แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่าน ปลุกให้หญิงสาวที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อดีรู้สึกตัวตื่น ข้างกายของเธอเป็นหมอนข้างที่ดนย์คงจะนำมาให้เธอก่ายกอดแทนตัวเขาซึ่งมักจะตื่นเช้าเพื่อไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้ๆ เสมอ
มนสิชารีบไปอาบน้ำและลงไปด้านล่าง เพื่อเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้ดนย์เหมือนเช่นทุกเช้าตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่
ศรันย์จากไป เช้าวันนี้ก็เช่นกัน เจ้าหล่อนมาช่วยมะลิและป้าสมรที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่
“ให้หนูช่วยนะคะ”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณม่อน” ถึงแม้เจ้านายหนุ่มจะไม่ได้บอกว่ามนสิชามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร แต่ทั้งป้าสมรและมะลิก็พอจะรู้ ด้วยว่ามะลิต้องเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนของดนย์และมนสิชาทุกวัน สาวใช้ประจำบ้านที่เห็นเตียงนอนห้องดนย์ตึงเปรี๊ยะเหมือนกับไม่เคยมีใครนอน ต่างกับเตียงที่ห้องมนสิชา ซึ่งยับยู่ยี่ราวกับผ่านสงครามมายังไงยังงั้น ทีแรกมะลิเองก็ไม่แน่ใจ แต่หลังๆ มาเริ่มเห็นดนย์ออกจากห้องของมนสิชาในตอนเช้าบ่อยๆ ก็เริ่มแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ให้ม่อนช่วยเถอะค่ะ ม่อนอยู่เฉยๆ กินแรงพี่มะลิกับป้าสมร ม่อนรู้สึกเกรงใจ”
ความขี้เกรงใจและความไม่ถือตัวทำให้มะลิและป้าสมรมองหญิงสาวด้วยความชื่นชม
“ก็ได้ค่ะ แต่ให้ช่วยแค่นิดเดียวนะคะ เดี๋ยวมะลิโดนคุณดนย์ดุเอา”
“ได้ค่ะ”
เสียงสองแม่บ้านและอีกหนึ่งเสียงหวานที่ดนย์คุ้นเคยเป็นอย่างดี กำลังคุยกันพลางหัวเราะต่อกระซิกอยู่ในครัว ทำให้ชายหนุ่มที่พึ่งกลับมาจากไปวิ่งออกกำลังกาย พาตัวเองเดินไปห้องครัว แทนที่จะไปอาบน้ำดั่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรก
ดนย์มองเจ้าของร่างบางที่กำลังหยิบจับอุปกรณ์ทำครัวอย่างชำนิชำนาญก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของศรันย์และเหตุผลที่หญิงสาวยอมเอาตัวเข้าแลกกับเงินจำนวนที่เล็กน้อยมากสำหรับเขา แต่มันมากมายนักสำหรับมนสิชาและพ่อของเธอ อคติที่เขามีต่อหญิงสาวเพราะคิดว่าเธอเป็นเด็กรักสบายใจแตกอะไรพวกนั้นก็มลายหายไป แล้วหัวใจของเขาก็เปิดกว้างมองเจ้าหล่อนในอีกมุมมอง..
..มุมมองที่มีแต่ความหวาบหวามและอบอุ่นละมุนหัวใจ
"ให้หนูช่วยอะไรไหมคะป้าหมอน "
“คุณม่อนช่วยป้าหันผักก็ได้ค่ะ”
“ป้าหมอนอย่าเรียกม่อนว่าคุณเลยนะคะ ม่อนจั๊กจี้ยังไงก็ไม่รู้ เรียกหนูม่อนดีกว่านะคะ”
“จ้า.. หนูม่อน”
หญิงสาวยิ้มตาหยีเมื่อป้าหมอนเรียกเธอเช่นนั้น
“อ้าว คุณดนย์อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” มะลิเห็นดนย์มายืนยิ้มพิงประตูห้องครัวอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่พูดอะไร จึงเอ่ยทัก
คนที่รู้ตัวว่าโดนจับได้ จึงรีบหุบยิ้มและตีหน้าขรึม“ฝากชงกาแฟให้ฉันแก้วหนึ่ง แล้วเอาไปให้ที่ห้องทำงานด้วยนะ” พูดจบก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนของบ้านไป
“เดี๋ยวหนูม่อนจัดการให้เองค่ะ” มนสิชาอาสาเป็นบาริสต้าชงกาแฟให้เขาเอง
เสียงเคาะประตูทำให้ดนย์เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร “เข้ามาสิ”
“กาแฟ แล้วก็ครัวซองต์ค่ะ”
“หืม.. ครัวซองค์เหรอ? ฉันไม่ได้บอกให้เอามานี่” ดนย์มองขนมปังรูปพระจันทร์เสี้ยวที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสแต่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรียที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในจานสีขาวข้างๆ ถ้วยกาแฟ ก็นึกแปลกใจเพราะปกติมะลิกับป้าสมรจะรู้ดีว่าตอนเช้าๆ แบบนี้ เขาจะดื่มแค่กาแฟแก้วเดียว ส่วนอาหารเช้าก็กลายเป็นอาหารสายก่อนไปทำงานแทน
“กินเถอะค่ะ คุณออกกำลังกายมาย่อมต้องสูญเสียพลังงานเยอะอยู่แล้ว อีกอย่างดื่มแค่กาแฟแก้วเดียวตอนท้องว่างๆ แบบนี้ ระวังโรคกระเพาะจะถามหานะคะ”
“เป็นห่วงฉัน?” แม้ใบหน้าที่มองเจ้าหล่อนจะนิ่งเหมือนกับคนไม่มีความรู้สึก ทว่าก้อนเนื้อข้างซ้ายของเขาฟองฟูจนแทบคับอก ความห่วงใยและอาทรเช่นนี้เขาไม่เคยได้รับจากผู้หญิงคนไหน คนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนแต่เอาอกเอาใจเพื่อหวังจะอยากได้ในสิ่งที่ใจตนปรารถนา มากกว่าห่วงใยและใส่ใจเขาจริงๆ
“เปล่าหรอกค่ะ กลัวคุณตายแล้วป้าสมรกับพี่มะลิจะไม่มีที่อยู่”
ดนย์มองคนตรงหน้าที่ทำหน้านิ่งๆ แต่แอบรวนแล้วนึกหมั่นไส้ยิ่งนัก มนสิชาเป็นผู้หญิงเรียบร้อยขี้อายในบางครั้ง แต่บางครั้งกลับรวนจนเขานึกอยากจะจับมาตีก้นซะให้เข็ด แต่วันนี้เขาไม่จับตีก้นหรอก เพราะจะทำอย่างอื่นแทน
“อร๊าย!” หญิงสาวตกใจที่โดนรวบกอดจากด้านหลัง
“คิดถึงจัง”
“คิดถึงอะไรคะ เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน” มนสิชางงเพราะจู่ๆ ชายหนุ่มก็มาเป็นอารมณ์เหมือนคนหื่นแทนตาลุงขี้เก๊กแบบเมื่อกี้
“คิดถึงกอด แล้วก็คิดถึงจูบ” ดนย์หมุนร่างน้อยให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วจุมพิตชิมปากหวานของเธออย่างโหยหา กลิ่นสบู่เด็กที่มนสิชาชอบใช้ กระตุ้นให้เลือดในกายของชายหนุ่มพลุ่งพล่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มจะหายใจไม่ทัน ใบหน้าที่แดงซ่านช่างดูน่ารักยิ่งนัก เขากำลังหลงเด็กหรือนี่
“คุณดนย์อะ ทำอะไรก็ไม่รู้” มนสิชารีบซุกหน้าลงที่อกแกร่ง เพื่อหลบสายตาหวานเชื่อมยามที่เขามองมายังเธอ
“ก็หนูม่อนน่ารัก จนฉันอดใจไม่ไหวนี่”
ดนย์เรียกเธอว่าหนูม่อน ตามที่เธอบอกให้ป้าหมอนเรียก ทำให้หญิงสาวยิ่งเขินเข้าไปอีก
ยังไม่ทันที่มนสิชาจะเอ่ยอะไรออกมา คำพูดของเธอก็โดนกลืนด้วยปากอุ่นๆ ของเขาเสียแล้ว ดนย์ถอนจูบออกจากปากหวานล้ำ แล้วเลือนริมฝีปากลงมาสำรวจที่ซอกคอขาวของสาวเจ้า มือหนากวาดเอกสารบนโต๊ะทำงาน แล้วอุ้มมนสิชาขึ้นนั่ง จัดท่าจัดทางแล้วพาเธอไปวิ่งเล่นบนทุ่งดอกไม้แสนหวานที่หญิงสาวพึ่งเคยพานพบ
“คุณดนย์! มองอะไรคะ” มนสิชาที่กำลังเก็บเอกสารที่เขากวาดลงพื้น หันมามองเห็นดนย์ยืนยิ้มตาหยีอยู่ นึกหมั่นไส้จึงส่งค้อนวงใหญ่ให้เขา
“มองคนสวย”
ชายหนุ่มตอบหน้าตาย แต่มนสิชาที่ได้ยินเขินจนไปไม่เป็น รีบเก็บของและไปเปลี่ยนเสื้อ เพราะถ้าขืนใส่เสื้อตัวนี้ คนอื่นคงได้เห็นรอยรักที่เขาฝากไว้บนคอเธอแน่ๆ
มนสิชามองหน้าจอโทรศัพท์ที่แจ้งเตือนสายเข้า ‘ศิวัฒน์’ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทโทรมา หญิงสาวจึงรีบกดรับสาย
“ฮัลโหลวัฒน์”
“ม่อนเป็นยังไงบ้าง”
“ม่อนสบายดี แล้ววัฒน์ล่ะ”
“วัฒน์ก็สบายดี พอดีวัฒน์พึ่งกลับจากอังกฤษ เลยไม่มีรู้ว่าลุงศรันย์ เออ..”
