เมื่อข่าวการตั้งครรภ์ของฮูหยินน้อยแพร่ออกไป ท่าทีของหลี่หลิงฟางที่มีต่อลูกสะใภ้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางยังคงวาดหวังว่าครรภ์นี้จะเป็นหลานชาย หม่าจิ้งซิ่นเองก็เช่นกัน เขาคาดหวังว่าเด็กในท้องภรรยาจะต้องเป็นชาย ทุกวันหลังจากกลับจากราชสำนักก็จะแวะไปหาบุตรสาวที่เรือนมารดาชั่วครู่ ก่อนจะมาคอยดูแลจางจิ่วเม่ยที่เรือนฉางชุน
ในที่สุดความปรารถนาของฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นจริง จางจิ่วเม่ยคลอดบุตรชายสุขภาพแข็งแรงให้แก่ตระกูลหม่า เรื่องนี้สร้างความดีใจให้แก่ทุกคนในจวนยกเว้นเซี่ยเจียเฟย ผู้คนต่างกำลังปลาบปลื้มอยู่กับทายาทของตระกูล โดยลืมสิ้นไปแล้วว่าท้ายจวนยังคงมีคุณหนูใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่น
หม่าซูเหยาและหม่าอวิ๋นเซียงถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนึ่งเกิดจากภริยาเอกแต่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ต่างจากบ่าวไพร่ อีกหนึ่งเกิดจากอนุภรรยาแต่ถูกเลี้ยงดูราวกับเกิดมาจากฮูหยินเอก อยากเรียกลมเรียกฝนก็ได้ไม่ต้องดูสีหน้าใคร
“แอบมองอะไร แล้วนี่มาเสนอหน้าอะไรอยู่ตรงนี้ กลับเรือนท้ายจวนของเจ้าไปเสีย หาไม่ข้าจะตะโกนบอกทุกคนว่าเจ้าอยู่ตรงนี้” หม่าซูเหยาจ้องเด็กหญิงตัวผอมบางอย่างเอาเรื่อง
หม่าอวิ๋นเซียงหลุบตามองพื้นเมื่อถูกจับได้ว่าแอบเข้ามาบริเวณสวนของเรือนใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทุกวันนางจะหาทางหลบเลี่ยงสายตาบ่าวไพร่มาแอบดูมารดาและน้องชายอยู่ในสวน ยามเว่ยของทุกวันท่านแม่มักจะพาน้องชายตัวกลมของนางมานั่งเล่นที่ศาลากลางสวน นางก็จะแอบอยู่หลังภูเขาจำลองเพื่อมองดูพวกเขา แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกน้องสาวต่างมารดาจับได้เช่นนี้
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งใดออกมาอีก หม่าอวิ๋นเซียงหันหลังวิ่งกลับไปยังเรือนจื่อเถิงทันที เท้าเล็กๆ ออกวิ่งไปอย่างสุดกำลังราวกับว่าหากช้ากว่านี้แล้วจะถูกลงโทษ นางเคยถูกบิดาลงโทษเพราะมายังเรือนหลักโดยไม่ได้รับอนุญาต ครั้งนั้นนางอยากรู้อยากเห็นเพราะได้ยินสาวใช้จากโรงซักล้างกล่าวถึงงานวันเกิดของหม่าซูเหยาที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต นางในวัยสี่ขวบไม่เคยพบหน้าบิดามารดามาก่อน จึงลอบออกจากเรือนพักของตนตอนที่แม่นมถางเผลอ
เด็กน้อยไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดแม่นมถางจึงไม่ให้ตนไปยังเรือนใหญ่ นางเคยถามว่าทำไมบิดามารดาจึงไม่เคยมาหาเสียที นางป่วยเป็นโรคร้ายเช่นนั้นหรือจึงไม่มีใครอยากเข้าใกล้ วันนั้นจึงฝ่าฝืนคำสั่งเป็นครั้งแรก เดินลัดเลาะไปตามพุ่มดอกไม้ต้นไม้ นางไม่รู้จักที่ทางในจวนที่แสนจะกว้างขวางแห่งนี้ ทำได้เพียงเดินตามเสียงดนตรีไปเรื่อยๆ ภายในเรือนหลังใหญ่มีผู้คนมากมาย นางเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังอุ้มเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันกับตน เขาหยอกล้อกับเด็กคนนั้น เสียงหัวเราะเบิกบานของคนทั้งคู่แลดูมีความสุขเหลือแสน นางหลบมุมยืนมองอยู่ชั่วครู่ เท้าก็ก้าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีเสียงตวาดลั่นใส่หน้า เพียงชั่วอึดใจตนก็ถูกบ่าวรับใช้จับกลับมายังเรือนจื่อเถิง
ครั้งนั้นแม่นมถางถูกตีไปหลายทีโทษฐานที่ไม่ดูแลนางให้ดีปล่อยให้ออกไปเพ่นพ่านที่เรือนใหญ่ นางจำได้ว่าร้องไห้อยู่เป็นวัน ถามว่าเหตุใดท่านพ่อจึงไม่ยอมโอบอุ้มตนบ้าง ไยทุกคนต้องดุด่านางถึงเพียงนั้น แม่นมก็พยายามปลอบขวัญนางให้สงบลง นับแต่นั้นมาแม่นมก็พยายามบอกกล่าวถึงเหตุผลที่นางไม่สามารถออกไปจากบริเวณเรือนจื่อเถิงได้
แม่นมถางบอกว่าสุขภาพร่างกายของนางไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นจึงต้องมาพักรักษาตัวในที่ที่เงียบสงบอย่างเรือนจื่อเถิง หากวันใดที่นางกลับมาแข็งแรงแล้วจึงสามารถออกไปเที่ยวเล่นนอกบริเวณเรือนได้ ในตอนนั้นนางยังไร้เดียงสาจึงเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา ทว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนั้นนางไม่เคยเจ็บป่วยเลยสักครั้ง เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยจึงออกไปเที่ยวเล่นนอกบริเวณเรือนพัก แต่ก็ไม่กล้าไปจนถึงเรือนใหญ่อย่างมากก็ไปถึงสวนดอกไม้เท่านั้น มีบางครั้งที่บรรดาบ่าวรับใช้พบเห็นนางเข้า แต่คนเหล่านั้นก็ทำเป็นไม่เห็น ไม่มีผู้ใดคิดจะเข้ามาถามไถ่หนำซ้ำยังไล่นางกลับเรือนอีกด้วย
เมื่อพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้นบ่อยครั้งเข้านางก็เริ่มเรียนรู้ที่จะหลบเลี่ยงสายตาบ่าวไพร่ในจวน หากจะออกมาเที่ยวเล่นนอกเรือนก็จะพยายามหลบซ่อนตัวไม่ให้ผู้ใดพบเห็น นี่ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่งของนางเลยทีเดียว นอกจากแม่นมถางแล้วตนก็ไม่มีเพื่อนเล่นเพื่อนคุย ดังนั้นการหลบซ่อนตัวจากผู้คนในจวนจึงถือเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับนาง ราวกับว่ากำลังเล่นซ่อนหาอยู่
หม่าอวิ๋นเซียงแอบไปเก็บดอกไม้ที่สวนอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากนางตัวเล็กจึงสามารถหลบซ่อนตัวในพุ่มดอกไม้ได้ นางจำได้ว่าง่วงนอนมากจึงเผลอหลับไปตรงนั้น เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลับได้ยินเสียงบ่าวรับใช้กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ นางคงไม่ลอบฟังการสนทนานั้นหากไม่ได้ยินชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของสาวใช้เหล่านั้น ในที่สุดนางก็ได้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากบริเวณเรือนจื่อเถิง
