หลังจากถูกหม่าซูเหยาพบเห็นในวันนั้น หม่าอวิ๋นเซียงก็ไม่ได้ออกจากบริเวณเรือนจื่อเถิงไปอีกพักใหญ่ นางเล่นดินเล่นทรายอยู่ใกล้ๆ เรือน ดูแลดอกไม้แปลงน้อยของตนที่แม่นมถางทำให้ แม้ตัวจะไม่ได้ออกจากบริเวณเรือนแต่ใจของนางนั้นกลับคิดไปถึงภูเขาจำลองในสวนของเรือนใหญ่บ่อยครั้ง เหตุที่นางชอบลักลอบเข้าไปในสวนนั้นไม่ได้เพียงไปดูมารดาและน้องชายเท่านั้น ทว่ากลับไปแอบดูหม่าซูเหยาที่กำลังเรียนหนังสือ ท่านพ่อและท่านย่าดูจะมีความสุขทุกครั้งที่น้องสาวผู้นั้นอ่านเขียนตัวอักษรได้
หม่าซูเหยาเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ว่าร้องขออะไรหลี่หลิงฟางก็หามาให้เสมอ เซี่ยเจียเฟยต้องการให้บุตรีเรียนหนังสือก่อนเด็กทั่วไป เพราะนางอยากให้ทุกคนเห็นว่าตนมีบุตรสาวที่ฉลาดหลักแหลม สามารถเรียนอ่านเขียนอักษรได้ตั้งแต่วัยเพียงห้าขวบ ซึ่งหม่าซูเหยาก็ยินดีทำตามคำสั่งของมารดาอย่างว่าง่าย
ว่ากันว่าผู้เป็นมารดาต้องคิดเผื่ออนาคตของลูก เซี่ยเจียเฟยจึงวางแผนให้บุตรสาวมีชื่อเสียงตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเป็นใบเบิกทางในการหาสามีที่เหมาะสมในอนาคตให้แก่หม่าซูเหยา แม้บุตรีของนางจะเป็นที่โปรดปรานของบิดาและท่านย่ามากเพียงใดก็ตาม ทว่าบุตรอนุภรรยาก็ยังเป็นบุตรอนุภรรยาอยู่วันยังค่ำ นางยอมลดเกียรติตัวเองมาเป็นอี๋เหนียงของหม่าจิ้งซิ่น ด้วยหวังว่าเมื่อกำจัดจางจิ่วเม่ยได้แล้วอย่างไรเสียตำแหน่งฮูหยินเอกต้องตกเป็นของนางแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะกำจัดได้ยากเย็นถึงเพียงนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะหม่าจิ้งซิ่นยังเสน่หาในตัวของอีกฝ่าย หนำซ้ำจางจิ่วเม่ยยังมีบุตรชายที่เป็นทายาทสืบสกุลเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลคอยเป็นเกราะป้องกันให้อีกด้วย นางจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนักทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนเป็นอนุภรรยาของเขาต่อไป
ฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้นางปล่อยวางและทำใจ ด้วยไม่อยากให้เกิดคำครหาว่าหม่าจิ้งซิ่นเชิดชูอนุจนทำลายภรรยาเอก เมื่อได้ฟังวาจานั้นเซี่ยเจียเฟยแค่นเสียงเย้ยหยันแผ่วเบาในลำคอ สามีผู้นั้นหรือจะเชิดชูนางเหนือภรรยาเอก ความจริงแล้วเขาไม่เคยรักนางเลยต่างหาก ที่แวะเวียนมาหาตนในทุกวันนี้เพราะยังเกรงใจมารดาของเขาและตระกูลเซี่ยอยู่ ถึงแม้ตนจะได้อำนาจในการดูแลเรือนมาบางส่วนและเรือนพักก็ใหญ่โตพอๆ กับหญิงแซ่จาง แต่อย่างไรสถานะของนางก็ยังคงเป็นอนุภรรยาอยู่ดี
ในเมื่อตนเองนั้นยังเป็นเพียงอนุ นางยิ่งไม่มีทางยอมให้บุตรสาวต้องไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้นหม่าซูเหยาจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างบุตรีของภริยาเอก ข้าวของเครื่องใช้ต้องเป็นของที่ดีที่สุด บ่าวไพร่ในจวนก็ต้องเรียกบุตรีของนางว่า คุณหนู ไม่ใช่ คุณหนูรอง อย่างไรเสียผู้คนในเมืองนี้ต่างก็คิดว่าใต้เท้าหม่ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวอยู่แล้ว
ถางรั่วเหวยมองเด็กน้อยวัยหกขวบครึ่งที่กำลังใช้กิ่งไม้ขีดเขียนบางอย่างอยู่บนพื้นดินด้วยท่าทางขะมักเขม้น ใบหน้าจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มเมื่อเขียนเสร็จ มือเล็กหยิบกระดาษแผ่นน้อยออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะคลี่มันออกอย่างระมัดระวัง นางมองกระดาษชั่วครู่แล้วมองไปบนพื้นดิน พลันยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆ เต็มปาก
“เขียนได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ทำอะไรอยู่เจ้าคะ” ถางรั่วเหวยถามเมื่อเห็นเด็กหญิงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“เซียงเซียงหัดเขียนหนังสือ เขียนยากมากเลย แม่นมมาดูสิ” หม่าอวิ๋นเซียงกวักมือเรียก นางเขียนเลียนแบบตัวอักษรในกระดาษอยู่เป็นนานกว่าจะทำได้
“คุณหนูอยากเรียนหนังสือหรือเจ้าคะ” ครั้นเห็นตัวอักษรขะยึกขะยือบนพื้นดินจึงเอ่ยถาม ถางรั่วเหวยมองรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าเล็กด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือจึงไม่สามารถสอนคุณหนูได้ ดีหน่อยก็ตรงที่มีความรู้ด้านการเย็บปักติดตัวนี่แหละ “คำนี้อ่านว่าอะไรหรือเจ้าคะ มีความหมายว่าอย่างไร”
“ไม่รู้ความหมาย เซียงเซียงอ่านไม่ออก” หม่าอวิ๋นเซียงส่ายศีรษะ แล้วยื่นกระดาษไปให้แม่นมถางดู “น้องรองทำตกไว้ เซียงเซียงเก็บได้จึงนำมาหัดเขียน”
“แม่นม หากเซียงเซียงอ่านเขียนออก ท่านพ่อท่านแม่จะดีใจใช่หรือไม่ ท่านพ่อจะอุ้มเซียงเซียงเหมือนอย่างที่อุ้มน้องรองกับน้องสามด้วยใช่ไหม” นางมองแม่นมอย่างรอคอยคำตอบ ทุกครั้งที่หม่าซูเหยาอ่านออกบิดาก็จะอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาจากนั้นก็มอบขนมให้ นางเองก็อยากให้บิดามารดาโอบอุ้มเช่นกัน
“โธ่คุณหนู... ” ถางรั่วเหวยมองแววตากระจ่างใสนั้นอย่างไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด ถ้อยคำปลอบโยนถูกกลืนลงท้องไปด้วยไม่อยากโกหกและให้คุณหนูตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ คุณหนูของนางช่างไร้เดียงสายิ่งนัก คิดเพียงว่าหากตนอ่านออกเขียนได้ผู้เป็นบิดามารดาจะรักใคร่เอ็นดู นางรู้ว่าเด็กน้อยต้องการความรักจากผู้ให้กำเนิดมากเพียงใด แต่ผู้เป็นบิดามารดานั้นไซร้กลับไม่ไยดีบุตรเลยสักนิด
“เข้าเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นลงแล้วประเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
“ขออีกสักครู่ละกันเดี๋ยวเซียงเซียงตามไป แม่นมเข้าไปก่อนเถิด” หม่าอวิ๋นเซียงฉีกยิ้มกว้างให้แม่นมถางอีกครั้งก่อนจะหัดเขียนอักษรตัวนั้นต่อ มือเล็กกำกิ่งไม้ไว้แน่น ขีดลากไปบนพื้นดินอย่างสะเปะสะปะ นางทำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่นำพาต่อความหนาวเย็นของสายลมเหมันต์เลยสักนิด
เหมันตฤดูหมุนวนมาเยือน เรือนจื่อเถิงก็ยิ่งเงียบเหงาเมื่อหม่าอวิ๋นเซียงเอาแต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเมื่อหลายวันก่อน ปีนี้ลมหนาวพัดมาเร็วกว่าทุกปี หิมะก็ตกเร็วกว่าทุกปีเช่นกัน ร่างเล็กใช้ผ้าห่มห่อกายไว้มีเพียงดวงหน้าเท่านั้นที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนหนา นางคลี่ยิ้มบางเมื่อหมั่นโถ่วร้อนๆ ถูกยกมาวางตรงหน้า
“เอาผ้าห่มออกก่อนสิเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นจะกินข้าวได้อย่างไร” ถางรั่วเหวยโคลงศีรษะเบาๆ ด้วยความอ่อนใจ ยามเห็นคุณหนูเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้ประหนึ่งดักแด้เช่นนั้น
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเสี่ยวเมาหนาว” สิ้นคำก็มีเสียงร้องเหมียวๆ ดังมาจากผ้าห่มพร้อมกับหัวแมวสีขาวโผล่พ้นผ้าห่มออกมา หม่าอวิ๋นเซียงหัวเราะคิกคักยามขนนุ่มๆ สัมผัสเข้ากับปลายคางของตน
“เสี่ยวเมาหิวแล้วรึ” ปากเอ่ยก็ถามมือก็อุ้มมันออกมาจากบริเวณอกเสื้อ นางจับลูกแมวน้อยนั่งบนตักแล้วนำชายผ้าห่มมาห่อตัวของมันไว้ มืออีกข้างยกถ้วยนมอุ่นๆ มาป้อน
ถางรั่วเหวยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเจ็ดวันก่อนนางบังเอิญพบลูกแมวน้อยสีขาวตัวนี้ที่ข้างกำแพงจวนในส่วนของโรงซักล้าง หลังจากสอบถามหาเจ้าของอยู่เป็นนานก็ไม่มีผู้ใดแสดงตัวจึงนำมันกลับมาให้คุณหนู อาหารการกินในเรือนจื่อเถิงถือว่าไม่ได้อัตคัด หากจะเลี้ยงแมวสักตัวคงไม่มีปัญหาอะไร
ตั้งแต่วันที่หม่าอวิ๋นเซียงมีอายุได้สามขวบทุกเดือนจะได้รับเบี้ยรายเดือนในส่วนของตัวเอง แม้คนที่เรือนใหญ่จะไม่สนใจนางแต่ก็ยอมจ่ายเงินให้ โดยปกติแล้วคุณหนูคุณชายของจวนจะได้รับเงินเดือนละสิบตำลึง เมื่อโตขึ้นเงินก็จะเพิ่มตามไปด้วย ทว่าเด็กน้อยกลับได้เพียงเดือนละหนึ่งตำลึงเท่านั้น ไม่รู้ว่าทางเรือนใหญ่จ่ายให้เพียงเท่านี้หรือพ่อบ้านแอบยักยอกไปกันแน่
เงินเดือนที่หม่าอวิ๋นเซียงได้รับมาถางรั่วเหวยเก็บรักษาไว้ให้เด็กน้อยเป็นอย่างดี นานๆ ทีจึงจะเจียดมาซื้อผ้าพับใหม่เพื่อตัดชุดให้อีกฝ่าย นอกจากอาหารและเงินเดือนอันน้อยนิดนั่นแล้ว ทางเรือนใหญ่ก็ไม่ส่งสิ่งใดมายังเรือนจื่อเถิงอีกเลย เสื้อผ้าอาภรณ์ของคุณหนูนางต้องตัดเย็บให้เอง ถึงเนื้อผ้าจะไม่ใช่แพรไหมแพรต่วนแต่นางก็เลือกซื้อผ้าที่ดีกว่าของบ่าวรับใช้มาตัดชุดให้คุณหนู แม้จะต้องแบ่งเงินเดือนของตนสมทบไปด้วยก็ตาม
“เสี่ยวเมา เซียงเซียงไม่ชอบหิมะเลย หนาวก็หนาว ซ้ำยังทำให้ออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้อีกด้วย เมื่อไหร่ฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปเสียทีนะ” มือเล็กลูบหัวลูกแมวน้อยไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง
“ช่วงที่ออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้บ่าวจะสอนคุณหนูปักผ้าดีหรือไม่เจ้าคะ มิใช่คุณหนูบอกว่าอยากหัดเย็บถุงหอมหรือ” ถางรั่วเหวยรีบเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กน้อย หากคุณหนูของนางเอาแต่คิดอยากออกไปแอบดูคนที่เรือนใหญ่ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ละก็ เกรงว่าคงได้ล้มป่วยกันพอดี
“จริงรึ แม่นมยอมสอนเซียงเซียงแล้วรึ” ถามด้วยความกระตือรือร้นแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันใด นางเคยรบเร้าขอให้อีกฝ่ายสอนทว่าแม่นมถางกลับบอกว่านางยังเด็กเกินไป นิ้วยังจับเข็มไม่ถนัดจะทำให้ตำมือเอาได้
“จริงสิเจ้าคะ รีบกินข้าวเถิด กินเสร็จแล้วบ่าวจะได้สอนคุณหนูเย็บถุงหอม”
“เย็บชุดให้เสี่ยวเมาด้วยได้ไหม เสี่ยวเมาก็หนาวเหมือนกัน” หม่าอวิ๋นเซียงส่งยิ้มประจบแม่นมถางทันที
“เจ้าค่ะ” ถางรั่วเหวยรับคำด้วยความเอ็นดู คุณหนูของนางดูร่าเริงขึ้นมากเมื่อมีลูกแมวตัวนี้เป็นเพื่อน เป็นเช่นนี้นับว่าดีไม่น้อย ยามใดที่ตนยุ่งอยู่กับงานในเรือนคุณหนูจะได้ไม่ต้องเล่นอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว