“ เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันข้างในดีกว่า “ เขาเปิดประตูเชิญเธอเข้าไปด้านใน และนั่งลงพูดคุยกันที่โต๊ะในบ้าน
“ บ้านนี้ผมไม่ค่อยได้มาอยู่เท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าปล่อยเช่าให้คนที่มาเช่าช่วยดูแลจะดีกว่า ปล่อยทิ้งไม่มีคนดูแล “
“ ค่ะ งั้นคุณให้เช่าราคาเท่าไหร่คะ “
“ 30 ไม่สิ 20หยวนต่อเดือน คุณตกลงไหมครับ “
“ ราคานี้ฉันพอรับได้ค่ะ ตกลงค่ะฉันเช่าบ้านขอบคุณ ฉันหวงเป่ยลู่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ “
“ อ่อผม อี้เหมิน คุณเรียกผมพี่อี้เหมินก็ได้ เพราะดูแล้วคุณน่าจะอายุไม่ถึง20 “
“ ค่ะ ฉันอายุ 18ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่อี้เหมิน “
“ ไม่เป็นไร ผมยินดี ยังไงฝากบ้านด้วย ส่วนสัญญาเช่าพรุ่งนี้ผมจะนำมาให้คุณเซ็น “
“ ค่ะ “
“ อ่อ นี่เป็นกุญแจบ้าน เอ่อ มันมีชุดเดียวผมหวังว่าคุณจะรักษาเป็นอย่างดี อย่างที่คุณรู้ที่นี่ไม่มีช่างทำกุญแจ ถ้าหากหายไปละก็คุณคงต้องนอนนอกบ้าน “
” ค่ะฉันเข้าใจแล้ว จะจำไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ “
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ออกจากบ้านไป ซึ่งเขากลับไปที่หน่วยงานของตนเอง เพื่อขอให้ลูกน้องใต้บังคับชัญชาการช่วยจัดการเรื่องเอกสารสัญญาเช่าบ้านให้แก่เขา
เมื่อหาบ้านเช่าได้แล้ว เป่ยลู่ก็กลับมาที่บ้านพ่อแม่เธอมาเพื่อเก็บข้าวของบางส่วนของตนเองเท่านั้น อีกอย่างเธอกลับมาเพื่อบอกกับพวกเขาว่าเธอขอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตนเอง
“ พี่ใหญ่ พี่เก็บของทำไมครับ “
“ พ่อกับแม่ยังไม่กลับมาบ้านหรออาซาน “ เป่ยลู่ไม่ตอบคำถามน้องชายแต่ถามถึงพ่อแม่แทน
“ กำลังกลับมาครับ “ เธอพยักหน้ารับรู้ และทำความสะอาดห้องจนเสร็จสิ้นพ่อกับแม่ก็กลับมาถึงบ้านพอดี
“ จะไปไหนงั้นหรอ “ แม่ของเธอเอ่ยถาม
“ ฉันจะไปทำงานในเมืองค่ะแล้วก็จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นด้วยค่ะ “
“ แต่ว่านี่… “
“ ขอโทษด้วยนะคะที่มาก่อความวุ่นวายที่บ้าน ทำให้พ่อแม่ต้องเสียหน้า ถ้ามีโอกาสฉันจะกลับมาเยี่ยมนะคะ “ เป่ยลู่เอ่ยบอก เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหล แต่เมื่อมองไปที่พ่อของตนเองแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่น้อย
เธอปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ชีวิตก่อนก็ไม่มีใคร เธอยังอยู่มาได้เลย ถ้าชีวิตใหม่นี้จะไม่มีใครอีกก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
“ แม่ดูแลตัวเองดีๆนะคะ อาซานช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยนะ พี่ไปก่อน ฉันไปนะคะพ่อ “
เป่ยลู่เดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองใครที่อยู่ด้านหลัง เธอเดินจากไปด้วยความมุงมั่นอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่ลูกสาวคนโตจากไปแล้วเป่ยหรงได้แต่นิ่งเงียบ เขาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับเรื่องที่ผ่านมา ยอมรับว่าเขารู้สึกเสียหน้าที่ลูกสาวของเขาก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต
ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ชาวบ้านต่างก็หลบหนีเขาทั้งสิ้น แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่พูดคุยถามไถ่เหมือนแต่ก่อน เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยกับลูกสาวของตัวเองแทน
เป่ยซานเขามองกน้าพ่อกับแม่อย่างห่วงใย เขาเองก็ห่วงใยพี่สาวคนโตไม่น้อยไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะรู้สึกแย่แค่ไหนที่ถูกพ่อเมินเฉย เขายังเด็กไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาทำได้เพียงแค่ยืนมองพ่อกับแม่ที่นั่งร้องไห้เงียบๆเท่านั้น
เป่ยลู่เดินมาถึงเกวียนที่รับจ้างเธอให้เขาไปส่งที่ในเมืองหน้าตลาดจากจั้นก็เดินไปที่บ้านเช่าด้วยตนเอง ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องต่างๆ เธอเฝ้าถามกับตนเองว่าสิ่งที่เธอทำนั้นผิดหรือไม่
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ขับไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวสมองตนเอง และเริ่มคิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรออกไปขายดี
เมื่อนึกขึ้นมาได้ก็จำได้ว่าตนเองยังไม่ได้สั่งทำรถเข็นเลยเธอจึงต้องรีบกลับไปที่บ้านเพื่อนำข้าวของไปเก็บก่อนจะออกไปสั่งช่างทำรถเข็นให้เธอ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่เธอจะได้ขายของ
เป่ยลู่เดินไปถามพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงขายของหน้าตลาดจนรู้ว่ามีร้านรับทำรถเข็นแบบที่พวกเขาใช้กันอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เธอจึงเดินมาที่บ้านหลังนั้นซึ่งอยู่ด้านหลังตลาด
โดยมีชายชราที่เป็นเจ้าของบ้านและเป็นคนรับทำรถเข็นอยู่ เขากำลังประกอบรถเข็นอยู่หน้าบ้าน เธอจึงเข้าไปสั่งรถเข็นจากเขามาด้วยซึ่งรถเข็นของเขาต่างจากรถเข็นในความคิดของเธอไม่น้อย เพราะมันทำจากไม้ ไม่ใช่เหล็กหรืออลูมิเนียม แต่มีขนาดกว้างพอที่จะวางหม้อหรือถาดได้ถึง 5 ช่อง แต่รถเข็นที่เธอสั่งทำนั้น ให้มีรูขนาดกลางเพิ่มขึ้นมาตรงหัวมุม เพราะเธอตั้งใจจะเอาไว้ใช้อุ่นอาหารในระหว่างวันที่ขาย เพื่อให้อาหารของเธออุ่นร้อนตลอดเวลา
ค่าทำรถเข็นก็ตกอยู่ที่ 50 หยวน เพราะเธอทำขนาดใหญ่กว่าปกติเกือบเท่าตัว สามารถวางหม้ออาหารได้ 8 ช่อง และช่องทำหรับวางเตาถ่านอุ่นอาหารอีก1ช่อง ข้างใต้เป็นพื้นที่โล่งมีประตูเปิดปิดด้วย เธอเอาไว้วางเก็บของนั่นเอง