หลังจากพ้นเงาของแขกสำคัญที่นำความร้อนใจมาสู่คนของตระกูลหลัวเห็นเช่นนั้นสองแม่ลูกตระกูลหลัวต่างก็มองสบตากันด้วยความหมายที่เข้าใจจางอี้มีหรือจะยินดีให้ลูกสาวตนเองไปลำบากแค่เพียงคิดว่าต้องไปอยู่ไกลถึงตงอี๋ก็ว่ายากจะทำใจยามนี้ยิ่งรู้ว่าอ๋องเก้าทั้งดวงตามืดบอดใบหน้าก็กลายเป็นบุรุษอัปลักษณ์ที่ไร้แม้แต่กำลังในมือเพียงหลักพันแถมอนาคตภายหน้าคงต้องอยู่ยังตระกูลหลิวของฝ่ายมารดาที่ทำไร่ทำนาและปลูกผักส่งพืชชีวิตลำเค็ญเกินจะรับได้นางมีหรือจะตัดใจส่งบุตรีหนึ่งเดียวไปลำบากยากแค้นถึงเพียงนั้น
"ท่านแม่เช่นไรข้าก็ไม่แต่งให้กับฉีหวางนะเจ้าค่ะ"
หลัวหรั่นเหยียนที่ยามนี้นางรู้ว่าในครรภ์ตนเองมีเลือดเนื้อของผู้ใดอยู่เร่งเขย่าแขนของมารดาอย่างวอนขอนางนั้นลงทุนลงแรงไปมากมายจะให้ทิ้งอนาคตอันรุ่งเรืองเป็นสตรีอยู่เหนือสตรีแล้วไปอยู่ยังบ้านนอกบ้านป่าปลูกผักปลูกข้าวนางไม่ยินยอมเป็นอันขาด
"เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของท่านแม่เองเจ้าไปพักผ่อนเถิดกำลังท้องกำลังไส้ต้องระวังตัวให้มากหน่อย"
จางอี้ปลุกปลอบบุตรสาวให้สบายใจเช่นไรนางมิทุกข์ร้อนกับสามีเขาล้วนต้องฟังนางเพราะน้าสาวของนางเป็นถึงกุ้ยเฟยต่อให้จากไปแล้วก็ตามทีต่อให้หลัวหรั่นเหยียนภายหน้ามิอาจไปไม่ไกลจนถึงตำแหน่งฮองเฮาแต่อำนาจก็นับว่าใช่น้อยแล้วมีหรือสามีจะไม่เกรงใจนาง
“ท่านพี่”
นางกลับมาพบสามีอีกครั้งพร้อมกับน้ำแกงหวานที่เขาชอบ
"ฟูเหริน...เป็นเจ้านี่เอง"
หลัวถงหยินรับถ้วยน้ำแกงหวานมาถือเอาไว้แต่สายตาของเขายังเหม่อลอยเห็นอาการเช่นนี้จางอี้มีหรือจะไม่รู้ว่าสามีของนางกำลังตัดสินใจลำบากว่าจะยินดีเสียหมากตายในมือเช่นตำราสมุนไพรเก่าแก่ของตระกูลเซี่ยของฝ่ายมารดาสองฝาแฝดไปดีหรือไม่ซึ่งนางย่อมมิต้องการของที่ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เช่นนั้น
“ท่านพี่คงกลุ้มใจกระมังมีสิ่งใดให้ข้าช่วยคิดหรือไม่”
ถึงอายุจะมากแล้วแต่ปกติหลัวถงหยินก็มิเคยนั่งด้วยกิริยาหลังงองุ้มเช่นนี้เลยสักครั้ง หากแต่เหตุการณ์ในวันนี้ค่อนข้างทำเขาตัดสินใจลำบากยิ่งนักเพราะผู้อื่นอาจไม่รู้ทว่าเขาเป็นผู้ที่สนิทกับน้องชายมากที่สุดจึงรู้ว่าความเป็นจริงนั้นตำราดังกล่าวมีความสำคัญจริง ถ้าหากเปิดมันได้อำนาจจะตกมาอยู่ในมือของเขามากมายซึ่งรวมไปถึงเงินทองที่จะตามมาจนคาดเดาปริมาณไม่หมดก็ยารักษาโรคล้วนมีค่าสูงส่ง หากต้องปล่อยหลัวเหม่ยเหยาไปจะแน่ใจได้อย่างไรว่าอีกห้าหนาวเขาจะยังสามารถครอบครองตำราโบราณนั่นได้อีกหากเกิดนางเปิดเผยแก่คนสกุลหานผู้เป็นสามีเล่าเขามิเสียผลประโยชน์ไปฟรีหรอกหรือ
....ไหนจะป้ายทองคำแสนสำคัญของสุ่ยโจวนั่นอีก...
คนโลภยิ่งคิดก็ยิ่งตัดสินใจลำบากใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ลูกสาวของตนเองต้องลำบากอีกใจก็เสียดายผลประโยชน์มหาศาลที่รออยู่ใครจะรู้ได้บางทีตำรานั้นอาจทำให้เขามั่งคั่งกว่าองค์ฮ่องเต้ในยามนี้ก็เป็นได้หรือหากได้ป้ายทองคำมาอำนอาจต่อรองมากเทียบเท่าหวางปกครองหนึ่งแคว้นย่อมดีกว่าเป็นเพียงไค่กั๋วกงเช่นทุกวันนี้
“ฟูเหรินของข้า...ใจข้านั้นอย่างไรก็มิคิดให้ลูกของเราไปลำบาก...หากแต่อีกใจของข้าก็แสนจะเสียดายหากต้องสูญเสียตำราโบราณนั่นไป”
....ชายสูงวัยพึมพำคล้ายคนใกล้สิ้นลมเพราะจมลงในสายธารลึกล้ำ...
ด้วยว่าร้ายดีเช่นไรนั่นก็เป็นเลือดเนื้อที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของสตรีที่เขามิอาจตัดใจลงแล้วยังเป็นสายเลือดของน้องชายฝาแฝดของเขาแล้วเลือดของนางยังมีค่ามากอีกด้วยให้ตัดใจส่งกองอัญมณีออกไปจากหัวมันช่างยากนัก หากแต่ความอยู่รอดของตระกูลยามนี้ก็บีบคั้นเขาอย่างยิ่ง
พลันนั้นบางอย่างก็วาบผ่านเข้ามาในสมองของหญิงมากแผนการแหละหลากร้อยเล่ห์กล
"ถึงเราจะส่งนางไปยังตงอี้แล้วก็ใช่ว่าต่อไปท่านพี่จะเอาตำรานั้นมามิได้เสียเมื่อใดกันนังเด็กโง่นั่นรู้เสียเมื่อใดว่าเลือดในกายนางสามารถนำมาเปิดเอาหีบของมารดามันได้เราก็ส่งแต่ตัวนางไปส่วนหีบนั้นท่านพี่ก็เก็บเอาไว้อีกห้าหนาวท่านพี่ก็เพียงส่งคนไปจับนางกลับมา...จะยากเย็นอันใด"
แน่นอนว่าในสมองแยบยลของ'จางอี้'นั้นมีแผนการนั้นอยู่ก่อนแล้วเรียบร้อยคนเช่นนางไม่ยอมเสียผลประโยชน์แม้เพียงปลายเส้นผมอย่างไรความลับเรื่องการเปิดหีบเอาตำราโบราณของตระกูลเซี่ยยามนี้ก็มีเพียงนางและสามีของนางที่รู้เพราะแม้แต่เจ้าของตัวจริงเช่นหลัวเหม่ยเหยานางยังไม่เคยรู้นี่จึงนับว่าง่ายดายแล้ว
"อา...ฟูเหรินไยข้าจึงลืมเลือนเรื่องเช่นนี้ไปได้นะ"
หลัวถงหยินคล้ายพบเจอแสงสว่างในชีวิตอีกครั้งนี่กระมังที่เขากล่าวเอาไว้ว่าคนชั่วก็ย่อมคู่กับคนชั่วสามีร้ายภรรยาเลวจึงอยู่กันยืดยาวมาหลายสิบหนาวดังเช่นไคกั๋วกงและฟูเหรินกั๋วกงคู่นี้
"แต่ยามนี้เหยาเอ๋อร์นางยังไว้ทุกข์ให้แก่ฉีเอ๋อร์อยู่ข้าเกรงว่าหากเป็นข้าไปพูดนางคงจะไม่ยินยอมตกแต่งออกไปสินะเจ้าค่ะท่านพี่"
ไคกั๋วกงเฒ่าลูบเคลาที่เริ่มเปลี่ยนสีไปมาอย่างใช่ความคิดย่อมเป็นเช่นนั้นต่อให้ระหว่างหลัวเหม่ยเหยาและหลัวเหม่ยฉีฝาแฝดผู้น้องจะดูว่านอนสอนง่ายกว่าแต่เขาผู้เป็นลุงย่อมรู้ดีเหม่ยเหยานางรักพี่สาวมากอันใดที่เป็นเรื่องของเหม่ยฉีแล้วต่อให้ถูกตีจนกายแตกยับเด็กคนนั้นก็มิยอมปริปากวอนขอความเห็นใจมานับแต่วัยห้าหนาวแล้วนี่นางกำลังไว้ทุกข์ให้พี่สาวฝาแฝดคงยากที่นางจะยินดีเดินขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปเองเป็นแน่
"หึ...ในเมื่อรู้ว่าพูดด้วยดีเช่นไรนางก็คงยากจะยินยอมเช่นนั้นก็ให้ไม้พูดแทนก็ลองดูว่าไม้โบยกับเนื้อหนังของเด็กโง่นั่นสิ่งใดจะทนทานกว่ากันเรายังมีเวลาอีกตั้งสามราตรีวันนี้ไม่ก็ทรมานนางไปจนกว่าจะครบสามราตรีหากครบแล้วสุดท้ายนางยังไม่ยินดีขึ้นเกี้ยว...เจ้าก็ยังพอมีวิธีสุดท้ายกระมังฟูเหริน"
ชายสูงวัยมองภรรยาเอกของตนเองด้วยสายตาสื่อความหมายว่าทุกสิ่งมิได้ยากเย็นและจางอี้นางก็พอใจยิ่งเพราะหากสามีนางเอ่ยปากเองเช่นนี้ต่อให้นางทรมานนังเด็กโง่เหม่ยเหยาจนตายเขาก็จะไม่ต่อว่านางซึ่งแน่นอนว่านางฉลาดพอที่จะไม่ทำจนมันตายให้ ภัยนั้นตกมาถึงบุตรสาวของตนเองเป็นแน่นางก็แค่อยากหาที่ระบายมือระบายเท้าส่งท้ายก่อนที่มันจะไปพ้นจวนก็เท่านั้นเพราะต่อให้นังเด็กเหม่ยเหยาดื้อดึงจนเกี้ยวมารอหน้าจวนไคกั๋วกงจางอี้ก็สามารถที่จะส่งนางขึ้นเกี้ยวไปจนได้นั่นเอง
"เช่นนี้ข้าขอตัวไปจัดการธุระนี้ให้ท่านพี่ตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า"
จางอี้นางกล่าวโดยมิมีสะดุดใจของตนเองเลยแม้แต่น้อยทั้งที่นางกำลังจะไปลงมือทำร้ายเด็กสาวที่มิรู้เรื่องราวอันใดด้วยที่สำคัญนางกำลังจะช่วยมิให้ตระกูลหลัวหลุดพ้นจากความยากลำบากโดยแท้แต่...นางเกลียดมารดาของมันยามนี้นางส่งมารดามันไปท่องขุมนรกแล้วแต่ยิ่งเห็นดวงตาของเหม่ยเหยาที่ถอดแบบหญิงแพศยานามเซี่ยวซิวอิงความแค้นเก่ามันก็คอยแต่จะปะทุเช่นนี้จึงมีเพียงทรมานมันจนกว่าจะครบสามราตรีจึงพอทำให้นางบรรเทาเบาบางไฟโทสะอันคุกกรุ่นในอดีตลงไปได้บ้าง
...หึ...
'รอก่อนเถิด...อีกเพียงห้าหนาวข้าจะส่งลูกของเจ้าคนเล็กคืนกลับไปให้พวกเจ้าได้พร้อมหน้าพ่อแม่และลูกๆ '
จางอี้บอกไปถึงอดีตสหายรักสหายแค้นผู้ลาลับก่อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมจะแตะตามมุมปากสวยจนคล้ายรอยยิ้มของนางปีศาจจิ้งจอกร้ายกาจอย่างไรอย่างนั้น
...หอนอนเล็กยังท้ายจวนไคกั๋วกงผ่านมาร่วมสองชั่วยามเสียงไม้หนักทุบตีของบางสิ่งดังออกมาเป็นระยะพร้อมเสียงครางแผ่วเบาที่ทุกคนในจวนนี้ต่างคุ้นเคยกันดี แต่ให้พวกเขาสงสารเจ้าของเสียงนั้นมากล้นทว่าก็หามีผู้ใดหาญกล้าเข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยวด้วยรู้แจ้งกั๋วกงฟูเหรินนั้นนางโหดร้ายหัวใจทมิฬเพียงใด
…ตุ๊บ! ...
…ตุ๊บ! ...
ความเจ็บปวดและจุกร้าวทั่วทั้งแผนหลังในความคิดของสาวน้อยเช่นหลัวเหม่ยเหยานางกำลังพยายามขบคิดว่าตนเองเผลอไปทำสิ่งใดให้ท่านป้าสะใภ้โกรธเคืองนางจึงต้องมาพบเจอกับความโหดร้ายและทรมานเช่นนี้?!
"ท่านป้าสะใภ้....เหยาเอ๋อร์มีความผิดใดกัน"
น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามจากหัวใจเพราะนางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงถูกนำมามัดแล้วตบตีทั้งที่นางก็ทำงานตามหน้าที่ตนเองมิขาดตกบกพร่องถึงจะคุ้นเคยดีกับการถูกทุบตีหากแต่วันนี้มันช่างร้ายแรงนักร้ายแรงจนหลัวเหม่ยเหยาจะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหวแล้ว
"กั๋วกงฟูเหรินได้โปรดเถิดเจ้าค่ะอย่าทุบตีอาเหยาอีกเลย"
มีเพียงหนึ่งคนที่กล้าออกมาขัดขวางและอ้อนวอนขอให้นายหญิงของจวนหยุดการลงไม้ขนาดกว้างราวสามนิ้วลงบนแผ่นหลังบอบบางของหลัวเหม่ยเหยาจิ้งซินนั่นเองนางเป็นบ่าวข้างกายคุณหนูใหญ่แต่ก็เติบโตมาพร้อมกับสองฝาแฝดบัดนี้คนตัวเล็กอ่อนวัยกว่านางยังโศกเศร้ามิคล้ายที่ต้องสูญเสียพี่สาวเพียงหนึ่งเดียวไปแต่ผ่านไปเพียงสิบกว่าวันกลับมาถูกลงทัณฑ์ทุบตีโดยสาเหตุก็มิกระจ่างชัดจิ้งซินจึงทนเห็นเพื่อนร่วมหอนอนถูกตีจนตายต่อไปอีกไม่ไหว
"บังอาจ! "
สตรีสาวใหญ่ดูแล้วเกินจะเชื่อว่ามีบุตรสาวที่เติบโตพร้อมออกเรือนเช่นหลัวหรั่นเหยียน ด้วยใบหน้าสวยงามอีกทั้งรูปกายนั้นช่างคล้ายพี่สาวเสียมากกว่ามารดาออกเสียงดุดันกับนบนังบ่าวไม่รู้ความตรงหน้า
"หลบไปหากเจ้ายังรักชีวิตตนเอง"
ดวงตาภายใต้ความงามนั้นบังเกิดประกาย'ชั่วร้าย'ขึ้นมาวูบหนึ่ง โดยที่ใครก็เกินจะทันได้มองเห็น ก่อนที่รอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นแช่มช้า...
"กั๋วฟูเหรินหากท่านอยากเพียงระบายโทสะเช่นนั้นจิ้งซินยินดีช่วยอาเหยาแบ่งเบาไม้ลงทัณฑ์เจ้าค่ะ...ได้โปรด"
ไม้ที่ถูกหวดลงไปบนแผ่นหลังครั้งแล้วครั้งเล่าจึงชะงักหยุดลง...
ยามที่เห็นผู้กล้าบังอาจเอ่ยปากวอนขอต่อนายหญิงที่ทุกผู้รู้ชัดแจ้งหากนางเดือดดาลมากพอสังหารคนระบายโทสะก็เคยมาจนนับจำนวนศีรษะบ่าวเหล่านั้นไม่ครบแต่เด็กวัยสิบหกหนาวนามจิ้งซินนางช่างหาญกล้ามิกลัวความตายเช่นนี้
"พี่จิ้งซิน..."
ถึงนางอยากร้องห้ามสาวรุ่นพี่ที่อาจเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่คิดช่วยเหลือนางแต่เพราะถูกโบยมาร่วมสองชั่วยามหลัวเหม่ยเหยาเพียงพยายามหายใจต่อยามนี้ก็เริ่มยากแล้ว
'ทำไมข้าจึงต้องมาพบเจอความโหดร้ายแบบนี้? '
สาวน้อยหลัวเหม่ยเหยานางได้แต่วนเวียนถามตนเองซ้ำไปมาไม่หยุด ตลอดมานับแต่สูญเสียบิดามารดาจากเหตุการณ์โจรภูเขาบุกเข้าปล้นยังหมู่บ้านติดชายแดนต้าเหลียงและสุ่ยโจวแล้วตนเองกับพี่สาวฝาแฝดถูกท่านลุงญาติเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีเหลือรับมาเลี้ยงดูนางก็อยู่อย่างเจียมตนไม่เคยพยายามจะเรียกร้องสิ่งใดเพียงมีข้าวให้กินอิ่มมีที่ให้นางกับพี่สาวนอนอุ่นหลัวเหม่ยเหยาล้วนพอใจแต่เหตุใดยามพบหน้าท่านป้าสะใภ้จึงชอบลงโทษนางและพี่สาวบางคราวเพียงเดินผ่านก็ตบตีพวกนางคล้ายมีความแค้นกันมาหลายชาติภพทั้งที่พวกนางสองพี่น้องนับแต่เติบโตจำความได้จนห้าหนาวจึงมายังเมืองหลวงโดยแท้
"ที่นี่เป็นจวนของข้าหากคิดตีคนข้าก็จะตีเหตุใดต้องมีต้นสายปลายเหตุมาบอกเล่าบ่าวไร้ค่าเช่นพวกเจ้า...ตีอีกหากผู้ใดหยุดข้าจะตีคนผู้นั้นไปด้วย ตี! "
ช่างเป็นคำกล่าวที่น่ารังเกียจยิ่งนักแต่ผู้ใดเล่าจะหาญกล้าไปมีปากมีเสียงต่อให้สงสารต่อให้เห็นใจทว่าทุกผู้ก็ล้วนรักชีวิตตนเองกันทั้งสิ้นแผ่นหลังน้อยๆ ของเด็กสาววัยสิบห้าหนาวจึงแตกยับต่อไป
"เจ้าก็จงกลับเรือนไปพักผ่อนได้แล้วหรั่นเอ๋อร์อย่าได้ทำให้ท่านแม่เป็นห่วงไปมากกว่านี้เลยนะลูกของข้า... จิ้งซินเจ้าจงพาคุณหนูใหญ่กลับเรือนไปเสียอย่ามาร่ำร้องตรงนี้ให้ข้าโมโหเดือด"
ร่างงามเกินอายุบอกกล่าวกับผู้เป็นบุตรีน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าในยามเอ่ยสั่งความกับสาวใช้นั้นกลับดุเข้มจนร่างของเจ้าของนาม'จิ้งซิน'ถึงกับสั่นเทาไปด้วยความแค้นแน่นหัวอกเพราะเติบโตมาจากจวนนี้นางจึงรู้หลัวเหม่ยเหยานางมิสมควรถูกกระทำเพราะต่อให้นางมาจากชายแดนแต่เงินทองเกี่ยวกับกิจการร้านขายสมุนไพรของสกุลเซี่ยที่เป็นของฝ่ายมารดาสองแฝดบัดนี้กั๋วกงฟูเหรินยึดเอาไปจนหมด หากหลัวเหม่ยเหยานางคิดเรียกคืนป่านนี้นางก็เป็นเถ้าแก่เนี้ยวัยเยาว์ไปแล้วแต่เด็กสาวก็ไม่ได้ทำเลือกจะอยู่ภายใต้อำนาจจวนไค่กั๋วกงทั้งที่ไม่จำเป็น แต่ปีศาจจิ้งจอกเฒ่าตรงหน้านางจะสำนึกหรือก็หาไม่กลับมากล่าวว่าพอใจจะตีก็ตีพอใจจะทุบก็ทุบใจคอจะอำมหิตเกินไปหรือไม่
"เช่นนั้นข้าจะออกไปแช่น้ำแร่เพื่อบำรุงผิวรอนะเจ้าค่ะท่านแม่"
หลัวหรั่นเหยียนนั้นนางมิสนใจอยู่แล้วว่าผู้เป็นญาติผู้น้องจะเป็นหรือตายนางสนใจเพียงว่าอีกสิบสองวันตนเองจะเข้าวังแล้วสมควรต้องบำรุงตัวเองให้งดงามเอาไว้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยจะพ้นไปจากนางไม่ได้ด้วยลงแรงไปตั้งมากผลจะตอบคืนต้องคู่ควร
"อย่าแช่นานเกินไปเล่า"
จางอี้เอ่ยเตือนบุตรสาวอย่างรู้ความกันเพียงเราสองว่าเหตุใดนางจึงไม่ให้หลัวหรั่นเหยียนแช่น้ำแร่นานไปกายงดงามในอาภรณ์ราคาแสนแพงระยับรับคำมารดาแล้วจึงก้าวพ้นไปเสียจากหอนอนบ่าวที่เก่าโทรมแห่งนี้โดยมิได้หันมองว่าสาวใช้ข้างกายเช่นจิ้งซินนางติดตามไปหรือไม่
"ปิดประตูเรือนให้สนิท! "
มิหลงเหลือความอ่อนหวานอีกต่อไปเมื่อเหลือเพียง คนของนาง และร่างเล็กบางที่บอบช้ำแผ่นหลังมีโลหิตอาบย้อมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเด่นชัด
"ท่านป้าสะใภ้... "
เมื่อสายตาของหลัวเหม่ยเหยาเหลือบขึ้นไปปะทะเข้ากับแสงแวววาวซึ่งสะท้อนเข้ากับเปลวเทียน....
เข็ม! ...
หญิงงามเมื่อครู่กลายร่างเป็นนางปีศาจชั่วร้ายเร็วพลันสตรีในอาภรณ์สีแดงคนนี้เอาเข็มมากมายเกินจะนับไหวนั่นมาคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่!
ต่อให้ใกล้สิ้นสติแต่รสชาติเข็มสาวน้อยหลัวเหม่ยเหยานางจดจำได้ไม่เคยลืมเลือนยามนี้นางจึงรู้สึกได้ถึงหยาดเหงื่อที่ไหลรินออกมาตามแผนหลังและขมับทั้งสองข้าง นางรู้ดีว่ายามนี้จางอี้จะทรมานตนเองด้วยวิธีใดเพราะนางและพี่สาวโดนมาจนเกินจะนับว่ากี่ครั้งเพราะยามใดป้าสะใภ้อารมณ์ไม่ดีก็มักเรียกพวกตนเองสองพี่น้องไม่ลงมือกันจนถึงเรือนนอนและบ่อยครั้งที่เป็นปลายเข็มแหลมคมเหล่านี้ เพราะมันเจ็บจนแทบขาดใจหากแต่ก็ไม่ได้ตายนอกจากจะไม่ตายแล้ว บาดแผลยังหาพบยากอีกด้วย ถึงไม่ฉลาดมากมายแต่หลัวเหม่ยเหยาก็ย่อมรู้ลงมือด้วยเข็มท่านลุงของพวกนางจะไม่รู้ยิ่งคิดนางก็เริ่มเห็นหนทางของนรกเปิดรอตนเองอยู่ไม่ไกลนี่เอง...
...เหตุใดข้าจึงต้องมาพบเจอแต่เรื่องโหดร้ายเช่นนี้? ....
ต่อให้ตอนนี้นางอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยดเพราะเจ็บปวดจนเกินขีดความอดทนไปไกลแล้วนางไม่อาจรู้เลยมาตนเองต้องจบเจอความทุกข์ทนเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญาของท่านลุงที่ว่ายามนางและพี่สาวอายุครบยี่สิบหนาวเขาจะอนุญาติให้พวกนางออกไปเปิดร้านขายสมุนไพรได้ก็แว่วมาเป็นกำลังใจให้สาวน้อยพยายามอดทนสู้ต่อไป
...อีกห้าหนาว...อีกห้าหนาวข้าก็จะได้ออกไปจากนรกแห่งนี้...
หลัวเหม่ยเหยาท่องบ่นในใจถึงจุดหมายปลายทางถึงห้าหนาว จะนานแต่มันก็ยังเห็นปลายทางที่มีแสงสว่างนางคิดว่านางจะต้องอดทนจนไปถึงมันอย่างแน่นอน ชีวิตนี้นางไม่ต้องการอะไรแม้แต่ความร่ำรวยสาวน้อยก็ไม่ต้องการที่นางใฝ่ฝันก็มีเพียงได้เป็นหมอเช่นท่านพ่อได้เป็นเซียนสมุนไพรคอยช่วยเหลือผู้คนเช่นท่านแม่นางต้องการเพียงเท่านี้...เท่านี้จริงๆ
"ท่านป้าสะใภ้...เชิญลงมือเถิด"
ยามนางลืมดวงตากลมโตซึ่งถอดแบบมาจากมารดาขึ้นมองไปยังสตรีแสนงดงามทว่าใจคอแสนอำมหิตตรงหน้ายามนี้จึงมีเพียงความเด็ดเดี่ยวมิเกรงกลัวต่อความแหลมคมของเข็มมากมายในมือคนสนิทของป้าสะใภ้
...กลัวแล้วอย่างไร...ไม่กลัวแล้วอย่างไร...เพราะสุดท้ายนางจะเจ็บจนสิ้นสติไปอยู่ดีหนีก็ไม่ได้ยิ่งต่อสู้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงดังนั้นแล้วหลัวเหม่ยเหยานางจึงมีเพียงยินดีเผชิญหน้าต่อความเจ็บปวดนี้เสียให้มันจบสิ้นไป
"จับนางเอาไว้! "
น้ำเสียงกลับร้ายกว่า...
บ่าวชายทั้งสี่คนตรงเข้ามาจับยึดจับข้อมือและข้อเท้าของหลัวเหม่ยเหยาทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิดเช่นไรนางก็ไม่อาจต่อสู้หรือหนีไปได้หากแต่คนเช่นจางอี้นางหรือจะคิดถึงข้อนี้นอกจากจะกำชับให้คนทั้ง4นั้นกดให้ร่างเล็กนอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้น สาวน้อยนิ่งสงบไม่มีดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด
"กั๋วกงฟู่เหรินได้โปรดปล่อยอาเหยาไปเถอะนะเจ้าคะ จะลงโทษก็จงลงโทษที่จิ้งซินแต่ผู้เดียวบ่าวยินดีรับโทษทั้งหมดเอาไว้เอง...อย่าทำนางอีกเลย"
ครั้งนี้จิ้งซินเกินจะทานทนนางเร่งโขกศีรษะขอร้องเพราะหลังจากไปเฝ้าหลุมศพของพี่สาวอยู่หลายค่ำคืนหลัวเหม่ยเหยานางจึงป่วยด้วยไข้หวัดหากยังมาถูกทรมานทั้งที่เพิ่งเบาจากอาการไข้เกรงว่าร่างกายเล็กๆ นี้อาจรับไม่ไหวโดยที่จิ้งซินเองนางไม่รู้ว่าเช่นไรกั๋วกงฟูเหรินคงยากจะให้คนตัวเล็กตายได้เพราะยังมีผลประโยชน์สูงค่ารออยู่แต่ที่ยังคิดทรมานก็เพียงเอาความสะใจเท่านั้นนางจึงเลือกใช้เข็มแทนไม่ใช้ไม้โบยเพิ่มเพราะหากเป็นเช่นนั้นยามส่งนางขึ้นเกี้ยวในอีกสามวันอาจทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวไม่พอใจเอาได้
"เอาเถิดในเมื่อเจ้านั้นวอนขอกันถึงเพียงนี้ข้าก็จะ'เมตตา'เจ้าก็แล้วกันจิ้งซินในเมื่อข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแต่เจ้าไม่เห็นค่าก็อย่ามาโทษว่าข้าใจร้ายต่อเจ้าก็แล้วกัน"
น้ำเสียงนั้นช่างโหดร้ายจนบ่าวชายยังหนาวสะท้านเมื่อได้ฟัง...
