บทที่ 6 จะ...จับจูบ
ค่ายพวกเราได้ข้าวกันครบก็พากันไปหาที่เงียบๆ กิน นั้นก็คือบ้านของชาวบ้านที่ยกสูง น้ำท่วมไม่ถึงและบ้านหลังนั้นก็ยังก่อสร้างไม่เสร็จ มีแค่มุมหลังคา ฝากั้นบ้านยังไม่มี เหมือนจะทำแค่ห้องเดียว ทำด้วยไม้ทั้งหลัง พวกเราพากันเดินขึ้นบันไดไปและนั่งกินกันคนละมุม
“ ใครไม่อิ่มกินได้เลยนะ” ฉันหยิบกล่องข้าวมาหนึ่งกับแกงถุงมาหนึ่งและน้ำหนึ่งขวด ที่เหลือวางไว้ตรงกลาง
แล้วพาตัวเองมานั่งห้อยขาอีกฟากหนึ่ง หูก็ได้ยินพี่ๆ ต่างพากันถามเพื่อนอีกสามคนว่าฉันกับคนแจกข้าวเป็นอะไรกัน พวกนั้นก็บอกไปตามตรงว่าเป็นคู่หมั้น เป็นแฟน เป็นคนรัก ทำนองนี้
ฉันนั่งกินอย่างชิวๆ ตาก็มองลงไปด้านล่างที่มีน้ำท่วมขังอยู่ ถึงรสชาติจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่มันก็ประทังความหิวได้ เลยคิดไปว่ามันอร่อยนั้นแหละ
“เอ่อ…” จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุกคนดังพร้อมกันแบบตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่ได้สนใจคิดว่าน่าจะเป็นผู้หมวดที่เดินขึ้นมา
พรึ่บ….
รองเท้าคู่หนึ่งปรากฏใกล้ที่ฉันนั่ง มันทำให้ฉันต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองเจ้าของ
“พี่ฉัตร!” สิ้นเสียงฉัน พี่เขานั่งลง แต่ใครจะนั่งด้วยล่ะ ฉันขยับห่างจะลุกขึ้นแต่โดนล็อกด้วยมือหนา
พี่เขาเอาแขนมาพาดที่ไหล่เหมือนโอบ แต่ใช้แรงกดไหล่ให้ฉันนั่งแบบลุกไม่ขึ้น
“อื้อ~ อะไรของพี่เนี่ย ปล่อยเลย”
“เคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด”
“เอาแขนออกไปเลย” พยายามยักไหล่ให้มือหนาออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล
“ทำไมโทรหาถึงไม่ติด ปิดเครื่องใช่ไหม? ” เขาเปลี่ยนเรื่อง แทนที่จะทำตามแต่กลับมาถามต่อ
“ก็เข้าป่าไง”
“ก็รู้ ถึงสัญญาณจะไม่ค่อยมีแต่ทุกรอบก็โทรติดนะ”
“พายุแรงขนาดนี้พี่ไม่เห็นเหรอ? ไม่มีเวลาเล่นมือถือหรอก”
“แต่พี่โทรตั้งแต่วันแรกที่มุกบอกจะเข้าป่าแล้วนะ ”
“ก็…ไม่ได้พาไป ปิดเครื่องไว้ในห้องพักที่ค่าย ”
“พูดอ้อมเสียนาน ที่แท้ก็ไม่ได้พาไป แต่คงจะตั้งใจไม่ใช่ลืมแน่ๆ ”
“ใช่ พาไปก็ไม่รู้จะคุยกับใคร? ” ฉันพูดยอมรับตรงๆ
“โกรธเหรอ? ”
“เปล่า”
“แน่ใจ? ”
“อือ”
“พูดใหม่สิ”
“พี่ควรลงไปหาเพื่อนๆ นะ ตรงนี้มีแต่คนของค่ายหนูอะแล้วผู้หญิงทั้งหมดด้วย ”
“ทำไมเหรอ? หรือว่าทหารพรานไม่ชอบทหารเขียว? แต่พี่มาหาแค่มุกไม่ได้มาหาคนอื่นสักหน่อย ”
“คนอื่นไม่รู้ แต่หนูไม่ชอบ!” พูดจบสะบัดหน้าทำเอาคอเคล็ดเลย โอ๊ยย!
“นั้นไง ดูทำเข้า คอเคล็ดเเล้วเหรอ? ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาปะปนมาด้วยความขำ
“ไปนั่งไกลๆ เลย อย่ามายุ่ง! ” รีบไล่เพราะความอาย
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วยนะ”
“แต่หนูไม่อยากคุยตอนนี้ เห็นไหมว่าเจ็บคออยู่”
“หมอทหารมีนะ ไปให้หมอช่วยไหม?”