ด้วยมันสมองของเด็กน้อยวัยห้าขวบของนางในตอนนั้นจึงต้องขบคิดอย่างหนักกว่าจะเข้าใจได้ นางสอบถามเรื่องราวจากแม่นมถางจนอีกฝ่ายยอมบอกความจริง ยามได้ฟังเรื่องเหล่านั้นนางไม่ได้ร้องไห้ออกมา มีเพียงความไม่เข้าใจและความสับสน แม่นมถางบอกว่านางไม่ใช่ตัวซวย มิใช่ตัวกาลกิณี เพียงแต่โดนคนถ่อยใส่ความเท่านั้น นางเชื่อในสิ่งที่แม่นมถางบอก เพราะอีกฝ่ายดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่เคยดุด่าหรือรังเกียจนางเหมือนคนอื่นๆ ในจวน
หม่าอวิ๋นเซียงเป็นเด็กฉลาด มีความจำเป็นเลิศ ซ้ำยังรู้ความกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถางรั่วเหวยสอนให้เด็กน้อยรู้จักช่วยเหลือตัวเอง สอนให้รู้จักมองสีหน้าและอารมณ์ของผู้อื่น นางจึงมีความคิดโตเกินวัยทว่าความซุกซนตามวัยก็ยังคงมีอยู่
ถางรั่วเหวยไม่เคยห้ามปรามหากหม่าอวิ๋นเซียงจะวิ่งเล่นหรือปีนป่ายต้นไม้ นางรู้ดีว่าเด็กน้อยไม่มีเพื่อนเล่น และตนก็ไม่มีเวลามาเล่นกับอีกฝ่ายเช่นกัน เนื่องจากเรือนหลังนี้ไม่มีบ่าวรับใช้คนอื่นมาช่วย นางต้องทำงานทุกอย่างเองทั้งหมดจึงได้แต่ปล่อยให้คุณหนูเล่นอยู่ตามลำพัง แม้จะรู้ว่าเด็กน้อยแอบออกไปนอกบริเวณเรือนบ่อยครั้ง แต่ก็ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ตราบใดที่คุณหนูมีความสุขจะทำสิ่งใดนางล้วนไม่ห้ามปราม ขอเพียงไม่นำอันตรายมาให้ตนเองเท่านั้นเป็นพอ
“ช้าหน่อยเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะหกล้มเอา” ถามรั่วเหวยเอ่ยยามเห็นเด็กหญิงวิ่งเข้าเรือนมาอย่างหน้าตาตื่น นางเข้าไปอุ้มคุณหนูเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วเช็ดเหงื่อที่ชื้นอยู่บนหน้าผากเล็ก “วิ่งหนีอะไรมาเจ้าคะ ไฉนจึงได้มีท่าทีเช่นนี้”
หม่าอวิ๋นเซียงกอดหญิงสาวไว้แน่น ซุกหน้าเข้ากับไหล่อีกฝ่าย “ถูกจับได้แล้ว”
มือบางลูบศีรษะร่างเล็กเบาๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของคนในอ้อมแขน “ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ บ่าวไม่ยอมให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาด”
“เซียงเซียงกลัว ไม่อยากให้แม่นมถูกตี” กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือยามคิดถึงครานั้นที่แม่นมถางถูกลงโทษ นางแอบไปยังสวนของเรือนหลักเพราะอยากเห็นหน้าน้องชายและมารดา ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งก็ไม่เคยถูกจับได้ ตอนทำนางไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าเมื่อถูกหม่าซูเหยาพบเห็นเข้าก็เริ่มกลัวว่าจะถูกบิดาทำโทษ ผู้ที่ต้องเจ็บตัวคงจะเป็นแม่นมถางอีกเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นก็ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ภาพที่หญิงสาวถูกตียังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย แม้จะถูกบอกให้ลืมเรื่องนั้นไปเสียแต่นางกลับจดจำมันได้อย่างชัดเจน
ถางรั่วเหวยพยายามปลอบเด็กน้อยให้หายกลัว ไหล่ของนางเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของคุณหนู เสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับร่างเล็กที่ร้องไห้จนหลับไป