"จับมันมัดเอาไว้"
"ปล่อยข้า! ...เจ้ามันคือนางปีศาจชั่วช้า! ...สักวันกรรมชั่วต้องคืนสนอง! ข้าขอสาปแช่งขะ...อึก! "
ฉึก! ...
ฉึก! ...
ปลายมีดคมตวัดเข้าตัดหลอดลมขาดเพียงหนึ่งคมมีดแต่กลับมิสาสมใจ สตรีสาวใหญ่ผู้นั้นยังคงจุ่มจ้วงแทงซ้ำรอยไปอีกหลายบาดแผล...
"ปากดีเกินไป...ฮึๆๆ ข้าคงใจดีต่อเจ้ามากจนเกินไปสินะ พวกเจ้าทั้งสองจงนำร่างของมันไป'จัดการ'ให้เรียบร้อยอย่าให้เหลือสิ่งใดมา'รกนัยน์ตา'ของข้าอีกเป็นอันขาดมิเช่นนั้นก็จะเป็นครอบครัวของพวกเจ้าที่จะได้ไปอยู่กับนางบ่าวปากมากผู้นี้! "
หนึ่งชีวิตสิ้นลงอย่างง่ายดาย จนหลัวเหม่ยเหยาเองยังต้องตื่นตะลึงดวงตาเบิกค้าง เลือดที่สาดกระเซ็นจากบาดแผลของร่างบอบบางเปื้อนใบหน้านวลสาวน้อยมองใบหน้าที่ถ่ายทอดความงดงามราวเทพธิดาส่งต่อไปถึงผู้เป็นบุตรสาว ด้วยความหวาดกลัวจนถึงแก่น!
...นางช่างอำมหิตเกินคนมากขึ้นทุกวัน....
งดงามแต่ช่างมีจิตใจโหดร้ายเกินมนุษย์เสียนัก...
นิ้วมือเล็กเรียวทั้งสิบกำเกร็งจิกลงฝ่ามือโดยไม่รู้สึกตัวแล้วในยามนี้ เพราะความโหดร้ายตรงหน้าทำเอาสติของหลัวเหม่ยเหยาแทบหลุดหายสิ้นลง...
"หึ! ...อย่าได้กลัวไป ถึงเจ้าวอนขอ ข้าก็คงมิอาจ มอบความตายเช่นสหายคนสนิทของเจ้าได้หรอกเหม่ยเหยาเอ๋ย ถึงตัวของข้านั้นอยากมอบให้กับเจ้าแทบขาดใจสิ้นสติมากเพียงใดก็ตาม...เพราะชีวิตของเจ้ายังมีสิ่งมาแลกเปลี่ยนกับข้าอยู่สบายใจได้วันนี้ยังไม่ใช่วันตายของเจ้าหรอกนังเด็กโง่ ...กดหัวมันเอาไว้! "
เสียงสั่งความนั้นช่างโหดร้ายก่อนที่เข็มหนึ่งค่อยเริ่มขึ้นด้วยความเจ็บเกินบรรยายที่กลางแผ่นหลังบอบช้ำของสาวน้อยนามหลัวเหม่ยเหยาเข็มแล้วเข็มเล่า...
และหากนั่นสาวน้อยผู้อาภัพนางคาดคิดว่าเป็นนรกลึกสุดแล้วละก็...มันก็เป็นเพียงประตูขุมนรกเพิ่งจะเปิดแย้มแผ่วเบาเท่านั้น! ...
เพราะนับจากนั้นหลัวเหม่ยเหยานางจึงได้รู้ความหมายแท้จริงของคำว่า'อยากตายก็มิได้ตาย'อย่างสุดซึ้งถึงแก่นใจว่ามันเป็นเฉกเช่นนี้นี่เอง...