“ไม่ต้องมายุ่ง” พี่เขาไม่ฟัง ปล่อยมือจากไหล่มนแล้วแกะกล่องข้าวตัวเองแล้วนั่งกินไปเงียบๆ หรือจะโกรธ แค่ไล่เอง คำพูดไม่เห็นจะแรง...แต่ทำไมใจเจ้ากรรมต้องแคร์เขาด้วย
“พี่ฉัตรคะ…เอ่อ…ที่นี่มีห้องน้ำให้เข้าไหมคะ” เสียงของเพื่อนสาวถามขึ้น พูดเหมือนคนสนิทที่รู้จักกันมานานเลยนะยัยฟ้า
“มีครับ แต่บนรถสุขานะ” พี่ฉัตรหันไปตอบ
ทำให้ฉันเบ้ปากอีกรอบเพราะเขาพูดคำว่าครับกับคนอื่น แต่กับฉันไม่เคยพูดแถมยังชอบบังคับให้ฉันพูด ค่ะ คะ อีกต่างหาก
“อ๋อค่ะ แล้วรถจอดอยู่ตรงไหนเหรอคะ?”
“ตรงนั้นครับ ใกล้ๆ กับที่รับข้าวกล่องเมื่อกี้เลย เป็นรถคันสีเขียวครับ”
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ…ยัยมุกแกไปไหม?” ฟ้าเอ่ยขอบคุณพี่ฉัตรแล้วต่อท้ายด้วยการถามฉัน
“ค่อยไป ขอกินข้าวให้เสร็จก่อน” ฉันพูดขึ้น
“แต่พวกเราจะไปกันทั้งหมดเลยนะ แล้วแกจะตามไปพร้อมใครเหรอ? ” ฝ้ายพูดขึ้น
“เดี๋ยวพี่พามุกไปเอง” พี่ฉัตรเสนอตัวเองทันที
ทำให้ฉันทำท่าจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้พี่เขาคว้าเอวคอดไว้ ทำให้ฉันแนบชิดติดตัวเขามากกว่าเมื่อกี้อีก หันไปปะทะกับสายตาเพื่อนๆ ทุกคนต่างส่งยิ้มมาและพากันรีบลงจากบ้านสูงหลังนี้ทันที
“พี่ฉัตรอะ เล่นอะไรไม่รู้ ปล่อยเลยนะ”
“แล้วจะรีบลุกไปไหน ก็เห็นอยู่ว่ากินข้าวยังไม่หมดเลย”
“ปล่อยก่อน”
“ตอบก่อน เดี๋ยวปล่อย”
“ก็จู่ๆ มันปวดท้องขึ้นมาไง แล้วก็กินอิ่มแล้วด้วยอะ จะไปเข้าห้องน้ำพร้อมเพื่อนๆ ”
“โกหก มุกแค่ได้ยินว่าพี่จะพาไปแค่นั้นก็ลุกขึ้นพล่ามทันที เป็นอะไร ทำไมถึงทำเหมือนจะหลบหน้าด้วย พี่ไม่ใช่คนร้ายสักหน่อยพอเห็นพี่แล้วรีบหนีเลยอะ”
“ก็…พี่ดูสิ มีแต่คนมองเราสองคนอะ” ฉันมองไปยังด้านล่าง พวกทหารบกผู้ชายน่าจะเป็นเพื่อนพี่ฉัตรมองมายังพวกเราเป็นสายตาเดียวกันหมด
“พี่บอกเพื่อนไปแล้วว่าเราคบกัน หมั้นกันแล้ว พวกนั้นมันก็แค่อยากจะแซวอยากจะแกล้งแหละ”
“บอก? บอกทำไมอะ”
“หางเสียงไปไหน”
“ไปฉี่มั้ง โอ๊ะ ถามได้”
“กวน” พี่เขาพูดตอบกลับมาแล้วโน้มหน้ามาใกล้
“ค่ะๆ ” หลับตาปี้แล้วพูดออกไป
“เหอะ นึกว่าจะแน่” พี่เขาพูดจบก็ปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ หัวใจก็เต้นแปลกๆ เหมือนกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่เจอ
“แล้วพี่จะกลับค่ายตอนไหนเหรอ...คะ” นั่งเงียบกันสักพักก็อึดอัดเลยถามออกไป
“ก็ตอนที่ช่วยชาวบ้านครบทุกคนแล้วถึงจะกลับได้”
“อืม”
“มุกทำไมถึงสอนยากจัง พูดใหม่สิ” โอ๊ยยย! หลุดสักนิดก็ไม่ได้
“ค่ะ คุณพรี่ พอใจไหม”
“พอใจ ครั้งต่อไปถ้าพูดจาไม่มีหางเสียงอีก พี่จะจับจูบตามจำนวนที่หลุด”