“พ่อเราท่านจากไปแล้ววัฒน์” พอพูดเรื่องนี้มนสิชารู้สึกหน่วงที่หัวใจ นัยน์ตาเริ่มปริ่มด้วยน้ำตา
“เราเสียใจด้วยนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่กลับมาไม่ทัน”
“ไม่เป็นไรเลยวัฒน์ ขอบใจนะ”
“ตอนนี้ม่อนสะดวกออกมาหาเราไหม”
“อืม.. ได้สิ ที่ไหน”
หลังจากที่ศิวัฒน์บอกสถานที่นัดหมายแล้ว มนสิชาจึงสะพายเป้คู่ใจออกจากบ้าน
“ม่อน ทางนี้” ศิวัฒน์ลุกขึ้นโบกไม้โบกมือเรียกมนสิชา หญิงสาวมองตามร่างสูงที่คุ้นตา พลางหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยร้องเรียกรถขายไอติมที่ผ่านหน้าบ้าน
“ไม่เจอตั้งนาน ดูดีขึ้นปะเนี่ย”
“แหม ม่อนชมแบบนี้เราก็เขินแย่สิ กินอะไรดี เดี๋ยววัฒน์เลี้ยงทั้งน้ำทั้งขนมเลยวันนี้”
“ไม่ได้หรอก หารกันสิ” มนสิชาที่เป็นคนขี้เกรงใจอยู่แล้ว จึงไม่ยอมให้เพื่อนสนิทเลี้ยงง่ายๆ
“งั้นเราไปดูหนังกันสักเรื่องดีไหม มีหนังใหม่ๆ เข้าหลายเรื่องเลย”
“ได้สิ งั้นให้เราเลี้ยงหนังวัฒน์นะๆ”
“ก็ได้”
มนสิชายิ้มที่ศิวัฒน์ยอมให้เธอเลี้ยงเขาคืนบ้าง สมัยเรียนมัธยม เวลาไปกินอะไรแต่ละที ศิวัฒน์มักจะพยายามจ่ายในส่วนของเธอให้เสมอ แต่น้อยครั้งนักที่มนสิชาจะยอม
“ม่อนมีอะไรให้เราช่วยไหม”
“อืม... ไม่มีหรอก ขอบใจวัฒน์มากนะ”
“เราขอโทษม่อนด้วยนะ ที่เวลาม่อนมีปัญหา เราไม่ได้อยู่ข้างๆ” ศิวัฒน์รู้ดีว่าหญิงสาวไม่มีใคร นอกจากผู้เป็นพ่อ แต่ตอนนี้ศรันย์ไม่อยู่แล้ว มนสิชาก็เหมือนผู้หญิงตัวคนเดียว ถึงแม้ตอนนี้ศิวัฒน์จะยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก แต่เขาก็อยากที่จะช่วย ช่วยให้ถึงที่สุด
“โธ่วัฒน์ ไม่เป็นไรหรอก แค่วัฒน์ช่วยเป็นกำลังใจให้เรา ก็ถือว่ามากพอแล้ว ขอบใจมากๆ เลยนะ”
ศิวัฒน์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมนสิชา และเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาวข้างๆ เธอแล้วดึงเอามือของหญิงสาวมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ
“ว้าย! คุณดนย์ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ศจีเลขาฯ ของดนย์ที่วันนี้ตามเจ้านายมาพบลูกค้า เป็นอันต้องหยุดชะงัก และเกือบเดินชนหลังเจ้านายหนุ่มที่จู่ๆ ก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ
“คุณดนย์ จะไปไหนคะ”
ดนย์เปลี่ยนจุดหมายจากลานจอดรถ เป็นร้านกาแฟร้านดังที่ตั้งอยู่ใจกลางห้าง เมื่อพบเห็นใครบางคนอยู่ที่นั่น ภาพของศิวัฒน์ที่นั่งกุมมือมนสิชาอยู่ ทำให้ลมเพชรหึงขึ้นหน้าเขา จนเวลานี้ชายหนุ่มไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว
“มานี่!”