อีกด้าน
“ตายแล้ว คุณลลิน…”
“…เอาอะไรมาเยอะแยะแต่เช้าเลยคะเนี่ย” เสียงกนกวรรณคนดูแลมูลนิธิร่วมใจไทยเอ่ยถามร่างเล็กที่เดินหอบหิ้วถุงอะไรบางอย่างมากมายอยู่ในมือ
“โจ๊กค่ะ ยังไม่ได้ทำอาหารเช้ากันใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
“งั้นดีเลยค่ะ เอาโจ๊กไปแทนได้เลยนะคะ ลินซื้อมาเผื่อแล้วทุกคนเลยค่ะ” เจ้าของใบหน้าเรียวใสยิ้มหวานบอก ทำเอาหญิงวัยกลางคนได้แต่ลอบถอนหายใจออกมากับความใส่ใจมีน้ำใจของลูกสาวประธานมูลนิธิที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ รวมถึงให้ที่พักแก่เด็กกำพร้าแต่กำเนิดและผู้ยากไร้ที่สูงวัยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ลำบากตัวเองอีกแล้วนะคะ” กนกวรรณอดไม่ได้ที่จะเอ็ดคนตัวเล็กตรงหน้า ทว่าลลินก็ไม่คิดสนใจต่อท่าทางพวกนั้น ยังคงยิ้มหวานตาใสส่งให้กับคนดูแลมูลนิธิ ซึ่งในตอนนั้นเอง
“ยัยหนู” เสียงแหบของหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนรถเข็นเอ่ยเรียกร่างเล็กที่ยืนคุยอยู่กับกนกวรรณขึ้น ทำให้ดวงตากลมสวยหันมอง
“คุณยาย~” ลูกสาวนักการเมืองทรงอิทธิพลของตระกูลดังไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเดินตรงเข้าไปนั่งยองพูดคุยกับหญิงชราอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง
“เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม”
“สบายดีจ้ะ แล้วยัยหนูล่ะลูก ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยมาเลย” หญิงสูงวัยถาม
“พอดีช่วงนี้ลินมีย้ายห้องใหม่ค่ะคุณยาย แล้วก็ทำเรื่องเข้าฝึกงานด้วยเลยทำให้ลินไม่ค่อยว่างเลย คิดถึงลินเหรอคะ ^^” เจ้าของใบหน้าเรียวใสยิ้มถามหญิงชราเสียงหวาน
“ใช่แล้วลูก ยายคิดถึงหนู”
“ว้าว ลินก็คิดถึงคุณยายค่ะ ยังไงลินจะพยายามหาเวลามาบ่อย ๆ นะคะ ว่าแต่คุณยายหิวหรือยังคะ วันนี้ลินซื้อโจ๊กมาด้วยนะคะ เป็นโจ๊กแถวห้องพักที่ลินย้ายไปอยู่ คุณตาเขาทำได้อร่อยมาก ๆ เลยค่ะ เป็นโจ๊กที่อร่อยที่สุดในโลกเลย~”
“ฮ่า ๆ จริงเหรอลูก งั้นยายต้องลองสักหน่อยแล้ว”
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวลินทำให้นะคะ” ว่าแล้ว ลูกสาวนักการเมืองคนดังก็เดินไปจัดแจงโจ๊กให้กับหญิงสูงวัยท่ามกลางเสียงพยายามเอ่ยคัดค้านของกนกวรรณ
“คุณลลิน…เดี๋ยวพี่ให้คนจัดการดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลินช่วย”
“แต่…”
“ยิ่งช่วยกัน ทุกคนยิ่งได้ทานเร็วนะคะ” เจ้าของใบหน้าเรียวใสยิ้มหวานบอกคนดูแลมูลนิธิ ทำเอาคนที่ได้ยินเถียงกลับไม่ออก ได้แต่จ้องมองท่าทางของลูกสาวประธานมูลนิธิไปด้วยความเอ็นดูในความเป็นกันเองและไม่ถือตัวของอีกคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งมันไม่ใช่การแสร้งทำหรืออะไร ตั้งแต่รู้จักกับร่างเล็กตรงหน้า กนกวรรณก็รับรู้ได้ถึงความจิตใจดีเอาใส่ใจคนอื่นเป็นอย่างดีของหญิงสาวอยู่เสมอ
“มาแล้วค่ะ” เสียงหวานพูดขึ้นขณะที่เดินถือถ้วยโจ๊กอุ่น ๆ เข้าไปหาหญิงชราพิการที่บ้านยากไร้ไม่มีคนดูแลด้วยรอยยิ้มสดใส หญิงสูงวัยที่เห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มออกมากับความน่ารักใจดีของอีกคน ก่อนจะรับถ้วยโจ๊กเข้ามาตักทานด้วยแววตามีความสุข รู้สึกเหมือนถูกหลานสาวเอาใจ แม้ว่าหญิงสูงวัยจะไม่ได้พบเจอกับหลานตัวเองอีกเลยหลังจากเข้ามาอาศัยอยู่ที่มูลนิธินี้ แต่อย่างน้อยการได้พบเจอกับหญิงสาวจิตใจดีอย่างลลิน ก็ทำให้คนชราอย่างเธอรู้สึกดีขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
โดยหลังจากการรับประทานโจ๊กในมื้อเช้าเสร็จ ลลินก็อยู่ช่วยงานคนในมูลนิธิต่อตามประสาอย่างที่มักจะชอบทำ โดยที่ทุกคนนั้นรู้สึกชินไปกับภาพที่เห็น เพราะคนตัวเล็กมักจะเข้ามาช่วยดูแลคนในมูลนิธิอยู่บ่อย ๆ อย่างคนไม่ถือตัว ทว่าจะมีเพียงคนดูแลและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เท่านั้นที่รู้ว่า ลลินเป็นลูกสาวของพิเชษฐ์
“เดี๋ยววันนี้ลินต้องกลับก่อนนะคะ” ริมฝีปากสีหวานเอ่ยบอกหญิงชราที่นั่งอยู่บนรถเข็นตรงหน้า ซึ่งคนที่ได้ยินก็หันถามร่างเล็ก
“พรุ่งนี้มาอีกไหมลูก”
“พรุ่งนี้คงไม่ได้มาค่ะคุณยาย พอดีลินมีไปช่วยงานรุ่นพี่ที่สนิทด้วย” ใบหน้าชวนมองยิ้มตาใสตอบ
“งั้นเหรอลูก งั้นก็ไม่เป็นไรนะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย”
“ค่ะ คุณยายก็ด้วยนะคะ ^^” หลังจากเอ่ยบอกหญิงสูงวัยเสร็จ ลลินก็ไม่วายหันไปเอ่ยทักทายลากับเจ้าหน้าที่และคนดูแลที่ยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง
ด้านโจชัว
ตึก
ตึก
เสียงเท้าหนักของชายที่อยู่ในชุดสูทดูดีสุขุมเดินตรงเข้าไปยังภายในห้องทำงานของพี่ชายตัวเอง ท่ามกลางพนักงานมากมายในบริษัทธนาคารใหญ่ที่ต่างก้มหน้าทักทายร่างสูงที่เดินเข้ามา โดยดวงตาคมนั้นปรายตามองพนักงานเหล่านั้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปนั่งลงยังโซฟาราคาแพงในห้อง
“แกจะดูแลด้านไหน” เสียงเจคอปมองหน้าถามน้องชายตัวเองที่เพิ่งเข้ามา
“ยังไงก็ได้” โจชัวตอบกลับพลางยังคงแสดงสีหน้าเรียบนิ่งออกมาตามประสาของเขา
“แกควรเลือกมา”
“การตลาด” สุดท้ายปากหนาก็จำต้องเอ่ยบอกพี่ชายตัวเองเสียงนิ่ง
“งั้นฉันจะส่งแกไปที่ฝ่ายจัดการการตลาด”
“อืม” เจ้าของใบหน้าหล่อพยักหน้ารับคำ ทว่า…
“อย่ายุ่งกับพนักงานในบริษัท”
“คืออะไร?” ดวงตาคมกริบปรายตามองพี่ชายตัวเองนิ่ง
“อย่านอนกับผู้หญิงหรือพนักงานในบริษัท…”
“คิดว่าฉันเป็นคนยังไง”
“ก็แค่พูดเตือนเอาไว้ก่อน เผื่อวันไหนแก…”
“ไม่ใช่เด็ก ฉันรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร” โจชัวตอบกลับคนเป็นพี่เสียงเรียบ ซึ่งสองคนไม่ได้ไม่ถูกกันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเป็นคนพูดน้อยด้วยกันทั้งคู่ ทำให้มักจะแสดงท่าทีนิ่งเฉยใส่กัน
“แบบนั้นก็ดี” เจคอปบอกพลางก้มลงกดปากกาในมือเซ็นอนุมัติตำแหน่งฝ่ายที่น้องชายต้องการไปเรียนรู้งาน โจชัวที่เห็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นจากโซฟาขนาดใหญ่
“แล้วเจอกัน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพี่ชายเพียงสั้น ๆ พลางเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามปกติของตัวเอง ขณะที่เจคอปเองก็มองตามแผ่นหลังกว้างของน้องตัวเองไปนิ่งก่อนจะหันกลับไปสนใจยังงานมากมายที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองต่อ