จะ…จับจูบเลยเหรอ? ฉันไม่แน่ใจว่าเขาพูดผิดหรือเปล่า จึงจ้องตาเขาแต่ดวงตาคมคู่นั้นมันบ่งบอกว่าที่พูดออกมาคือเรื่องจริง
เขารุกแรงเกินปุยมุ้ยอะ รู้สึกไม่ชินกับทีท่าแบบนี้ ปกติเขาจะไม่พูดมาก ไม่ค่อยจะแตะต้องตัวฉันสักเท่าไร และเรื่องที่จะป่าวประกาศบอกใครต่อใครว่าเราเป็นอะไรกันก็ยิ่งนึกไม่ถึง… เขาดูจะเปลี่ยนไปจริงๆ หรือจะเริ่มจริงจังแล้ว
“เข้าใจหรือยัง”
“อื้ม …ไม่ๆ ค่ะ เข้าใจแล้ว” เผลอหลุดปากออกไป แต่พอเขาจ้องตาก็รีบเปลี่ยนทันควัน
“กินข้าวให้เสร็จ พี่จะพาไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกว่าหัวของมุกจะเหม็นแล้วนะ”
แง่ๆ กรี๊ดดดด ฉันหัวเหม็นเหรอ? อายเลยนะ ถ้าผู้ชายทักแบบนี้
“ใครใช้ให้ดมล่ะ แล้วอีกอย่างเพิ่งออกจากป่ามานะ จะเอาเวลาไหนไปสระผมก่อน พูดอะไรออกมาทำไมไม่รู้จักคิดบ้าง ” ฉันต่อว่าพี่เขาทันที
“หึ” เขาหัวเราะผ่านลำคอ พอเห็นฉันโมโหก็คงถูกใจ ไอ้คนบ้า! หึก
“ไม่กินแล้ว อิ่ม หนูไปก่อนนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นทัน
“เดี๋ยวๆ รอไปพร้อมกันสิ”
“ไม่”
“มุกรอพี่ก่อน จะรีบไปไหน” รอบนี้เสียงเข้มมาเชียว
“ก็หนูจะไปอาบน้ำไง พี่บอกเองว่าอยู่ใกล้แล้วเหม็นสาปอะ”
“พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นนะ ก็แค่บอกว่าหัวเหม็นเอง อะๆ พี่ขอโทษ”
“ไม่ยกโทษให้หรอก”
“อ้าว” พี่เขารีบลุกขึ้นเดินมาหา ฉันก็รีบคว้าราวบันไดเพื่อยึดไว้กำลังจะก้าวขาลงแต่…
“อย่าเพิ่งไป ทำไมถึงไม่ยกโทษ”
“กับหนูไม่ว่าจะตอนคุยกันในโทรศัพท์หรือเจอกัน พี่อะบังคับตลอด ให้พูด ค่ะ คะ ให้พูดจามีหางเสียง พูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ แต่พี่ไม่เคยพูดครับกับหนู พี่สองมาตรฐานทีกับคนอื่นพูดครับ ครับ หึก! ”
“โธ่… ก็นึกว่าเรื่องอะไร” พูดแค่นั้นก็อมยิ้ม ซึ่งครั้งแรกนะเนี่ยที่เห็นเขายิ้ม หัวใจมันก็รวนเรเผลอเต้นไม่เป็นจังหวะอีกรอบ
“ยะ..ยิ้มทำไม!” พูดออกไปด้วยน้ำเสียงห้วนหวังจะกลบเกลื่อนตัวเองไม่ให้หน้าแดง หวังจะให้หัวใจเต้นตามปกติ แต่โกหกใครนะโกหกได้ แต่กับตัวเองย่อมไม่ได้อยู่แล้ว มันยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดิม
“เรื่องแค่นี้เอง คราวหลังก็บอก พี่จะพูดให้ ต่อไปเราก็ต้องแต่งงานกันแล้วนะ มีอะไรก็ควรพูดกันตรงๆ ไม่ต้องเก็บเงียบไว้ ความลับก็ไม่ควรมีด้วย”
“พี่อยากแต่งเหรอ? ”
“…” พอฉันถามออกไปแบบนี้พี่เขาก็นิ่งไปทันที
“ไอ้ฉัตรๆ มึงจะหวานกันนานไหมวะ ผู้กองเรียกแล้ว แต่บนรถยังมีที่ว่างนะพาเข้าไปสิวะ ทำรีบๆแล้วออกมาก็บังทัน ” เสียงเพื่อนพี่ฉัตรดังมาจากด้านล่าง ทำให้เราทั้งคู่หันไปมอง ฉันอายเลยนะ พูดอะไรออกมาไม่รู้ผู้ชายคนนั้นอะ
