บทที่1.หลุมพราง

1401 คำ
  อาชาสีน้ำตาลเข้มพุ่งทะยานไปดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ รวดเร็วพอที่จะเข้าขวางไม่ให้คนที่อยู่บนอาชาอีกตัวฟาดดาบลงทำร้ายคนอีกผู้หนึ่งได้สำเร็จ ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ บังคับบังเ**ยนม้าด้วยมือเพียงข้างเดียวขณะที่ยกกระบี่จ่อที่ลำคอของอีกฝ่ายที่ล่วงรู้ความพ่ายแพ้ของตนแล้ว “จะฆ่าก็ฆ่าเลย ข้าไม่ต้องการความปราณีของพวกเจ้า!”               คิ้วงามขมวดอย่างครุ่นคิดแต่สีหน้ายังเรียบนิ่ง หางตารับรู้การเคลื่อนไหวของคนบนหลังอาชาสีขาวงามสง่า มือใหญ่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนล่วงรู้ว่าหัวหน้าโจรป่าพ่ายแพ้ในการสู้รบครั้งนี้แล้ว “เจ้าตายก็มิได้อะไรขึ้นมา สู้รักษาชีวิตอยู่กับลูกเมียไม่ดีกว่าหรือ?” เป็นน้ำเสียงของ จ้าวจิ่นสือ บุรุษหนุ่มผู้นำทหารมาปราบเหล่าโจรป่าที่ดักซุ่มปล้นเสบียงของทางราชสำนักหลายครั้ง             “พวกเจ้าหมายความเช่นใดกัน” “ความตายไม่ช่วยอะไร แต่กลับตัวกลับใจเป็นฝ่ายเดียวกับทางการ ชีวิตเจ้ายังจะมีประโยชน์เสียกว่า” คราวนี้เป็นน้ำเสียงของหญิงสาว ทำให้คนฟังตะลึงไป เพราะเจ้าของเสียงถือกระบี่จ่อที่คอของโจรป่า             “เหอะ! ทางการนะเรอะ! ข้าไม่หลงเชื่อพวกเจ้าหรอก! เอาแต่ขูดรีดประชาชน” หัวหน้าโจรตะโกนใส่อย่างไม่กลัวตาย             ปลายกระบี่ลดลงพร้อมเสียงทอดถอนหายใจ เจ้าของกระบี่มองดูคราบเลือดที่ยังเปรอะเปื้อนอยู่จนหยดลงบนพื้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องการให้กระบี่ต้องดื่มโลหิตผู้ใด  หัวหน้าโจรมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายลดกระบี่ที่จ่อคออยู่ลง             “ข้าเข้าใจ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจมืออีกข้างปล่อยบังเ**ยนแล้วปลดผ้าที่ปิดครึ่งหน้าอยู่ลง “พ่อของข้าก็เคยเป็นเช่นท่าน แต่นับว่าโชคดีที่พ่อของข้าได้พบกับ แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ทำให้รู้ว่าคนในราชสำนักยังมีคนดีให้นับถืออยู่”  “พ่อของเจ้าคือ...”  “ข้าคือเคอหลิ่งหลินบุตรสาวเพียงคนเดียวของขุนโจรแห่งเขาชิงซาน”  นางแนะนำตัวอย่างสุภาพ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อบิดาผู้ล่วงลับของนางออกไปก็ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าอ้าปากค้างก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ บิดาของนางคือเคอตงตงเป็นเจ้าของฉายาขุนโจรแห่งหุบเขาชิงซาน  แม้บิดาของนางจากไปหลายปีแล้ว แต่กระนั้นชื่อเสียงของบิดายังคงคุ้มครองนางอยู่เสมอจนถึงวันที่นางอายุยี่สิบปีแล้วก็ตาม “ถ้าเป็นเช่นนั้น” “หากพวกเจ้าทั้งหลายกลับตัวกลับใจไม่กระทำการเยี่ยงโจรอีก ข้าเคอหลิ่งหลินขอเอาชีวิตเป็นประกันว่าจะไม่มีผู้ใดทำร้ายพวกเจ้า” “ได้! ข้าจะลองเชื่อใจพวกเจ้าดู” “ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านตามพวกเรากลับไปที่จวนเถิด  เพื่อจะได้เจรจาตกลงให้เข้าใจกัน” หญิงสาวในชุดทหารสีน้ำเงินเข้มเก็บกระบี่เข้าที่แล้วผายมือเชิญ  จอมโจรยอมทำตามอย่างว่าง่าย  ชายหนุ่มผู้อยู่หลังอาชา สีขาวกระตุกม้าให้เดินเข้ามาใกล้ยื่นมือไปตบไหล่หญิงสาว “ทำดีมาก” “อึก!”หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บที่แล่นขึ้นมา ชายหนุ่มเห็นสีหน้ากลั้นความเจ็บปวดของอีกฝ่าย “หลิ่งหลิน? เจ้าเป็นอะไร”    หญิงสาวฝืนทนแล้วส่ายหน้าไปมา “กลับจวนเถิด ข้าหิวจนจะกินห่านได้ทั้งตัว” “ดี...ครึ่งเดือนมานี่ลำบากเจ้ามากจริงๆ”    ‘จ้าวจิ่นสือ’ ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาได้รับคำสั่งจากบิดาให้ออกมาปราบกองโจรที่ออกปล้นทรัพย์สินโดยเฉพาะคนจากราชสำนัก ผู้ที่รู้เส้นทางในป่าเขาแทบทุกซอกก้อนหินก็คือหญิงสาวที่นั่งบนหลังม้าชื่อเดิมของนางคือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ แต่ตอนนี้นางคือ ‘จ้าวหลิ่งหลิน’ บิดาของเขารับนางเป็นบุตรบุญธรรมหลังจากที่เคอตงตง-พ่อบังเกิดเกล้าของนางตายจากไปเมื่อหกปีก่อน “เจ้านำหน้ากลับจวนไปก่อนเถอะ ข้าจะคุ้มกันด้านหลังให้เอง” เคอหลิ่งหลินเผลอสั่งบุรุษบนหลังม้า ตามด้วยเสียงถอนหายใจโล่งอกหลังจากทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว “ได้” จ้าวจิ่นสือพยักหน้ารับ  กลั้นยิ้มทำหน้าเคร่งขรึม  อ้อ! นี่เขากลายเป็นน้องชายตัวน้อยในสายตานางไปอีกแล้วละซิถึงได้ออกปากสั่งเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ “ข้าจะให้คนที่จวนเร่งทำอาหารไว้รอเจ้า”  “ฝากดูแลหัวหน้าโจรด้วย  ข้าเชื่อว่าเขาไม่มีเจตนา ทำร้ายผู้อื่น” “ข้ารู้แล้ว” จ้าวจิ่นสือเห็นเคอหลิ่งหลินมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจึงกระตุ้นม้าให้เดินนำหน้าไปก่อนเพื่อคุมผู้คน เคอหลิ่งหลินรั้งม้าให้เดินช้าลงสายตาของนางมองบรรดาโจรกลับใจราวๆ สามสิบคนที่เดินเท้ามุ่งหน้ากลับจวนของ ‘แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง’ ที่มอบหมายหน้าที่นี่ให้บุตรชาย แน่ล่ะ นางไม่ได้ถูกส่งให้มาปราบโจรด้วย แต่นางเองที่เสนอตัวมาช่วยจ้าวจิ่นสือเอง  และมันก็เป็นอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หญิงสาวในชุดทหารองอาจสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บเพื่อให้นางได้ออกสนามรบเคียงบ่าเคียงไหล่จ้าวจิ่นสือ  สำหรับนางแล้วแม้ตัวเองจะอยู่ในฐานะบุตรบุญธรรมของ ‘แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง’และ ‘ฮูหยินอี้ซิ่ว’ และนางข่มเหงจ้าวจิ่นสือทำให้ผู้ชายตัวโตอย่างเขาต้องยอมเรียกนางว่า ‘พี่สาว’    ใบหน้าสวยได้รูป แม้จะไม่สวยเลิศเท่าหญิงสาวในเมืองหลวง แต่นางก็มีเครื่องหน้าที่ชวนมอง ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโกงหรือดวงตาพราวระยับและริมฝีปากน่าหลงใหล หากไม่เพราะนางชอบทำหน้าเรียบนิ่งดุจแผ่นน้ำแข็ง และมือไม่ได้จับกระบี่อยู่เป็นนิจ  นางเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว ขณะอยู่บนหลังม้าเคอหลิ่งหลินนึกถึงเรื่องราวเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา  บิดาของนางเป็นจอมโจรที่ถูกทางการหมายหัว แต่อาจเพราะนางเป็นเด็กจึงไม่ได้เข้าใจความหมายนั้น จนเมื่อบิดาของนางได้พบกับแม่ทัพจ้าวซึ่งถูกส่งออกมาปราบโจรป่าก่อนจะออกไปประจำที่หัวเมืองชายแดน  ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักการขึ้นครองราชของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ บิดาของนางได้พบกับแม่ทัพจ้าวที่ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยใจจริงจึงยอมติดตามออกร่วมรบ แน่นอนว่ามีนางติดสอยห้อยตามไปด้วย    เคอหลิ่นหลิงใช้ชีวิตในป่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางในป่าและการแกะรอย บิดาของนางฝึกวรยุทธให้นาง  มารดาของนางจากไปตั้งแต่นางไม่ถึงขวบและบิดาไม่แต่งภรรยาใหม่ บิดาจึงเลี้ยงดูนางเหมือนเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเพียงเพราะให้นางดูแลตัวเองได้ยามเมื่อไร้เงาของบิดา เมื่อชายแดนสงบแม่ทัพจ้าวได้กลับมาอยู่จวนกับครอบครัว นางกับบิดาก็ติดตามกลับมาด้วย ฮูหยินอี้ซิ่วมีใจเมตตาต่อนาง ยิ่งรู้ว่านางเป็นกำพร้าต้องติดตามบิดาไปร่วมรบกับท่านแม่ทัพก็ยิ่งสงสาร ฮูหยินมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเกิดปีเดียวกับนางแต่อ่อนเดือนกว่าชื่อจ้าวจิ่นสือ             “ข้าอยากมีลูกสาวมานานแล้ว เจ้ามาเป็นลูกสาวของข้า ได้ไหม หลิ่งหลิน”             หญิงสาวจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาแต่สั่นหน้าปฏิเสธจนผมยาวสะบัดไปมา การปฏิเสธครั้งนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง มีเพียงจ้าวจิ่นสือที่แสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนเด็กที่กลัวถูกแย่งความรักจากพ่อแม่... ก็แน่ละ บิดาของเขาไปอยู่ชายแดนนานหลายเดือน เขาแทบไม่ได้เจอบิดาของตนเลย แต่นางกลับได้อยู่ใกล้บิดาของเขาซ้ำบิดายังฝึกเพลงกระบี่ให้อีกด้วยจะไม่เขาริษยาได้อย่างไรกัน 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม