม้กวินทร์จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า แล้วไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้พาใครเข้าบ้าน แต่ถึงอย่างไรเสียเธอก็ควรเกรงใจและไม่ควรพาใครเข้าบ้านสุ่มสี่สุ่มห้า แม้คนตรงหน้าจะเป็นคนที่รู้จักจนเกือบจะกลายเป็นคนรู้ใจมาก่อนก็เถอะ
“ถ้าแก้มลำบากใจ ไม่เป็นไรนะ..”
“คือไม่ใช่ว่าแก้มไม่อยากเลี้ยงข้าวพี่นายนะ แต่บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านแก้ม เออ.. คือจะพูดยังไงดีละคะ แก้มมาขออาศัยเขาอยู่ชั่วคราวน่ะ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเพียงนิดก่อนจะคลายกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม เก็ตถวาไม่ได้เล่าให้เขาฟังว่าทำไมเจ้าหล่อนถึงได้กลับมาที่กรุงเทพฯ ทั้งที่เรียนจบไปได้หลายปีแล้ว อีกอย่างถ้าจะบอกว่ามาทำงานในเมืองกรุง เท่าที่เขารู้ เก็ตถวาเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีทางจังหวัดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน แล้วมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ แถมยังต้องทำงานงกๆ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแบบนี้
“แมะจ๋า”
ดวงตาทั้งสองคู่ต่างพร้อมใจกันหันไปมองเจ้าของร่างอวบป้อม ซึ่งวันนี้คนเป็นพ่อจับแต่งตัวซะน่ารักน่าชัง ทั้งยังลงทุนถักเปีย เออ.. เรียกว่าถักเปียได้ไหมนะ เพราะผมเปียทั้งสองข้างของหนูเกี่ยวก้อยดูยุ่งเหยิงซะจนคนเป็นแม่ถึงกับแอบส่ายหัว
“ว่าไงฮึ ทำไมไม่ดูการ์ตูนรอแม่อยู่ข้างในล่ะคะ”
เก็ตถวาอุ้มหนูน้อยขึ้นมาแนบอก โดยลืมไปว่าตอนนี้เธอและ เด็กหญิงกานต์พิชญาไม่ได้อยู่กันเพียงแค่สองคน แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่กำลังตาโตเท่าไข่ห่าน เพราะเริ่มจะเห็นเค้ารางๆ ว่าผู้หญิงที่ตนแอบรักมาหลายปี ยามนี้มีลูกเสียแล้ว อะไรกันนี่..
“ลูกแก้มเหรอ..”
บุริศร์นิ่งงันอย่างคนกำลังช็อกกับความจริงที่ได้รับรู้ ที่ผ่านมา ชายหนุ่มคิดว่าเก็ตถวายังโสดมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าการกลับมาเจอกันครั้งนี้ ซึ่งเขาคิดจะเริ่มจีบเจ้าหล่อนใหม่อีกครั้ง ความฝันมันจะพังทลายไปต่อหน้าต่อตา
“ใช่ค่ะ น้องเกี่ยวก้อย ลูกแก้มเอง”
ถึงจะอกหักดังเป๊าะเป็นรอบที่สองจากผู้หญิงคนเดียวกัน แต่เมื่อดวงตากระทบกับร่างอวบป้อมที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าหล่อน บุริศร์ถึงกับเอ่ยปากออกมาเลยว่า..
“เกี่ยวก้อย น่ารักจัง”
เหมือนเด็กหญิงกานต์พิชญาจะรู้ว่าตัวเองโดนชม ฃใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักจึงฉีกยิ้มกว้างออกมา
“นั่น! ยิ้มให้ลุงแบบนี้ เดี๋ยวลุงก็ขโมยกลับบ้านด้วยหรอก”
มือของชายหนุ่มเอื้อมมาหยิกแก้มแม่หนูตัวน้อยอย่างมันเขี้ยว
“ลุงนายคะ รับไปเลี้ยงที่บ้านเลยไหมคะ”
“แหม.. ถ้าได้จริงๆ พี่อุ้มกลับบ้านเลยนะ”
“ทำเป็นพูดไป”
“แล้วเออ.. แฟนแก้มล่ะ คุณพ่อของเกี่ยวก้อยไปทำงานเหรอ”
จะตอบยังไงดีวะ ความสัมพันธ์อธิบายอยากฉิบหาย งั้นเอาแบบสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความเลยแล้วกัน
“คือแก้มกับพ่อของลูก เราเลิกกันแล้วค่ะ”
รอยยิ้มที่เลือนหายไปจากใบหน้าของบุริศร์ เวลานี้กลับฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ปฏิเสธเลยว่ารู้สึกยินดีและดีใจขนาดไหน แม้จะเป็นเรื่องไม่น่ายินดีสำหรับสองแม่ลูกก็เถอะ
“พี่เสียใจด้วยนะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
น้ำเสียงและแววตาของหญิงสาวตรงหน้า ไม่ได้มีร่องรอยของความทุกข์ใจใดๆ เลยแม้แต่นิด เพราะฉะนั้นคนที่มองจึงตีความเอาเองว่า เก็ตถวาไม่ได้อาลัยอาวรณ์กพ่อของลูกแล้ว ถ้าเขาจะเดินหน้าจีบต่อ ขอเป็นพ่อของแม่หนูตัวน้อย คงจะไม่ผิดสินะ
“มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะแก้ม พี่ยินดี”
“ค่า ขอบคุณนะคะพี่ชายสุดหล่อ”