หมู่บ้านอู๋เฌิ๋น เมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว ปี1984
ฟ้ายังคงมืดครึ้ม เม็ดฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย สายลมพัดโชยพาเอาความหนาวเย็นมาปกคลุมทั่วบริเวณ บนพื้นดินที่เปียกชื้น มีเด็กน้อยสองคนยืนตัวสั่นเทา ร้องไห้สะอื้นอย่างน่าเวทนา เสียงร้องไห้ของพวกเขาแผ่วเบาลงบ้าง เมื่อหันไปมองร่างที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นดินหน้าบ้าน
"แม่...แม่..."
เสียงเล็ก ๆ ของซูเสี้ยงใจ๋แฝดผู้พี่เอ่ยเรียกชื่อแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"แม่...ตื่น... ฮึก จือจือกลัว"
ซูเสี้ยงจือแฝดผู้น้องพยายามเขย่าร่างของแม่เบา ๆ แต่ก็ไร้ผล
ร่างของหวังอันเล่อนอนนิ่งอยู่กลางสายฝน ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากม่วงคล้ำ รอยไหม้จากฟ้าผ่าปรากฏชัดเจนที่บริเวณไหล่ เธอหมดสติไปหลังจากที่ฟ้าผ่าลงมาอย่างจังเมื่อสักครู่
สายตาของเด็กทั้งสองมองไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิท พวกเขารู้ดีว่าในบ้านนั้นมีพ่ออยู่ แต่พ่อก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงเช่นกัน เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกเดียวดายและไร้ที่พึ่งพิง พวกเขาร้องไห้จนแทบขาดใจ แต่ก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือ
ในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดินเริ่มขยับตัวช้า ๆ หวังอันเล่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วตัว แต่สิ่งแรกที่เธอเห็นคือลูกน้อยทั้งสองคนของเธอที่กำลังร้องไห้ด้วยความกลัว
"แม่...แม่ฟื้นแล้วพี่ใหญ่ ฮื้ออ"
เสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝน แม้ทั้งคู่จะหวาดกลัวมารดาแต่ก็ยังดีกว่าไม่เหลือใคร ตั้งแต่พ่อของพวกเขาถูกส่งตัวกลับมาที่บ้านในสภาพที่ไม่รับรู้อะไร บ้านใหญ่ก็ไม่เหลียวแลพวกเขาอีกเลย มีเพียงผู้เป็นปู่เท่านั้นที่แวะเวียนมาดูบ้างเป็นครั้งคราว
"ไม่ต้องร้อง..เข้าบ้านกันเถอะ"
"ฮึก..แม่ไม่ไปแล้วใช่ไหม ฮื้อ..จึ..จือจือจะเป็นเด็กดี จือจือสัญญา"
"แม่อย่าทิ้งพวกเราเลยนะ ผมจะขยันไปเก็บผักป่า แม่จะได้มีของกินเยอะ ๆ"
คำพูดของแฝดชายหญิงทำให้คนฟังถึงกับกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากลำบาก เจ้าของร่างนี้ต้องเป็นแม่ที่แย่ขนาดไหนกันจึงให้ลูกวัยเพียง 3 ขวบออกไปหาของกินมาให้ตัวเอง
"แม่ไม่ทิ้งแล้ว เข้าบ้านกันเถอะ ตากฝนนาน ๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
สำหรับคนอื่นคำพูดเหล่านี้อาจจะธรรมดาจนไม่รู้สึกพิเศษอะไร แต่สำหรับซูเสี้ยงใจ๋กับซูเสี้ยงจือ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอมาแสนนาน ในที่สุดถ้อยคำที่ห่วงหาอาทรก็หลุดออกจากปากมารดา แม่เป็นห่วงพวกเขาอย่างนั้นเหรอ แววตาสุกใสเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสุข
"คับแม่ จือจือช่วยพยุงแม่ พี่จะถือกระเป๋า"
"อื้อ จือจือพยุงแม่นะคะ"
"ไม่เป็นไร แม่ถือเอง พวกลูกรีบเข้าบ้านเร็วเข้า"
มือเรียวลูบลงที่กลุ่มผมของเด็กน้อยทั้งสอง ร่างเล็ก ๆ ตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก มีจังหวะหนึ่งที่ซูเสี้ยงจือเผลอถอยหลบมือของมารดาด้วยความเคยชิน เด็ก ๆ ต่างรู้สึกว่าวันนี้แม่ใจดีเกินไปเหมือนไม่ใช่แม่ของพวกเขา
ใช่! ตอนนี้วิญญาณที่อยู่ในร่างของหวังอันเล่อไม่ใช่เจ้าของร่างอีกต่อไป แต่เป็นวิญญาณของหญิงสาวที่มาจากอนาคตในปี 2024 ไม่ใช่แต่เหมือนใช่ เมื่อรูปร่างหน้าตาและชื่อของทั้งสองเหมือนกันอย่างกับพิมพ์เดียว
ก่อนหน้านี้
ขณะที่หวังอันเล่อนักแปลงโฉมมือทองกำลังพาลูกน้องในสตูดิโอ ออกไปทำบุญบริจาคสิ่งของให้กับเด็กและชาวบ้านในพื้นที่ทางเหนือของประเทศ ขากลับที่ทุกคนกำลังหลับใหลหลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
รถตู้ที่ทุกคนนั่งอยู่เกิดยางระเบิดจนเสียหลัก หมุนเหวี่ยงอยู่กลางถนนก่อนจะพุ่งชนกับรถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง จนไม่สามารถหยุดรถได้ทัน หวังอันเล่อเป็นคนเดียวที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้
ดวงวิญญาณของเธอถูกพาไปยังดินแดนหลังความตาย ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกปกคลุม เสียงโหยหวนดังมาแต่ไกลและสีหน้าราวกับไร้จิตวิญญาณของผู้ที่อยู่รอบข้างชวนให้ขนลุก ต่างจากเธอที่ยังมีสติรับรู้ทุกอย่าง
"ทิ...ที่นี่คือที่ไหนกันคะ ฉันตายแล้วเหรอ?"
"เหตุใดเจ้ายังสามารถรับรู้สิ่งรอบตัวได้อีก?"
ผู้คุมวิญญาณที่อยู่ใกล้ ๆ เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ด้วยว่าวิญญาณดวงนี้แตกต่างจากดวงอื่น ๆ ที่ไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว รอเพียงเวลาในการเข้ารับการตัดสินบาปที่ก่อ เพื่อจะได้ไปรับโทษทัณฑ์อย่างสาสม
"ผิดดวง!"
เสียงของผู้คุมวิญญาณที่เพิ่งนำดวงวิญญาณของหวังอันเล่อมาร้องลั่นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองหัวหน้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่เพ่งมองกระดานในมือ ที่สามารถบ่งบอกชาตะมรณะของทุกดวงวิญญาณได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าพวกเขาได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์
"หัวหน้าครับ เราจะทำยังไงดี เวลาของที่นี่กับโลกมนุษย์ต่างกันนานนับเดือน ป่านนี้ร่างของหญิงสาวคนนี้คงถูกเผาจนเหลือแต่เถ้ากระดูกไปแล้ว"
"เจ้านะเจ้า! เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำผิดพลาดได้ยังไงกัน"
พอเห็นสีหน้าของทั้งคู่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนที่รอฟังคำตอบอย่างหวังอันเล่อมีหรือที่จะยอมอยู่นิ่ง ในเมื่อได้ยินเต็มสองหูว่าเธอยังไม่ถึงเวลาตาย
"ฉันไม่ยอมตายตอนนี้หรอกนะคะ พวกท่านทั้งสองต้องหาวิธีจัดการเดี๋ยวนี้ นี่มันไม่ใช่ความผิดของฉัน ฉันจะขอพบท่านพญายม!"
พอได้ยินว่าหญิงสาวขอพบท่านพญายม สีหน้าของผู้คุมวิญญาณทั้งสองซีดเผือดยิ่งกว่าดวงวิญญาณที่พวกเขาพามาเสียอีก การได้ทำหน้าที่นี้เป็นเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาจะมีโอกาสได้เกิดใหม่ ในอดีตพวกเขาต่างเคยทำผิดและทำเรื่องเลวร้ายอย่างมหันต์มาก่อน หากให้ท่านพญายมล่วงรู้ความผิดนี้คงหมดสิ้นแล้วความหวังที่จะได้เกิดใหม่อีกครั้ง
"ใจเย็น ๆ ก่อนนะ เอาเป็นว่าพวกเราจะหาร่างใหม่ให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง แต่คงเป็นกาลเวลาเดิมไม่ได้ สิ่งของที่เป็นของเจ้าในกาลเวลานี้จะถูกเก็บไว้ในห้วงมิติโดยมีหยกชิ้นนี้เป็นประตู เจ้าตกลงไหม? อย่างน้อยก็ยังได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง"
"แล้วฉันต้องไปอยู่ที่ไหนคะ ต้องไปอยู่ในร่างของใคร?"
