ดึกสงัด รอบด้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมโชยกรีดอากาศซึ่งคงมีแค่แมลงกลางคืนที่ได้ยิน
บนเตียงในห้องปีกข้างเรือนพักผ่อนของบ่าวรับใช้ เงาร่างอรชรสายหนึ่งนั่งนิ่งพิงหัวเตียงไม่ไหวติง ดวงตาที่เคยเอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำใสฉายแววน่าเห็นใจ แพขนตางอนที่ไหวระริกบ่งบอกว่ากำลังหวาดกลัวลนลาน ท่าทางชวนเวทนาน่าสงสาร ไหนเลยยังจะมีหลงเหลือร่องรอยอยู่อีก
ยามนี้ดวงตาของนางเย็นชา มุมปากยกยิ้มเย็นเยียบ
ไม่ใช่สาวใช้ตัวน้อยผู้หวาดกลัวขลาดเขลาเหมือนตอนอยู่ในโถงสอบสอนกับพ่อบ้านเหิงแต่อย่างใด
หญิงสาวค่อยๆ เลื่อนสายตามองเพื่อนร่วมห้องที่หลับสนิทไร้วี่แววตื่น ก่อนปรายตามองเรียบเรื่อยอย่างช้าๆ ไปทางเตียงอีกฝั่ง ซึ่งเคยมีอดีตสาวใช้นามซิวอิ๋งนอนอยู่
ทว่าบัดนี้นางผู้นั้น ...ตายไปแล้ว
ด้วยน้ำมือเจ้าของรอยยิ้ม
มุมปากสตรียิ่งนานยิ่งขยับยิ้มเลือดเย็น ...ชืดชา
ซิงเยว่มิรู้ว่าตนเองเป็นอันใด เหตุใดการฆ่าใครสักคนถึงทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน บางสิ่งในร่างกายคล้ายตื่นตัว ความขลาดเขลาหรือหวาดกลัวกริ่งเกรงอันพึงมีกลับไร้วี่แวว
หญิงสาวรู้สึกคล้ายกับมีคนผู้หนึ่งหลับใหลอยู่ในตัว และคนผู้นั้นค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
ทว่าเพราะถูกปิดกั้นจากบางสิ่งทำให้การหลับใหลยังคงยาวนาน มิอาจตื่นได้เต็มตา
ฝ่ามือน้อยๆ ยกขึ้นเบื้องหน้าช้าๆ ซิงเยว่คลับคล้ายเห็นฝ่ามือตนเองเคยเปื้อนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร?
หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ปัดความคิดไร้สาระออกไป ท้ายที่สุดก็เริ่มทำความเข้าใจด้วยเหตุผล คนผู้หนึ่งยากจน เติบโตอย่างอัตคัดขัดสน ใช้ชีวิตลำบากลำบนมาตั้งแต่เกิด ย่อมต้องผ่านการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ไหนเลยจะถูกเอาเปรียบโดยง่าย เช่นนั้นการฆ่าคงมิอาจหลีกเลี่ยงแน่นอน
นางคงใช้ชีวิตมาท่ามกลางการต่อสู้อันเดือดพล่านเพื่อความอยู่รอดที่ว่ามานั่นแล
เมื่อใคร่ครวญจนตกผลึกทางความคิด ซิงเยว่พลันคิดขึ้นได้อีกหนึ่งประการ
นางควรพกพาอาวุธติดกายไว้บ้าง...
ดึกดื่นคืนนี้ ยังคงเป็นอีกราตรีที่ทำให้คนผู้หนึ่งนอนไม่หลับ
คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างบางเพรียว แต่แน่นตึงด้วยเลือดเนื้ออบอุ่นค่อนไปทางรุ่มร้อน
แน่นอนว่ามิใช่รุ่มร้อนในเรื่องกามา หากทว่าเป็นความร้อนระอุจากเรื่องที่นึกคิดขึ้นได้ในห้องพักเมื่อครู่
มีบางสิ่งในสมองที่เลอะเลือนคล้ายย้ำเตือนนางตลอดเวลาว่าอันตรายย่อมมีอยู่รอบด้าน การอยู่รอดต้องเตรียมพร้อมสม่ำเสมอ
ใครจะมาปกป้องเรานอกจากตัวของเราเอง
ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน
แต่คนผู้หนึ่งมีมือคู่นี้ที่เล็กเหลือเกิน รูปร่างยังอรชรบอบบางปานนี้ อำนาจบารมียิ่งไม่มี แล้วจะอาศัยสิ่งใดได้ หากมิใช่อาวุธเสริมกำลัง
ดังนั้นซิงเยว่จึงเดินลัดเลาะมาทางป่าไผ่ยามราตรี แม้ยินเสียงเสียดสีของลำไผ่ดังกรีดอากาศไปต่างจากปีศาจ นางก็หาได้กลัวเกรงไม่
หญิงสาวเป็นเพียงทาสในเรือน ไหนเลยจะสามารถซื้อมีดดาบซึ่งทำจากเหล็กมาพกพาได้ มีเพียงต้องดัดแปลงเอาจากธรรมชาติใกล้ตัว
ป่าไผ่แห่งนี้อยู่ติดกับเรือนเก็บฟืน ตรงแท่นผ่าฟืนมีมีดพร้าเล่มหนึ่งปักไว้ ซิงเยว่แอบหยิบมาใช้หมายเป็นเครื่องทุ่นแรง ไม่นานนางก็ได้แท่งไม้แหลมเล็กไม่ต่างจากเขี้ยวเล็บอันแหลมคม แต่ละแท่งมีขนาดเท่ากัน ช่วงปลายถูกเหลาให้โค้งมนเป็นตะขอแฉก บางอันคล้ายหนาม เหมาะมืออย่างยิ่ง
รูปแบบลักษณะพิเศษเช่นนี้มิรู้ว่าเหตุใดนางถึงคิดได้ ทั้งยังทำอย่างคล่องแคล่วยิ่ง ประหนึ่งเคยทำมาก่อนบ่อยๆ เมื่อได้จำนวนที่ต้องการ ซิงเยว่ก็นำอาวุธลับยัดเข้าสาบเสื้อและแขนเสื้อ ก่อนนำมีดพร้ามาวางคืนไว้ที่เดิม
ค่ำคืนนี้ ลมหนาวยังคงพัดโชยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ผมเผ้าดำขลับถูกลมปลิวพัดเสยไปด้านหลัง เปิดให้เห็นหน้าผากมนสวย เครื่องหน้าพริ้มเพรา ปากอิ่มเล็กแดง จมูกเล็กเชิดรั้น น่ามองอย่างยิ่ง
ซิงเยว่จัดเป็นสตรีที่รูปหน้างดงามผู้หนึ่ง เพียงแต่เมื่อยู่ในอาภรณ์สาวใช้ ความเฉิดฉายจึงมิจัดจ้านมากเท่าใด ทว่าแค่เท่านี้ ก็มากพอแล้วที่จะต้องตาต้องใจใครบางคน
ใครคนนั้นค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืด หลังจากอดทนแอบมองซิงเยว่อยู่นานครู่หนึ่ง มองจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากหลบซ่อนอีกต่อไป
ความรักใคร่ขับเคลื่อนแรงปรารถนาอันแรงกล้า ไยมิควรเปิดเผยเปิดเปลือยไปเลยเล่า?
แสงจันทร์กระจ่างที่สาดส่องลงมาทำให้เขาเห็นสตรีแน่งน้อยตรงชายป่าไผ่ค่อนข้างชัดเจนในความมืดสลัว
เขาไม่รู้ว่านางกำลังทำสิ่งใด แต่เมื่อพินิจก็เห็นว่านางคล้ายนั่งเล่นเท่านั้น รูปร่างหน้าตาช่างยั่วยวนถูกใจนัก
คนหนุ่มแน่นพลันร้อนรุ่มเกินควบคุมอย่างที่สุด
การบอกรักนางผู้นี้ เขาจะทำให้ร้อนแรงยิ่งกว่าการบอกรักใครต่อใครที่ผ่านมา
ทาสหญิงทาสชายในคฤหาสน์มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มิใช่เรื่องแปลก ชายหญิงลอบมีสัมพันธ์กันยิ่งมิใช่เรื่องใหม่ การเห็นแล้วอยากได้เพียงแรกพบมักเกิดขึ้นเสมอ ต่อให้ฝ่ายหญิงมิเต็มใจก็ตาม การใช้กำลังบังคับจากฝ่ายชายมักเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ ชนชั้นต่ำใช้ชีวิตมิต่างจากมดปลวกก็เช่นนี้ อยู่แบบไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณี ไร้อารยะ ขาดศีลธรรม ทำระยำจนชาชิน บุรุษผู้หนึ่งจึงแสยะยิ้ม แววตาหื่นกระหาย มิคิดเก็บข่มอันใดมากมาย ความต้องการ แรงปรารถนา ไยมิใช่สมควรปลดปล่อยอย่างสุขสมอารมณ์หมายได้ทันที
ชายร่างใหญ่หันซ้ายแลขวา พบว่ารอบด้านไม่มีใคร อีกทั้งยังมีเสียงเสียดสีของลำไผ่กรีดร้องดังก้องปานนั้น ต่อให้มีคนกรีดร้องออกมาผสาน เกรงว่าคงไม่มีใครสังเกตหรือได้ยินเป็นแน่
แค่เขาเปลี่ยนเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ให้กลายเป็นเสียงครางกระเส่าอยู่ใต้ร่างก็ใช้ได้แล้ว
บุรุษเลียริมฝีปากตน ก่อนยกยิ้มหื่นกระหายที่กำลังฉายชัดมากกว่าเดิม สายตาที่ทอดมองเงาร่างนวลลออใต้แสงจันทรา เห็นแต่เนื้อสาวที่เปล่งปลั่งอิ่มนุ่ม น่าซุกซบยิ่ง
ดูแค่ผิวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าและผิวหน้าพวงแก้มก็รู้แล้วว่าทั้งหวานทั้งหอม รสชาติคงจัดจ้านอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสลิ้น
คิดพลางเดินเข้าหาสตรีนางน้อยผู้เป็นเป้าหมาย สตรีนางนั้นมิใช่ใคร คือซิงเยว่ เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า
“อากาศเย็นเกินไป หาความอบอุ่นสักหน่อยเป็นไร”
คำพูดกำกวมยิ่งนัก พูดจบยังยกยิ้มสื่อความนัยด้วยสองตาเปล่งประกายคล้ายเปลวเพลิงลุกโชน
ซิงเยว่จึงรับรู้ได้ว่ามีผู้มาใหม่มิได้รับเชิญ
หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียง จึงได้เห็นเป็นบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่ง
แน่นอนว่าคงเป็นบ่าวชายประจำเรือนเก็บฟืน
“ข้าไม่หนาว คงไม่รบกวนพี่ชาย” นางตอบสัตย์ซื่อ ไหนเลยจะเข้าใจคำพูดกำกวมและแววตาสื่อนัยอันใด
ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “ข้ามิได้ชักชวนเจ้าก่อไฟคลายหนาว แต่จะใช้เนื้อห่มเนื้อให้ต่างหากเล่า” ว่าแล้วพลันโถมกายเข้ามา หาได้คิดจำนรรจาอันใดให้มากความ
ฝ่ามือใหญ่ผลักกายบางจนล้มลงก้นกระแทกพื้น ก่อนตามประกบทาบทับจับข้อมือน้อยๆ ขึ้นเหนือศีรษะนาง พันธนาการรัดรึงกายบางทุกทางมิให้หลุดพ้นเงื้อมมือ
ซิงเยว่เบิกตากว้าง นางมิทันตั้งตัว
“ท่านทำอะไร?”
“ถามมากไปไย? เดี๋ยวก็รู้” ชายกักขฬะแสยะยิ้ม เรือนกายกำยำคร่อมแม่นางร่างระหงทั้งตัวหัวจรดเท้า ใช้ท่อนขาใหญ่แข็งแรงเกี่ยวกระหวัดรัดเรียวขาเพรียวไว้มั่น แล้วก้มหน้าลงต่ำอย่างหมายมาด คาดหวังถึงวสันต์ร้อนแรง
ซิงเยว่ยามนี้จะตีขาก็ทำมิได้ มือทั้งสองยิ่งมิอาจยกขึ้นปัดป่าย นางถูกคนเหนือร่างคีบขนาบทั้งด้านบนและด้านล่าง มิต่างจากคีมเหล็กไหลร้อนฉ่า
“ปล่อยข้านะ เจ้าคนถ่อย ปล่อย!”
หญิงสาวตะเบ็งเสียงกร้าว แข่งกับเสียงกรีดร้องของปล้องไผ่ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงลำพองใจ
“ร้องให้ตายก็ไม่มีใครได้ยิน” จบคำพลันก้มหน้าประกบปิดกลีบปากอิ่มสุดแสนจะยั่วยวนทันที
ดวงตาซิงเยว่เบิกโพลงลุกโชนด้วยเปลวเพลิงโทสะ ผิดกับอีกฝ่ายที่แววตาลุกโชนด้วยเพลิงปรารถนา
การบดจูบเกิดขึ้นอย่างหยาบคาย ซิงเยว่รอจังหวะในหนึ่งลมหายใจยามชายกักขฬะเผลอไผลหมายเอาคืน
ทว่าเรื่องกลับมิง่ายดายปานนั้น เรี่ยวแรงอิสตรีกับบุรุษไหนเลยจักเทียบกันได้ ชายเหนือร่างเปี่ยมกำลังวังชามากกว่าหญิงใต้ร่างมากโข
บุรุษหนุ่มกดจูบแน่งน้อยอย่างบ้าคลั่ง มินำพาต่อเสียงร้องอู้อี้แทบขาดใจของนาง เขาขบเม้มก่อนใช้ฟันดุนดันกลีบปากนุ่มให้อ้าเผยอ แล้วแทรกปลายลิ้นร้อนตวัดเข้ามาอย่างอุกอาจ
ซิงเยว่หลับตา สะดุดลมหายใจเฮือก ค่อยๆ หยุดดิ้น คล้ายสิ้นแรง ทำเอาอีกคนพึงพอใจมาก ปลายลิ้นยิ่งตวัดกวาดลิ้มชิมรสหวานทั่วโพรงปากนาง
จังหวะนั้นเอง ซิงเยว่พลันประกบฟันกดลงสุดแรง แล้วสะบัดหน้า กระชากก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งติดปาก เลือดสดๆ สาดกระเซ็นในพริบตา
“อ๊า!”
ชายเหนือร่างร้องร่ำโหยหวนด้วยคาดไม่ถึง ฝ่ามือที่รัดรึงข้อมือเล็กรีบยกขึ้นปิดปากตน
เสี้ยวลมหายใจนั้น ซิงเยว่ดึงแท่งแหลมจากแขนเสื้อสองอันแทงเข้าไปในดวงตาที่เบิกโพลงของคนเหนือร่างทันที ปักแน่นตอกตรึงในหน่วยตาทั้งสองข้างอย่างไร้ปราณี
ครานี้เสียงร้องโหยหวนเป็นเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น เพราะลิ้นหายไป เหลือเพียงเลือดแดงฉานที่ไหลนองทะลักกบปาก ซิงเยว่ดึงแท่งแหลมออกมาอีก พลันปักฉึกลงไปที่สีข้างของอีกฝ่ายอย่างแรงและกดลึก ก่อนบิดแล้วลาก กรีดลงมาที่เอวหนา พาให้เกิดแผลเหวอะหวะเลือดกระฉูด
เสียงกรีดร้องจากลำคอยังคงโหยหวนทว่ากลับทำได้เพียงอึกอักเพราะคนเจ็บมีเลือดทะลักคล้ายน้ำท่วมปาก
คนผู้หนึ่งแม้ความจำเลือนหายกลายเป็นทาสต่ำต้อย แต่เสือต่อให้ถูกจับขังก็ยังเป็นเสือ สัญชาตญาณดิบยังคงมี
หญิงสาวจับพลิกกายใหญ่ให้ตลบลงไปอยู่ใต้ร่างตน ก่อนจะจัดการฆาตกรรมอำมหิตเลือดสาดอย่างต่อเนื่อง...