“เออๆ กูไปแล้ว” พี่ฉัตรตอบกลับไป แล้วหันมาจับมือฉันเดินจูงลงบันไดด้วย แต่ด้วยความที่ยังไม่ได้คำตอบกับคำถามที่ถามออกไป มันยังคงค้างคาเลยสะบัดมือตลอดเพื่อจะให้หลุดจากกับจับกุมแต่ก็ไม่เป็นผล
“เดินเองได้น่าา”
“ไปเข้าห้องน้ำเองได้ใช่ไหม? พี่คงไปเป็นเพื่อนไม่ได้แล้วอะ” หันมามองฉันแวบนึงแล้วหันไปมองขั้นบันไดต่อ
“ไปเองได้สิ มีตีน!” สิ้นเสียงฉัน พี่เขาหยุดชะงักหันมามองหน้าฉันทันที ทั้งที่เหลืออีกแค่ขั้นเดียวก็ถึงพื้นดินแล้ว
“ทำไมพูดจาแบบนี้ คำพูดแบบนี้บอกแล้วไงว่าห้ามพูด มันไม่ไพเราะเลยนะ”
“ก็อย่าฟัง อย่าเก็บมาใส่ใจสิ” พูดแล้วเชิดหน้า แต่ไม่กล้าสู้หน้าพี่เขาเลยเบือนหน้าไปทางอื่น
“ก็อย่าพูดให้ได้ยินอีกสิ”
“แล้วจะทำไม ก็อยากพูดอะ” ยังมีหน้าไปท้าทายพี่เขาอีก
หมับ! จู่ๆ ก็โดนกระชากเบาๆให้ลงจากบันไดขั้นสุดท้ายมาเหยียบพื้นดิน เป็นจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว ปากก็อ้าจะต่อว่าเขาแล้ว แต่โดนจับคางให้หันตรงๆ สายตาพี่เขาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ ใบหน้าขรึมจ้องคนตรงหน้าแล้วค่อยๆยื่นหน้าเข้ามา ฉันจะขยับหน้าออกห่างก็ไม่ได้เพราะถูกตึงท้ายทอยไว้ด้วยมือหนาอีกข้าง
อุ้ปส์~ ในที่สุดพี่เขาก็ประทับริมฝีปากตัวเองมาประกบปากฉัน เขาบดขยีัริมฝีปากบนเล็กน้อย หัวใจฉันก็เต้นระรัว แต่เพียงแค่ครู่เดียวพี่เขาก็ผละออก
“ไว้จะมาคิดบัญชีอีกรอบ นี่แค่ประทับจองไว้ก่อน” พูดจบพี่เขาก็เอามือมาลูบหัวผ่านหมวกที่ครอบอยู่ แล้วเดินจากไป
โอ๊ยยย อยากจะกรี๊ดให้ดังๆ เพิ่งเคยโดนปากผู้ชายบดขยี้ครั้งแรกในตอนที่รู้สึกตัวนะ และตอนที่ป้อนยาก็ไม่ได้รู้สึกใจเต้นขนาดนี้ แล้วตอนที่เมาไม่นับ เพราะไม่รู้ว่าตอนโดนจูบตอนนั้นจะรู้สึกยังไง ตอนเมาสติก็ไม่มี จำไรก็ไม่ได้ แต่ครั้งนี้ยังมีสติครบทวน...ใบหน้ามันก็เห่อร้อนขึ้นมาทันที
❤️_________❤️
นามปากกาผกายมาส
***ที่พิมพ์เกี่ยวกับทหารพราน ในค่ายทหาร การปฎิบัติหน้าที่ทุกอย่างที่พิมพ์ไป ไม่ได้อ้างมาจากความจริง ไรต์แค่เสริมเติมแต่งไปเอง มันคือการสมมุติขึ้นมาแต่ทางค่ายทหารพรานชายมันจะมีจริงๆนะถ้าจำไม่ผิด เรื่องนี้แต่งมาไม่ได้อ้างอิงจากความจริง พิมพ์ขึ้นมาเองล้วนๆ คนที่รู้จริงในเรื่องทหารอย่าว่ากันนะคะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเอาข้อมูลจริงๆมาเผยแพร่นะคะเพราะในกูเกิลจะมีให้คันหาอยู่แล้ว แต่ไรต์ไม่ได้แต่งเน้นความจริงหรือเกี่ยวกับทางราชการเยอะและกลัวจะไม่เป็นผลดีเลยเลือกจะสร้างขึ้นมาเอง เป็นเพียงการสมมุตินะคะ***
***ขอแทนสามจังหวัดว่า จังหวัดA จังหวัดB จังหวัดC นะคะ ***