หวังอันเล่อเอ่ยถามด้วยความละแวดระวัง นาทีนี้เธอไม่อาจเชื่อใจใครได้นอกจากเชื่อตัวเองเท่านั้น ทั้งที่เธอเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงความฝันหรือเป็นเรื่องจริง เมื่อไม่นานนี้เธอยังหลับอยู่บนรถตู้แท้ ๆ
"ดูเอาเถอะ เมื่อเจ้าตอบตกลง ความทรงจำทั้งหมดของผู้หญิงคนนั้นจะถูกถ่ายโอนมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า"
กระดานสีดำถูกส่งมาให้อันเล่อจ้องมองเรื่องราวของหญิงสาวที่อยู่ในยุค 80 ตอนต้น ยิ่งได้ดูไปใบหน้าของหวังอันเล่อยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม มีอย่างที่ไหนจะส่งให้เธอไปอยู่ในร่างของผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น
ภาพในกระดานแสดงให้เห็น
หวังอันเล่อ ยุวปัญญาชนสาวที่ถูกส่งตัวมาใช้แรงงานในชนบท เธอมีนิสัยเกียจคร้านเห็นแก่ตัวและชอบเอาเปรียบคนอื่น ต่างจากรูปร่างหน้าตาที่สวยงามอย่างสิ้นเชิง
ด้วยการเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ใน 1 ห้องเล็ก ๆ ต้องนอนรวมกันถึง 5 คน คนเห็นแก่ตัวอย่างหวังอันเล่อจึงรีบหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการหาสามีที่เป็นคนในหมู่บ้าน แล้วลูกชายคนโตของบ้านซูก็เป็นเป้าหมายของเธอ
หลังจากจับตามองพฤติกรรมของซูจือหยวนได้สักพัก เธอก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจในระดับหนึ่ง จากนั้นเธอจึงเริ่มวางแผนให้ตัวเองตกน้ำที่ลำธารท้ายหมู่บ้านในจังหวะที่ซูจือหยวนผ่านมาเห็นพอดี ทุกอย่างจึงเป็นไปตามแผนของเธอ
ซูจือหยวนยอมแต่งงานกับเธอเพื่อรักษาชื่อเสียงให้เธอ อยู่ด้วยกัน 1 ปี หวังอันเล่อจึงตั้งท้องและคลอดลูกแฝดในปีต่อมา แต่นิสัยของเธอที่เรียกว่าแย่อยู่แล้ว กลับแย่ลงกว่าเดิมจนเหลือระอา เธอกับแม่สามีที่ไม่ชอบลูกชายคนโตต้องทะเลาะกันอยู่ทุกวัน
กระทั่งซูจือหยวนตัดสินใจเข้าเมืองไปสมัครเป็นทหาร เพื่อหาเงินส่งมาให้ที่บ้าน การเป็นอยู่ของทุกคนจึงเริ่มดีขึ้น นางซูหลี่จึงให้ลูกสะใภ้แยกบ้านทั้งที่ไม่มีบ้านไหนที่ยอมให้ลูกชายคนโตแยกออกไป
มีหรือที่หวังอันเล่อจะสนใจ เป็นการดีเสียด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องมีใครมาวุ่นวายกับเธอ เวลาผันผ่านไปเรื่อย ๆ จนเด็กน้อยซูเสี้ยงใจ๋และซูเสี้ยงจือ อายุได้ 3 ขวบครึ่ง ทั้งสองมีรูปร่างผอมกร่องตัวเล็กนิดเดียวเพราะไร้การดูแลเอาใจใส่จากมารดา ด้วยว่าเด็กทั้งคู่เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากความลำบากเท่านั้น
กระทั่งสามีของเธอ ซูจือหยวน ถูกพาตัวกลับมาในสภาพที่ไร้สติและไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เมื่อสามีและลูกหมดผลประโยชน์มีหรือที่คนเห็นแก่ตัวแบบหวังอันเล่อจะเหลียวแล
เธอจัดกระเป๋าเตรียมจะหนีออกจากหมู่บ้านในช่วงเช้ามืด ทว่าสายฟ้าในฤดูฝนกลับฟาดลงมาที่ตัวเธอเต็ม ๆ จนหัวใจของเธอหยุดเต้น
"ไม่มีคนอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอคะ?"
"ตอนนี้ยังไม่มี หรือเจ้าจะรออยู่ที่นี่ เป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไปก่อน แต่หากถึงเวลา 3 เดือนของโลกมนุษย์ หรือ 2 วันในยมโลกแห่งนี้แล้วเจ้ายังไม่ได้เข้าร่างใหม่ หลังจากนั้นเจ้าจะไม่สามารถกลับเข้าร่างใครได้อีก"
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หวังอันเล่อต้องยอมจำนน ทำยังไงได้ในเมื่อจะหันไปทางไหนก็ไม่ได้สักทาง
"เฮ้อ!"
"มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก เจ้าอยู่เป็นโสดมานาน อยากมีลูกแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าไม่สงสารเด็กน้อยสองคนนั้นรึยังไงกัน เอาเป็นว่าข้าจะมอบมินิมาร์ทให้เจ้าเป็นของแถม เจ้าสามารถหยิบของออกมาใช้ได้ ไม่มีวันหมด ดีหรือไม่?"
พอนึกเห็นภาพของเด็กน้อยทั้งสองที่นั่งเขย่าร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน ใจของเธอที่กำลังร้อนเป็นไฟก็พลันเย็นลงอย่างแปลกประหลาด
"ตกลงค่ะ"
"ดี เช่นนั้นเจ้าก็รับหยกนี้ไป ก่อนใช้เจ้าต้องผูกพันธะเป็นเจ้าของมันด้วยการหยดเลือดใส่ หลังจากนั้นไม่ว่าเจ้าจะไปแห่งหนใด ป้ายหยกชิ้นนี้ก็จะติดตามเจ้าไปไม่ห่าง ยังมีความลับบางอย่างที่ถูกซ่อนอยู่ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง เพราะนั่นคือชะตาของเจ้า หวังอันเล่อ"
สิ้นเสียงของผู้คุมวิญญาณ สติของหวังอันเล่อเริ่มพร่าเลือนจนมืดดับไป ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเด็ก ๆ และถูกสายฝนที่กำลังโปรยปรายกระทบใบหน้า