ตอนที่ 3
โหดร้าย ดิบเถื่อน 100%
“แล้วขี้เรื้อนแถวไหนมันทำล่ะ” เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถปลุกอสูรร้ายกลับคืนร่างอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าแสงเดินทางมายังโลก เส้นเอ็นปูดขึ้นตามลำแขนแกร่งฝ่ามือกำแน่นด้วยความกรุ่นโกรธ
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครต่อว่าเขาเช่นนี้แม้แต่บิดา มารดา ก็ไม่เคย มือหนากระชากร่างบางพร้อมกับมืออีกข้างที่ว่างอยู่ กดเปิดฝักบัวแล้วฉีดน้ำใส่ศีรษะหญิงสาวและกดศีรษะลงต่ำ ไม่ให้เธอมีโอกาสเงยหน้าขึ้นมาหายใจ เป็นเวลาเกือบสามนาทีร่างบางสำลักน้ำด้วยความทรมาน
“แค๊กๆ แค๊กๆ” พอเขาทนดูหญิงสาวสำลักน้ำหูน้ำตาไม่ไหว จึงปล่อยมือออกจากศีรษะ แล้วปาฝักบัวลงกับพื้นอย่างแรงตามฉบับคนเอาแต่ใจ พร้อมกับหุนหันออกไปข้างนอก ปล่อยให้ร่างบางอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง
จากความตั้งใจตอนแรกว่าจะอาบน้ำให้หญิงสาวอย่างถะนุถนอม เกรงว่าเธอจะหัวฟาดพื้นอยู่ในห้องน้ำคนเดียว เขาจึงเข้ามาดูแลด้วยตัวเอง แต่นี่จู่ๆ คนอวดเก่งก็มาพูดให้เขาโกรธ ผลที่ออกมาก็ตามสภาพ เหอะ!
คนตัวน้อยทรุดฮวบนั่งลงไปกองกับพื้นห้องน้ำ เธอนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว คิดไปต่างๆ นานาว่าทำไมชีวิตเธอต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องอย่างนี้ พบเจอชายไร้หัวใจ ไร้ความรัก ความเมตตา และคงเป็นเพราะว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขาคงไม่เจอความรัก ชีวิตเขาคงจะมีความใคร่ แม้กระทั่งได้ร่างกายของเธอแล้ว เขายังไม่สนใจไยดี ซ้ำยังทำร้ายหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ทำดีด้วยเวลาต้องการอยากจะล่วงเกินเท่านั้น ‘ผู้ชายนิสัยไม่ดี ฉันไม่มีวันทนอยู่ให้คุณย่ำยีหรอก…’
ร่างบางนั่งขบคิดเรื่องราวต่างๆ เป็นเวลานาน จนทำให้ร่างกายที่เหนื่อยอ่อนบวกกับอาการไข้ที่ยังไม่หายดี ส่งผลให้เธอเป็นลมอยู่ในห้องน้ำ
เวลาผ่านไปเกือบค่อนชั่วโมง แต่ยังไร้เงาหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้อง ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจจึงรีบตรงไปยังหน้าห้องน้ำ มือหนายกขึ้นเคาะประตูระรัว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ผ่านไปเกือบสองนาทีแต่ไร้การตอบโต้ ไม่มีกระทั่งวี่แววว่าคนในห้องน้ำจะโผล่ออกมา ชายหนุ่มจึงขู่สำทับเสียงดัง
“จะนอนในห้องน้ำหรือไง อย่าให้ฉันได้เข้าไปนะ ฉันไม่เอาเธอไว้แน่ จันจิรา”
“...” เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบกลับ
“ฉันให้เวลา 1 นาทีเร็ว” เสียงห้วนจัดตะคอกขู่
“...” ทว่ามีแต่ความเงียบตอบกลับมา ซึ่งชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงเค้าลางที่ไม่ชอบมาพากล คิดได้ดังนั้นเท้าหนาถีบประตูห้องน้ำเข้าไป ภาพปรากฎตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มแทบล้มทั้งยืน หญิงสาวนอนราบอยู่กับพื้นห้องน้ำ ใบหน้าซีดเซียวสีกระดาษ ร่างหนายืนดูนิ่งราวกับถูกสาป เขาทำอะไรไม่ถูกเลย ณ เวลานั้น
เกือบนาทีที่ชายหนุ่มจะได้สติ แขนแข็งแรงช้อนอุ้มเอาร่างบางมากอดไว้แนบอกกว้าง ไม่รอช้ารีบคว้าเสื้อเชิ้ตของตนที่พอหลงเหลืออยู่มาสวมใส่ให้หญิงสาวอย่างรีบร้อน จากนั้นอุ้มร่างบางขึ้นรถส่วนตัวมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
หน้าห้องฉุกเฉิน…
“หมอครับ หมอต้องช่วยเธอนะครับ” ด้วยความเป็นห่วงลึกๆ เขาฝากฝังหมอให้ช่วยหญิงสาวที่นอนอยู่บนรถเข็นที่ยังไม่ได้สติ นางพยาบาลต้องเดินมาห้ามชายหนุ่มไว้ขณะรถเข็นกำลังเคลื่อนหายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
“ญาติ รอข้างนอกนะคะ” นางพยาบาลพูดจบก็เดินตามเข้าหลังหมอเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ปล่อยให้หน้าห้องเหลือเพียงภาคีนัยที่เดินไปเดินมาอย่างคนเสียสติ ความเป็นห่วง ความสงสาร แม้จะไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ภายในใจนั้นแทบจะขาดอยู่รอนๆ
“โธ่เว้ยยย!!!” หลังจากหายบ้าก็พาร่างหนาของตนไปหย่อนสะโพกนั่งเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน รอหมอเดินออกมากินเวลาไปร่วมชั่วโมงกว่าๆ ชายร่างสูงเพรียวหน้าตาหล่อเหลาตามฉบับเชื้อสายจีน ตี๋หน่อยๆสวมชุดกราวน์สีขาวเดินออกมาจากข้างในห้องฉุกเฉิน พร้อมกับเสียงทุ้มพูดขึ้นก่อนที่เขาจะถามไถ่อาการของคนป่วย
“ญาติผู้ป่วยเชิญพบหมอที่ห้องนะครับ” พูดจบหมอหน้าหล่อคนนั้น ก็เดินนำหน้าชายหนุ่มไปที่ห้อง ส่วนเขาก็ได้แต่เดินตามหลังหมอเข้าไป
“เชิญนั่งครับ”
“คุณเป็นอะไรกับคนป่วยครับ”
“เอ่อ ผะ ผมเป็นสามีเธอครับ” คราแรกภาคีนัยก็อึกอักนึกคำตอบไม่ออกเช่นกัน ว่าจะบอกอย่างไรดี ไม่รู้จะให้หญิงสาวอยู่ตำแหน่งใด แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืน มันคือสิ่งชี้ชัดของคนเป็นภรรยาสามีพึงกระทำต่อกัน เขาจึงตอบว่าเป็นสามี ส่วนคนที่นอนป่วยอยู่นั้นจะรับสถานภาพที่เขามอบให้หรือเปล่านั้นก็เป็นอีกเรื่อง…
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เพลาๆ เรื่องอย่างว่าลงหน่อยนะครับ การที่คุณทำแบบนี้ไม่ต่างจากข่มขืน หรือว่าขืนใจเลยสักนิด ถึงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม แต่มันเกินขอบเขตไปครับ ยิ่งตอนเธอป่วยมีอุณหภูมิในร่างกายสูง บวกกับพักผ่อนน้อย ส่งผลให้เป็นลมได้ง่ายครับ” หมอหนุ่มหน้าหล่อตี๋เตือนชายหนุ่มตรงหน้าที่สมอ้างว่าตนเป็นสามีของคนป่วย
“ครับ ผมจะทำตามที่หมอบอก”
“เดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงให้ครับ อีกวันสองวันคงกลับบ้านได้ครับ”
“ขอบคุณหมอมากๆ นะครับ” พูดจบร่างหนาก็เดินออกมา มุ่งหน้าตรงไปยังห้องที่จันจิราพักอยู่ เขาอยากไปขอโทษ แล้วแปรเปลี่ยนแผนการใหม่ คือหันมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ
เช้าวันต่อมาร่างบางเริ่มดิ้นขยุกขยิก ดวงตาเริ่มปรับให้คุ้นชินกับแสงที่ส่องผ่านกระจกใส เนื่องจากว่าหญิงสาวหลับไปเต็มๆ หนึ่งวันหนึ่งคืน ทำให้ดวงตาต้องปรับเป็นปกติให้เร็วที่สุด เมื่อเริ่มได้ที่แล้วดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เพราะบรรยากาศไม่ค่อยคุ้นชิน มารู้สึกตัวว่าตนอยู่แห่งใด ก็เมื่อก้มหน้ามองกายตนเห็นชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลจัดหามาให้สวมใส่
ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ สายตาคู่หวานหยุดตรงร่างหนาของใครคนหนึ่ง ซึ่งนอนขดตัวอยู่บนโซฟาตัวยาวภายในห้องผู้ป่วย เห็นดังนั้นใบหน้างามรีบเบือนหนีอย่างรวดเร็ว ไม่อยากแม้จะมองเศษเสี้ยวหน้าของตัวต้นเหตุ ที่เป็นต้นเรื่องของทุกอย่าง แต่ช้าเกินไปเพราะชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาพอดี ทำให้เขาได้รับสายตาเย็นชานั้นเข้าไปเต็มๆ
เขาไม่ยอมแพ้แม้จะได้รับความเย็นชาส่งผ่านมา แต่เขากลับเดินเข้ามาหาพูดคุยด้วย จนเวลาผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ ปากเรียวงามไม่ขยับตอบสักคำ ถามอะไรเธอแน่นิ่งเฉยชา ไม่ให้ร่วมมืออะไรสักอย่าง คนอย่างภาคีนัยมาเจอจันจิราในอาการแบบนี้ก็ท้อเหมือนกันแต่เขาไม่ยอมถอย
“จันจิรา ฉันขอโทษนะสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น” ผู้บริหารหนุ่มเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด ทว่าประชาสัมพันธ์สาวกลับไม่สนใจ แม้นเขาจะเป็นเจ้านายเธอ แต่เธอก็ไม่สนเพราะจันจิราบอกกับตัวเองแล้วว่าถ้าออกไปจากที่นี่ได้ เธอจะไม่กลับไปทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนั้นอีก แม้เงินเดือนจะเยอะขนาดไหนก็ตามเพราะเธอเกลียดเจ้าของโรงแรมเป็นที่สุด
“….”
“จันจิรา กินข้าวนะ เดี๋ยวฉันป้อน”
“...” เงียบเหมือนเดิมทว่าชายหนุ่มไม่สน มือหนาถือชามข้าวต้ม และมืออีกข้างจับช้อนตักอาหารใส่ปากคนป่วย แต่เธอไม่ยอมอ้าปากรับเอาอาหารที่เขาตั้งใจป้อน ร่างบางเบือนหน้าหนีไม่แม้แต่จะชายตามอง บรรยากาศภายในห้องวันแรกเป็นแบบนี้ทั้งวัน ไม่พูดไม่คุยอะไรทั้งนั้น หน้าสวยไม่เมียงมองเขาสักนาที
ร่างบางนอนห่มผ้าหันหลังให้ไม่สนใจ ฝ่ายคนผิดหมดปัญญาที่จะง้อ แต่เขาก็ไม่ท้อถอยที่จะทำต่อไป วันที่สองได้เวลากลับบ้าน หมอหนุ่มหล่อเจ้าของไข้เข้ามาตรวจเช็คดูอาการตั้งแต่เช้าตรู่
“สวัสดีครับคุณจันจิรา”
“สวัสดีค่ะ คุณหมอ” พูดจบจันจิราก็ยกมือไหว้ทักทาย
“เป็นอย่างไรบ้างครับวันนี้ อาการดีขึ้นไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอาการผู้ป่วยทั่วๆ ไป
“ดีขึ้นค่ะแต่จะไม่ดี เพราะบรรยากาศภายในห้องนี่แหละค่ะ” ขณะพูดสายตาคนโกรธเหลือบมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง หลังจากขอตัวออกไปเอาเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงในรถมาเปลี่ยนให้คนป่วยที่นอนรออยู่บนเตียง
“ทำไมครับ บรรยากาศที่นี่ออกจะดีด้วยซ้ำไป” คุณหมอหนุ่มไม่รู้ว่าคนป่วยประชดคนเดินเข้ามาใหม่ เลยพาซื่อถามตามตรง กระทั่งถึงบางอ้อหมอหนุ่มหล่อถึงได้ลากเสียงยาว ก่อนจะส่งยิ้มให้คนโดนงอนตุ้บป่อง ซึ่งคอยเอาใจหญิงสาวตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา
“อ๋อ ครับถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอ ขอตัวนะครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้ ส่วนคุณจันจิราก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลได้เลยครับ” พูดจบคุณหมอคนหล่อ เดินหนีหายออกไปจากห้อง ผ่านหน้าคนตัวใหญ่ที่โดนประชด ก่อนจะยักคิ้วใส่ภาคีนัยอย่างกวนเส้น
คนรู้ตัวว่าโดนประชดอย่างผู้บริหารหนุ่มยิ้มรับอย่างเหยๆ หลังจากหมอหนุ่มออกไปบรรยากาศภายในห้องตึงเครียดที่สุด เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรเลย มีแต่จ้องตากันยิ่งกว่าปลากัดตัวผู้กับปลากัดตัวเมีย ฝ่ายชายทนอาการแบบนี้ไม่ได้จึงพูดทำลายบรรยากาศน่าเบื่อทันที
“จันจิรา คุณลุกขึ้นมากินข้าวเช้าก่อนนะ แล้วจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า กลับบ้าน” คำว่า กลับบ้าน ทำให้คนป่วยหวนคิดอย่างเศร้าสร้อย เธอจากบ้านมากี่วันแล้วนะ คิดไปก้อนแข็งๆ วิ่งขึ้นมาจุกกลางลำคอ อยากร้องไห้สะอื้นเอาเสียดื้อๆ แต่เธอก็พยายามสะกดกลั้นความอ่อนแอเอาไว้
“ไม่หิว ออกไปได้แล้ว ฉันเบื่อขี้หน้าคุณ” นับเป็นคำแรกในรอบสองวัน ที่เธอพูดกับเขาแต่ช่างเป็นคำพูดบาดลึกกรีดหัวใจแกร่งไม่น้อย
“ไม่หิวก็ต้องกิน แล้วจะได้กินยา” เสียงทุ้มยังคะยั้นคะยอ หญิงสาวไม่หยุด
“ไม่กิน!”
“ต้องกิน และกินเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดเรียบใส่คนแง่งอน จันจิราจึงยอมตามที่เขาบัญชาทว่ายังคงน้ำเสียงที่ห้วนและเอาแต่ใจเช่นเดิม
“กินก็ได้ ฉันป่วยการที่จะเถียงกับคุณหรอกนะ ถึงยอมกินน่ะ” ภาคีนัยได้แต่แอบกดมุมปากยิ้ม มือหนาตักข้าวต้มในชามป้อนหญิงสาวอย่างสม่ำเสมอ จนข้าวต้มเริ่มพร่องชาม
หลังจากกินข้าวอิ่ม ยาเม็ดน้อยถูกกลืนหายลงไปในลำคอตามลำดับ ซึ่งกว่าจะกินยาได้นั้นทำเอาคนตัวใหญ่เหนื่อยไปตามๆ กัน และกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ยุ่งยากพอสมควร เพราะสาวเจ้าดันไม่ยอมเอาง่ายๆหญิงสาวออกอาการพยศจนชายหนุ่มต้องข่มขู่ด้วยประโยคแสนหื่นห่ามตามฉบับ
ผ่านไปห้านาที…
“เสร็จละ” เสียงหวานเอ่ยบอกคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ร่างบางสำรวจร่างกาย โดยการกวาดสายตาก้มลงมองตัวเองเป็นการสำรวจความเรียบร้อย ชุดที่ใส่เป็นแบบเดรส สีชมพูอ่อนชายกระโปรงพลิ้ว บริเวณเอวมีโบว์ผูกไว้ เป็นเสื้อแขนตุ๊กตาสวยงาม ส่วนชายหนุ่มได้แต่ชมตัวเองในใจว่าช่างเลือกชุดได้เหมาะกับหญิงสาวเสียจริง ชุดสวยอยู่บนเรือนกายแสนนุ่มนิ่มนั้น มันช่างแลดูอ่อนหวาน สวยงาม เหลือเกิน
ภาคีนัยเผลอจ้องมองเธอนาน จึงรีบกลบเกลื่อนอาการโดยบอกให้หญิงสาวลงไปรอเขาที่โรงจอดรถข้างล่าง
“จันจิรา คุณลงไปรอฉันที่รถเลยนะ”
“อ้าวทำไม แล้วคุณล่ะ”
“ผมจะไปจ่ายเงิน แล้วไปรับยาให้ นี่! กุญแจรถเอาไป” พูดจบมือหนาส่งกุญแจรถคันงามให้หญิงสาว จันจิรารีบรับเอาอย่างงุนงง แล้วเดินออกมาจากห้อง ภาคีนัยเดินแยกย้ายไปคนละทาง โดยชายหนุ่มเดินไปรอที่ห้องรับยา จากนั้นก็ได้จ่ายค่าโรงพยาบาล ซึ่งกว่าจะแล้วเสร็จเรียบร้อยกินเวลาร่วมชั่วโมงเลยทีเดียว
ร่างแบบบางของจันจิราเดินลัดเลาะมาตามทางเดินของโรงพยาบาล โดยจุดหมายปลายทางคือโรงจอดรถแต่ระหว่างทางที่เดินมานั้นสมองคิดไม่หยุด ฟุ้งซ่านตามมโนภาพฉายชัดในสมองราวกับคนสติเลอะเลือน เหมือนกับคนกำลังเพ้อไม่มีสติ แต่เธอก็สามารถประคับประคองตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติได้อย่างสมบูรณ์
จนกระทั่งสามารถนำร่างตนเองมาอยู่บริเวณของโรงจอดรถได้สำเร็จ ขณะที่กำลังจะเดินมุ่งตรงยังรถของภาคีนัยที่จอดอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินมาอย่างเร่งรีบ ถลาเข้ามาชนเข้ากับร่างบางที่เดินเหม่อลอยอยู่พอดี ทำให้ร่างบางเกือบล้มหัวคะมำ ถ้ามือแกร่งของบุรุษผู้นั้นคว้าไว้ไม่ทัน เสียงหวานของจันจิราอุทานออกมาอย่างตกใจ
“โอ๊ย!!”
ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงเพรียว หล่อเหลาในแบบของตัวเองคิ้วเป็นคิ้ว จมูกเป็นจมูกโดยเฉพาะดั้งคมถ้ามีแมลงวันบินผ่านมีหวังขาดครึ่งเป็นแน่ ริมฝีปากบางกระจับที่สาวๆ ค่อนประเทศอยากจะประกบปากตัวเองลงกลีบปากบางของเขาแต่ไม่มีโอกาส เนื่องจากชายหนุ่มเป็นคนถือตัว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ใกล้ชิด ส่วนแววตาไม่สามารถอ่านออกได้ เพราะมีแว่นกันแดดสีชาอำพราง หญิงสาวจึงหยุดการพินิจพิจารณาชายหนุ่มเพียงแค่นี้ เมื่อเสียงหนาทุ้มชวนเคลิ้มเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“อะ เอ่อ ขอโทษครับ” คนตัวสูงเอ่ยขอโทษอย่างสุภาพบุรุษ ก่อนจะพยุงร่างบางไว้ เพราะรู้ตัวว่าตนผิดเช่นกัน เขามัวแต่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ กระจิตกระใจไปอยู่กับน้องน้อยซึ่งนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล คนตัวสูงอยากกลับมาหาน้องสาวเร็วๆ ไม่อยากปล่อยให้เธอนอนอยู่คนเดียว หลังจากที่ตนกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเช้ามืดของวัน
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” ร่างบางรีบเบี่ยงตัวออกจากมือหนาทันที หญิงสาวไม่มีอารมณ์คุยกับใคร เพราะตอนนี้เรื่องราวของเธอยังแก้ปัญหาไม่ได้
ชายหนุ่มใช้เวลาในการสำรวจ ตรวจสอบหญิงสาวอย่างถี่ถ้วนกินเวลาเกือบห้านาที จนเธอเริ่มมีปฎิกิริยาโต้ตอบกลับมา โดยร่างบางเริ่มดิ้นดุกดิก ทำให้สติของเขากลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
“อะ เอ่อ” ปากบางเฉี่ยวพูดอย่าเก้เก้อ เนื่องจากว่าเขินอายตนเผลอไปจ้องหญิงสาว ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษที่พึงจะทำ
“คะ คุณ อะ เอ่อ” น้ำเสียงยังดูตะกุกตะกักไม่กล้าพูดเต็มคำนัก ความเขินอายต่อหญิงสาวยังไม่หมด
ส่วนจันจิราเธอได้ยินชายหนุ่มพูดตะกุกตะกักเหมือนกับอายๆ เธอจึงรีบแก้ไขสถานการณ์เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดไปกว่านี้ โดยหญิงสาวเปลี่ยนมาแนะนำตัวเองแทน และเขามีท่าทางครุ่นคิด สงสัยเหมือนอยากจะถามอะไรกับเธอ
“ขอโทษอีกครั้งนะครับ…ยินดีที่ได้รู้จักครับ” มือใหญ่ยกขึ้นไหว้ทักทายหญิงสาว กระเป๋ากางเกงถูกล้วงด้วยมือใหญ่ คว้านหาอะไรบางอย่างจนเวลาผ่านไป กระดาษแผ่นเล็กถูกหยิบออกมาแล้วยื่นให้คนตัวน้อยที่ยืนอยู่
“นามบัตรผมเองครับ มีอะไรติดต่อได้ครับ ยินดีเสมอ” เขารีบและไม่อยากเสียเวลา จึงหานามบัตรมาส่งให้ มือน้อยไม่ยอมหยิบเอา เธอทำหน้างงงวยระคนกับความลังเล
การแนะนำตัวของเขายังเป็นปริศนาสำหรับเธออีก เขาไม่มีการบอกชื่อเสียงเรียงนามอะไรเลย มีแค่ประโยคเดียวว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ซึ่งคนตัวน้อยขี้สงสัยไม่สามารถประเมินได้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย
“รับไว้เถอะ เผื่อว่าสักวันมันจำเป็นขึ้นมา ผมเต็มใจช่วยคุณนะ” กระดาษแผ่นเล็กสี่เหลี่ยม ยัดใส่มือบาง คิ้วหยักเข้มยกยักใส่เธอทีหนึ่ง จากนั้นเขาจึงเดินไปอย่างเร็ว จนปฏิเสธไม่ทัน
“ค่ะ ขะ ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานใสได้แต่พูดตามหลังแค่นี้
กระดาษแผ่นน้อยในมือเธอคือ นามบัตรของเขา ร่างบางยืนคิดคนเดียว…เฮ้อตกลงเป็นคนแบบใดกันแน่ ดูภายนอกแรกๆก็สุขุม เนี๊ยบ ท่าทางน่านับถือ แต่ก่อนจากกันมาเจ้าเล่ห์ใส่อีก รึว่าเป็นคนกวนประสาทอารมณ์ขำนะ ทะเล้นไม่เบาเชียว… หญิงสาววิเคราะห์บุคลิกเขาอย่างเงียบๆ แล้วเธอจึงยกนามบัตรขึ้นดู ปริญภัทร อดิเรกไพศาล
เสียงรองเท้าดังกระทบพื้น ความคิดหยุดไว้ ยิ่งเสียงดังเข้ามาใกล้ เธอยิ่งกลัวตากลมสกาวส่องซ้ายแลขวา เพื่อหาทางหลบ แต่ไม่ทันซะแล้ว เมื่อมืออันปริศนาคว้าแขนเรียวหมับหญิงสาวหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว หากเธอยังเงียบไม่ส่งเสียง
เจ้าของมือปริศนาไม่พูดไม่จาอะไร ตากลมปิดไว้แนบแน่นหัวใจดวงน้อยสั่นผวา หวาดดกลัวอย่างคนเสียขวัญความเงียบแผ่คลุมเข้ามา เปลือกตาบางปิดสนิทสั่นระริก หยดน้ำตาใสซึมตามหางตาแล้วกลิ้งหล่นไหลลงมาตามพวงแก้มเนียน คนเงียบทนดูไม่ได้จึงถามน้ำเสียงแสนห่วงใย
“จันจิรา เธอเป็นอะไร” เสียงหนาทุ้มถามขี้แยตรงหน้าอย่างตระหนก เพราะคิดว่าเธอจะมีปัญหาหรือว่าเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า
พอได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูเธอรู้ทันทีว่าใคร คุณภาคีนัย ดำรงอนุสรณ์ นั้นเอง ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบลืมตาขึ้นมอง นึกว่าโจรบ้าที่ไหน ที่แท้ก็คนใจร้าย หญิงสาวก่นดาในใจอย่างขุ่นเคือง
เมื่อสติกลับมา เธอนึกได้ว่านามบัตรที่เมื่อตะกี้ตนยังไม่เก็บเลยถ้าเขาเจอมีหวัง ตายสถานเดียว! จันจิราจึงรีบหาทางซ่อนนามบัตรไว้ในมุมมิดชิดที่สุด มือน้อยพยายามเอียงข้างแล้วหย่อนกระดาษแผ่นเล็กลงกระเป๋าเสื้อด้านข้าง
“ทำอะไร” หญิงสาวรุกรี้รุกรนจนเขาสังเกตได้ หญิงสาวทำหน้าตื่นเหมือนกับคนมีความผิดโดนจับได้ ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไรมาก เนื่องจากส่วนตัวเขามีความผิดอยู่ ถ้าเซ้าซี้กับเธออีกมีหวังแม่คนขี้งอนไม่ยอมคุยกับเขาอีกแน่
“ปะ เปล่า ไปเถอะ”