Love is cat's 9

1747 คำ
Love is cat's 9 ช่วงเวลาว่างฉันกลับมาตัดงานที่บ้านหลังจากที่กลับไปส่งน้องที่บริษัท ฉันกลับมาทำงานโดยมีวิปครีมเดินคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ แต่พอจะพักสายตาหันกลับไปมองเพื่อที่จะเล่นด้วยก็พบว่าเจ้าแมวดื้อของฉันนั้นหลับไปแล้ว “สบายจังเลยนะเนี่ย” แกล้งแซวแมวที่หลับเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งพักที่โซฟา เมื่อไหร่เพื่อนจะกลับมากันนะอยากจะเจอเพื่อนแล้วเหมือนกัน ฉันนอนพักอยู่ไม่นานก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้นมาและยื่นมือไปรับสายด้วยอาการงัวเงียไม่น้อยเพราะเผลอหลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง “ฮัลโหล” (เป็นไงบ้าง เงียบไปเลยนะ) เสียงคุ้นเคยดังมาตามสาย แต่ว่าคนที่หายไปไม่ใช่ฉันสักหน่อย “แกต่างหากที่เงียบไปน่ะ” แกล้งแซวเพื่อนกลับ (อ้าวเหรอ ฮ่า ๆ ๆ ก็ออกกองบนเขาทีไรไม่มีสัญญาณทุกทีนี่นา แต่ว่าจะกลับแล้วล่ะ นวีมันกลับหรือยัง?) ปลายสายเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคนของเรา นวีทำงานสถาปนิกของบริษัทออกแบบชื่อดังบางครั้งก็ต้องเดินทางไปดูหน้างานก่อนออกแบบ ส่วนคนที่ฉันกำลังคุยอยู่ด้วยชื่อ นานะ เป็นช่างแต่งหน้าชื่อดังและตอนนี้ทำงานให้กับบริษัททำหนังและละคร ออกกองต่างจังหวัดทีก็หลายเดือนเหมือนกัน แปลกใจใช่ไหมที่เราทำงานไม่เหมือนกันเลยสักคนแต่กลับเป็นเพื่อนกัน ก็คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน แต่ทัศนคติตรงกันก็เป็นเพื่อนกันได้ “ยังไม่กลับบอกว่าอีกสามวันนะในกลุ่มไลน์อะ” บอกกับเพื่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนยังต้องการคำตอบ (งั้นก็คงกลับใกล้ ๆ กันนั่นแหละ กลับแล้วไปกินข้าวด้วยกันนะ จองคิวไว้เลย) “ได้ หรือจะมาที่บ้านไหม?” (เอาสิ เดี๋ยวซื้ออะไรเข้าไปทำกินที่บ้านก็ได้) “อื้อ จะรอ” (โอเค ต้องไปทำงานต่อแล้ว เดี๋ยวเจอกัน) “เจอกัน” แม้จะบอกว่าพูดไม่เก่ง แต่พอได้คุยกับเพื่อนฉันน่ะก็พยายามพูดเยอะ ๆ เหมือนกัน เพื่อนบอกว่าอยากให้ฉันพูดเก่งกว่านี้อีกนิด ซึ่งตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ได้ฝืนตัวเองอะไรขนาดนั้น แต่ก็ชอบที่จะได้ฟังเพื่อนคุยกันมากกว่านั่นแหละ ในหนึ่งวันฉันไม่ได้ออกไปพบเจอคนมากมายนัก ทำให้ไม่ค่อยพูดและสบายใจที่จะอยู่ในบ้าน ทำงาน ถ่ายคลิป ตัดคลิปของตัวเองไปเรื่อย จะออกไปข้างนอกทีก็ลำบากใจไม่น้อยเพราะต้องใช้พลังกายและพลังใจเยอะมากเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้คุณหมอก็ชวนไปกินข้าวด้วยอีก แต่ไม่รู้ทำไมพอได้คุยหรือจะเป็นเรื่องที่คุณหมอนัดไปกินข้าวฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจมากขนาดนั้น หรืออาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บังคับหรือมีท่าทีไม่ดีต่อฉันก็เป็นได้ เมื่อใกล้ถึงเวลาห้าโมงเย็น ฉันเข้าไปดูอาหารของวิปครีมก็พบว่ามีอยู่อีกเล็กน้อยเลยเทเพิ่มให้อีกนิดจากนั้นก็บอกวิปครีมว่าจะไปเยี่ยมไวท์ช็อกให้รออยู่บ้านแล้วฉันจะรีบกลับ แต่แมวน้อยมองตาแป๋วเลยร้องตอบเสียงเบาแล้วก็กลับไปนอน นอนกลางวันแล้ววิ่งซนทั้งคืนมักจะเป็นแบบนี้ทุกวัน และนี่คงเป็นอีกครั้งที่ฉันกลับมาที่โรงพยาบาลสัตว์เพื่อเยี่ยมไวท์ช็อก เดินเข้าไปยังด้านในตัวอาคารก็แจ้งต่อพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่ามาเยี่ยมไวท์ช็อก จากที่จะเอ่ยถามถึงคุณหมอฉันก็เลือกที่จะส่งข้อความหาเขาแทนเกรงว่าหากถามแล้วจะเป็นเหมือนเวลาเช้าตอนที่ฉันมาถึง “พี่ไวท์ เป็นยังไงบ้างลูก” เอ่ยถามเจ้าแมวอ้อนที่นอนขดตัวอยู่ภายในพักแมว เหมียว เหมียว เสียงร้องของไวท์ช็อกทำให้ฉันอยากจะพาลูกกลับบ้านเสียตอนนี้เลย ไม่อยากให้ลูกอยู่ในที่แคบ ๆ สักนิดเดียว หรือฉันจะลองขอคุณหมอให้ลูกกลับก่อนดี “อยากกลับแล้วเหรอคะ เดี๋ยวแม่ขอคุณหมอให้นะ” เอ่ยบอกแมวน้อย แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อก็พบว่ามีคุณหมอผู้หญิงที่เจอเมื่อเช้าเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าอยากกลับก็กลับได้ค่ะ แมวไม่มีอาการอะไรน่าห่วงแล้ว” อา น้ำเสียงแบบนี้คืออะไรกัน “ค่ะ เดี๋ยวไปทำเรื่องออกค่ะ” ฉันบอกแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินผ่านคุณหมอคนนั้นออกมาที่หน้าเคาน์เตอร์ เพื่อแจ้งพนักงานว่าจะพาน้องกลับบ้านและได้รับคำอนุญาตจากหมอผู้หญิงคนนั้นแล้ว “ฉันจะพาไวท์ช็อกกลับบ้านนะคะ รบกวนแจ้งยอดค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ” “อะไรนะคะ? แต่คุณหมอแจ้งว่าคืนนี้รอดูอาการก่อนนี่คะ” พี่พนักงานทวนถามฉันอย่างไม่เข้าใจ “คุณหมอผู้หญิงคนนั้นบอกว่ากลับได้แล้วค่ะ น้องไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว” ฉันยืนยันประโยคที่ได้รับจากคุณหมอคนนั้นแก่พี่พนักงาน “เอ่อ คุณแม่น้องไวท์ช็อกใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่ติดต่อคุณหมอปริญให้นะคะ เพราะคุณหมอปริญเป็นเจ้าของไข้น้องไวท์ช็อกค่ะ” พี่พนักงานรีบแจ้งและโทรหาใครสักคน ฉันจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลและบอกตัวเองให้ใจเย็นกว่านี้เสียหน่อย แต่ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับแมวหรือน้องชายมักจะทำให้กังวลอยู่เสมอ และเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ต่อแล้วล่ะ ถ้าบอกว่าไวท์ช็อกไม่เป็นอะไรแล้วก็อยากจะพากลับบ้านมากกว่าให้อยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่น้ำเสียงที่คุณหมอคนเมื่อกี้พูดฉันไม่ชอบใจเอาเสียเลย ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ไม่ชอบจริง ๆ นะ “คุณหมอปริญคะ!” “ครับ เกิดอะไรขึ้นผมกำลังจอดรถเลยไม่ได้รับสาย” เสียงคุณหมอปริญดังขึ้นใกล้ ๆ และฉันไม่อยากจะหันกลับไปมองสักนิดเดียว “คุณแม่น้องไวท์ช็อกแจ้งว่าจะพาน้องกลับบ้านค่ะ บอกว่าคุณหมอสิฐาบอกว่าน้องไม่มีอะไรน่าห่วงให้กลับบ้านได้” พี่พนักงานรีบแจ้งต่อบุคคลที่มาใหม่ทันที “เดี๋ยวผมคุยเอง” “เฌอ...” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ ๆ ก่อนที่คนมาใหม่จะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ “เกิดอะไรขึ้นเล่าให้ฟังได้ไหมครับ” คุณหมอปริญเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล ไม่ได้บังคับหรือดุฉันเลยสักนิดที่ฉันทำให้พวกเขาวุ่นวาย “คุณหมอบอกว่าไวท์ช็อกไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วค่ะ ให้กลับบ้านได้แล้วฉันเลยจะพาไวท์กลับบ้าน” เอ่ยบอกแค่นั้นและไม่ได้มองหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่กำลังมองหน้าฉันอยู่เลยสักนิด “แต่ผมเป็นเจ้าของไข้น้องไวท์นะครับ พวกเขาจะมารู้ดีกว่าผมได้ไง ที่อยากให้อยู่อีกคืนเพราะเมื่อคืนกลางดึกน้องมีไข้ วันนี้เลยอยากดูก่อนว่าจะมีไข้ตอนดึกอีกไหม” “...” “หมอคนนั้นอาจจะไม่รู้ว่าผมดูแลเคสนี้เอง เดี๋ยวผมจะไปคุยกับเขาเองครับอย่ากังวลใจไปเลยนะ ผมจะดูแลไวท์เอง หากพรุ่งนี้น้องไม่มีอาการอะไรก็จะกลับบ้านได้แล้วนะ แต่ถ้าพากลับตอนนี้แล้วน้องเป็นอะไรตอนดึกจะทำยังไงครับ?” คุณหมอยังบอกกับฉันอย่างใจเย็น แต่พอได้ยินที่อีกฝ่ายบอกแบบนั้นฉันก็พอจะตกตะกอนความคิดได้เล็กน้อย ก่อนหน้านี้เอาแต่หงุดหงิดและโมโหกับประโยคเหล่านั้นจนหลงลืมความปลอดภัยของไวท์ช็อกไปเสียหมด “ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายค่ะ” เมื่อรู้ว่าตัวเองผิดจึงเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดอาย แต่ไม่คิดว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ จะหลุดยิ้มอย่างเอ็นดูแบบนั้นออกมา แววตาของเขานั้นดูอบอุ่นจนฉันไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แต่มีเอกสารด่วนเข้ามาเข้าไปรอที่ห้องทำงานด้วยกันก่อนครับแล้วค่อยออกไปกินข้าว” “อยากอยู่กับไวท์” คือฉันกับเขาไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่จะกล้าเข้าไปอยู่ในห้องทำงานของเขานะ อีกอย่างสายตาของพี่พนักงานที่เคาน์เตอร์ที่ยังคงลอบมองมาทางเราทั้งสองคนนั้นทำให้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วจริง ๆ แววตาสนุกแบบนั้นคืออะไรกัน “เดี๋ยวพาไวท์ไปด้วยครับ ไม่นาน ถือเสียว่าให้น้องได้ออกมาเล่นที่กว้าง ๆ” “...” “ไปกันครับ ผมจะรีบเคลียร์เอกสารเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน” คุณหมอปริญเอ่ยบอกก่อนจะเดินนำไปยังห้องพักแมว เดินยังไม่ถึงไหนเขาก็เดินกลับออกมาพร้อมกับอุ้มไวท์ช็อกไว้แนบอก แต่พอเห็นฉันเจ้าแมวน้อยก็ร้องและตะเกียกตะกายมาทางฉันทันที ทำให้ต้องรีบเดินเข้าใกล้และอุ้มไวท์ช็อกด้วยตัวเอง “ไปกันครับ” “ค่ะ” ระหว่างที่เดินไปตามทางเดินเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นสองก็มีพนักงานของที่นี่เดินสวนลงมา ฉันไม่กล้าสบตาใครเลยแม้จะได้ยินประโยคที่คล้ายกับจะแซวก็ตาม “อุ๊ย เปิดตัวเลยเหรอคะคุณหมอ” “ยังครับ” “หมอครัชอยู่ห้องพัก โดนแซวแน่เลย” “อา ภาวนาให้แซวเบา ๆ แล้วกันครับ” “ฮ่า ๆ ๆ น่ารักกันจัง พี่ไปแล้วค่ะคุณหมอ” “ครับ” ==== เอ๊ะ เริ่มแปลกแล้วนะ จะไม่คิดก็ต้องคิดแล้วไหม แต่คุณหมอเนียนเกินไปนะคะ ปล. ทีมอีบุ๊ค เค้าเพิ่มเติมพิเศษแะลตรวจคำผิกอีกรอบแล้ว รอทาง meb และ ปิ่นโตอนุมัติ ก็จอยๆกันได้เลยนะคะ ^_^
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม