ตอนที่ 4.4

1664 คำ
ฉันปรือตาขึ้นท่ามกลางความมืดสลัว ไฟในห้องปิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยซ้ำ อึก... ความเจ็บแผดซ่านทันทีที่ขยับตัว ฉันนิ่วหน้าระหว่างเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง  พรึบ! แสงสว่างทำให้มองเห็นภาพในห้องชัดเจนขึ้น บนเตียงผ้าปูยับยู่ยี่แต่ไร้เงาของคาวะ เขาหายไปตอนไหนฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือเขาเอาคุณค่าของฉันไปด้วย  ความรู้สึกเหงาจับขั้วหัวใจจู่โจมฉันทันที ก้อนแข็งๆ รื้นขึ้นจุกอก ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องสะอื้นดังสะท้อนไปทั่วห้อง ฉันกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ตัวสั่นโยนไปด้วยความโกรธระคนเสียใจ  หมอนั่นไม่แม้แต่จะปลอบฉัน... ทำเหมือนฉันเป็นของเล่นที่พอเบื่อแล้วก็ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แม้รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ควรคาดหวังอะไรจากคนชั่วช้า แต่ฉันก็ไม่อยากถูกทิ้งให้เดียวดาย ไม่อยากเผชิญกับความเจ็บปวดนี้ตามลำพัง แต่ฉันไม่อาจจมอยู่กับความเศร้าโศกนี้ได้นาน ต่อให้หัวใจอ่อนแอแค่ไหนก็ต้องฝืนกลั้นเอาไว้แล้วยืนหยัดให้ได้ในฐานะผู้นำของซูซาคุ ต่อให้เจอเรื่องที่โหดร้ายแค่ไหนก็คงบอกใครไม่ได้ ฉันสูดหายใจเข้าลึกอย่างตั้งสติ ลุกขึ้นเคลียร์ห้องให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยก่อนแม่บ้านหรือสาวใช้จะเข้ามาเห็น ก้าวแรกที่เหยียบลงบนพื้นรู้สึกเจ็บจนต้องหยุดพัก ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะขยับตัวได้ ฉันหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่เดินเข้าห้องน้ำ ชำระล้างคราบสกปรกออกไป ทว่าสายน้ำอุ่นๆ กลับกระตุ้นให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลออกมาอีก  บ้าจริง! ฉันทุบผนังอย่างไม่อาจข่มกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้ ทรุดตัวลงร้องไห้ท่ามกลางสายน้ำที่รินไหล “ท่านซายูริ...” ลูกน้องที่กำลังอ้าปากหาวอยู่หน้าโรงจอดรถทำหน้าแตกตื่นที่เห็นฉันตั้งแต่เช้าตรู่ รีบร้อนลุกขึ้นเต็มความสูง  “มะมีอะไรหรือครับ”  “ฉันจะใช้รถ บอกแม่บ้านไม่ต้องจัดโต๊ะอาหารเช้า” “เอ๊ะ เอ่อ... ท่านซายูริจะไปไหนครับ” ฉันไม่สนใจสายตาของลูกน้องที่มองตาม เดินมาเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกจากซูซาคุตามลำพัง  กว่าจะถึงสุสานแสงแดดแรกของยามเช้าก็แยงตาพอดี ฉันวางดอกไม้ที่แวะซื้อระหว่างทางลง ยืนมองตัวอักษรที่สลักชื่อของแม่อย่างรู้สึกคิดถึง โหยหาอ้อมกอดที่ปลอดภัยและอบอุ่น “แม่คะ ...ทำไมแม่ต้องตายด้วย ทำไมไม่ให้ซายูริตายแทน” น้ำตาฉันไหลออกมาอย่างอัดอั้นเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต ภาพรถพลิกคว่ำตกราวสะพานลงไปในแม่น้ำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ตอนนั้นฉันเพิ่งหกขวบ... แต่เสียงและสีหน้าของแม่กลับฝังชัดอยู่ในใจ  ฉันหลับตาแน่น สะบัดภาพที่ชวนให้เจ็บร้าวใจออกไป แต่จู่ๆ ในหัวก็ปรากฏภาพที่คาวะกำลังขยับตัวเข้าออก ฉันกัดริมฝีปากแน่น ร่างกายร้อนวูบ เมื่อสัมผัสของคาวะยังติดตรึงอยู่ในใจ  ช่องทางรักปวดแปลบเหมือนหมอนั่นกำลังทำอยู่จริงๆ บ้าชะมัด! แก้มฉันร้อนจัด รู้สึกละอายที่ดันมานึกถึงเรื่องน่ารังเกียจเอาตอนนี้ รีบก้มหน้าขอโทษหลุมศพของแม่แล้วเดินออกมาอย่างรู้สึกผิด โรงพยาบาล ฉันแวะมาเยี่ยมคุณพ่อต่อพวกลูกน้องพอเห็นฉันก็รีบก้มศีรษะให้อย่างเคารพและถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเพราะฉันไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา  “ท่านซายูริเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” “ฉันเป็นห่วงอาการคุณพ่อ ทำไมเหรอ หรือฉันต้องแจ้งให้พวกนายทราบก่อนถึงจะมาได้” “ปะเปล่าครับ พวกเราแค่แปลกใจไม่คิดว่าท่านซายูริจะมาที่นี่คนเดียว มันอันตรายนะครับ” “คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง” ฉันเอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทาบมือลงกับประตูมองผ่านช่องกระจกเข้าไปด้านใน ร่างของคุณพ่อยังนอนนิ่ง ใบหน้าคมเข้มที่เคยดุดันตอนนี้ดูซีดเซียวอยู่ใต้หน้ากากช่วยหายใจ หัวใจฉันสั่นไหวจนเกือบแสดงสีหน้าอ่อนแอออกมาให้ลูกน้องเห็นเมื่อคิดว่าฉันไม่แกร่งพอจะนำซูซาคุ แค่ร่างกายตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับซูซาคุทั้งกลุ่ม “คิดอะไรอยู่หรือครับท่านซายูริ” เสียงทุ้มที่ฟังแล้วรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจดังขึ้น  “ดาไซ! นี่...” ฉันหันกลับมามอง ใบหน้าของดาไซทำให้ฉันยิ้มออกแต่ว่า... ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำฉันดีใจไม่สุดมองรถเข็นที่ดาไซกำลังนั่งอย่างสับสน “ดีขึ้นแล้วเหรอคะ ทำไมออกมาได้” “ผมไม่ใช่นักโทษสักหน่อย”  ดาไซพูดติดตลกเหมือนทุกครั้งที่คุยกัน แต่ฉันที่กำลังเครียดไม่รู้สึกขำด้วยจริงๆ  “ได้ยินว่าท่านซายูริมาผมก็เลยบอกให้ลูกน้องพามาที่นี่” “จริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้ ยังไงฉันก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมที่ห้อง” “ไม่หรอกครับ ผมอยากมาเยี่ยมท่านไคดะด้วย ว่าแต่ได้ยินข่าวเรื่องที่ท่านซายูริถูกลอบสังหาร ดูเหมือนจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ผมกังวล ค่อยโล่งอกหน่อย” “อ่อ งั้นดาไซก็คงทราบที่ฉันรับนักฆ่ามาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว” “ครับ ผมไม่เข้าใจท่านซายูริ ถ้าเป็นผมผมจะฆ่ามันทิ้งซะ หรือว่าท่านซายูริติดขัดอะไรถึงต้องเก็บมันไว้ข้างๆ” ดาไซมองเข้ามาในดวงตาฉันราวกับอย่างค้นหาสิ่งที่ฉันกำลังปิดซ่อนเอาไว้ ฉันรู้สึกราวกับถูกต้อนให้จนมุม เฉไฉมองเข้าไปในห้องที่คุณพ่อนอนรักษาตัวอย่างกลบเกลื่อนอาการร้อนรนของตัวเอง “ตอนนี้ฉันห่วงคุณพ่อมากกว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ท่านกลับมาแข็งแรง” “ท่านซายูริหรือว่ากังวลเรื่องกลุ่มอยู่ครับ” “หือ... ถ้าบอกว่าไม่กังวลก็คงจะมั่นใจเกินไป แต่ฉันจะเข้มแข็งและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันก็สามารถนำกลุ่มได้” “มันต้องอย่างนี้สิครับถึงจะสมกับที่ท่านไคดะวางใจ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้เลย ผมยินดี” “แล้วจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่” คำพูดของดาไซทำฉันใจชื้นทันที ที่พูดแบบนั้นแปลว่าอีกไม่นานก็คงกลับมาทำงานได้แล้วล่ะสิ “ขึ้นอยู่กับว่าผมจะกลับมาเดินได้เมื่อไหร่ ระหว่างที่ทำกายภาพบำบัดผมผมจะช่วยเคลียร์พวกงานเอกสารให้” “เอ๊ะ”  ฉันหลุบตามองขาสองข้างที่วางนิ่งอยู่บนรถเข็นของดาไซอย่างใจแป้ว จะว่าไปตั้งแต่คุยกันก็ไม่เห็นเขาขยับขาเลยสักครั้ง ตอนแรกนึกว่าเจ็บซะอีก  พอได้อยู่คนเดียวก็รู้ดีขึ้น ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกโดยไม่มีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลังมันก็ปอดโปร่งดีเหมือนกัน ถึงที่ผ่านมาฉันจะไม่เคยอึดอัดกับสิ่งที่เป็นแต่หลังจากคืนที่รู้ว่าต้องขึ้นนำแก๊งซูซาคุฉันก็รู้สึกเหมือนไม่มีอากาศหายใจ ยิ่งคาวะเข้ามา... จิตใจฉันก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม  หลังเยี่ยมคุณพ่อกับดาไซเสร็จฉันก็ขับรถต่อมาหาจินที่โรงพยาบาล รู้สึกไม่ดีต่อจินนิดหน่อยที่ไม่ได้มาหาตั้งแต่เมื่อวาน ก็ตั้งแต่ที่จินโดนยิง ฉันก็มาที่นี่แค่คืนแรกเท่านั้น หน้าห้องของจินไม่มีคนเฝ้า หายไปไหนกันหมดนะ ชะล่าใจกันจริง ฉันครุ่นคิดกำลังจะเปิดประตูเข้าไปแต่คนข้างในก็เปิดออกมาซะก่อน “คาวะ!” หัวใจฉันกระตุกวูบ ก้าวถอยหลังอัตโนมัติ  “ซายูริ” “นะนายมาทำอะไร”  ฉันละล่ำละลักถาม ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่... แล้วที่ฉันดั้นด้นออกจากซูซาคุมาแต่เช้าเพื่ออะไรกัน ถ้าต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากมากที่สุดตรงนี้ ...แค่เห็นใบหน้ากวนๆ ของคาวะฉันก็รู้สึกเจ็บไปทั้งใจพานให้นึกถึงเรื่องโหดร้ายเมื่อคืนแล้วน้ำตาก็ทำท่าจะไหลออกมา ถ้าหากว่าคาวะไม่กำลังยิ้มยะเยือกและเอ่ยถ้อยคำอันน่ารังเกียจออกมา “คิดถึงผัวมากถึงขนาดต้องตามมาถึงนี้เลยเหรอ” เพียะ! ฝ่ามือฉันกระแทกเข้าที่หน้าคาวะทันที รู้สึกโกรธจนควันออกหู กล้าดียังไงถึงพูดจาเหิมเกริมกับฉันแบบนั้น! ใบหน้าคาวะหันไปตามแรงตบแล้วหยุดค้างอยู่ในท่านั้นนิ่ง เขาทำเสียงเย้ยหยันในลำคอ ก่อนหันกลับมามองฉันพร้อมกันแสยะยิ้มยะเยือก ประหนึ่งว่าแรงตบของฉันไม่ระคายผิว ทั้งที่มือข้างนั้นของฉันแสบพร่าไปหมด “แรงเยอะแบบนี้คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วมั้ง” ห่วงเหรอ... อย่ามาพูดให้ฉันแค้นใจไปมากกว่านี้ได้ไหม! “อย่าคิดว่าฉันจะพอใจกับสิ่งที่นายทำ ไปให้พ้นจากสายตาฉันไม่อย่างงั้น...” “หืม ไม่อย่างงั้น?” คาวะขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับยกคิ้วกวนๆ ขึ้น  ฉันกัดฟันกรอด จ้องตอบสายตาร้อนแรงนั่นอย่างรู้สึกหมดหนทาง แม้ว่าจะระดมความคิดมากแค่ไหนก็นึกคำพูดที่จะใช้ข่มขู่เขาไม่ได้เลย “ฉันจะฆ่านาย” นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันนึกออก “หึๆ ผมกลัวจะตายอยู่แล้วครับท่านซายูริ” ไอ้สารเลวนั่นทำหน้าล้อเลียนฉัน มันหัวเราะเยาะด้วยท่าทางสะใจก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม