“เธอมั่นใจได้ยังไงว่าแฟ้มนี้เป็นประวัติของเธอ”
“ก็...”
“อ่านหนังสือออก?”
ทวิชส่ายหน้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังแฟ้มบนโต๊ะตรงหน้า
“พอดีผมเห็นว่าที่ปกแฟ้มมันมีรูปผมแปะอยู่น่ะครับ”
ตอนนี้ล่ะที่เวหาปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ เขาเหลือบมองไปทางอื่นเล็กน้อยด้วยรำคาญใจเพราะเสียหน้า
ไหนใครบอกว่าเด็กนี่ซื่อบื้อกัน!
แต่ลืมฉุกคิดไปว่าคนซื่อบื้อไม่ได้แปลว่าเป็นคนโง่ เวหาหน้าม้านเลยทีเดียว ขณะที่ธามต้องออกปากเอ็ดไม่ให้ทวิชยอกย้อนถามไปมา
“คุณเวหาถามอะไรก็ตอบไป นายไม่มีสิทธิ์ยอกย้อน”
ทวิชพึมพำว่า ‘ขอโทษครับ’ พลางยกมือไหว้ ก่อนจะออกปากเล่า
“ผมเป็นเด็กที่เกิดจากทาส แรกเริ่มเป็นทาสของนายเหมืองทางภาคเหนือ พอสักสิบขวบก็ถูกจำหน่ายไปอยู่กับนายคนก่อน จนถูกเขาเอามาเป็นตั๋วเบี้ยเดิมพันในคาสิโน แล้วก็ได้มาอยู่กับคุณท่านตอบอายุสิบห้าครับ”
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เวหารู้อยู่แล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเล่ามาก็ไม่มีส่วนไหนผิดเพี้ยนไปจากที่ธามเล่าหรืออ่านมาเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทวิชถึงได้อยากจะปลดแอกตัวเองถึงขนาดมาร้องขอกับเขาทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์อย่างนั้น
“นายคนเก่าของเธอทำอะไรกับเธอไว้หรือไง เธอถึงอยากได้อิสระขนาดนี้”
ดูเหมือนจะถามจี้ใจดำเข้าอย่างจัง ทวิชเม้มริมฝีปากไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ
“ก็...มีบ้างครับ”
“ยังไง”
“...”
“นายคนเก่าทำอะไรเธอ เล่ามา”
รู้ว่าทวิชไม่อยากเล่า แต่เวหาอยากรู้จึงจำต้องออกคำสั่ง เด็กหนุ่มทำใจยากมากทีเดียวกว่าจะเปิดปากเล่าได้ แต่ในเมื่อถูกบีบบังคับมาอย่างนี้ อย่างไรเขาก็ต้องพูด
“ตอนอยู่กับนายเหมืองยังไม่มีอะไรหนักหนาเท่าไรครับ ถึงนายเหมืองจะเป็นคนดุ แต่เพราะผมยังเด็กมาก เขาเลยไม่ได้สนใจเพราะทำงานไม่ได้ ได้แต่รอให้ผมโตกว่านี้อีกสักนิดแล้วก็ขายต่อไปให้นายคนใหม่”
เวหาเหลือบตามอง ฟังอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็สังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มไปด้วย
“แต่พอถูกจำหน่ายต่อมาที่นายอีกคน ช่วงนั้นค่อนข้างลำบากครับเพราะผมมักถูกใช้ทำงานหนักเกินกำลัง ถูกดุด่าบ้าง ทุบตีบ้าง บางครั้งก็โดนหนักจนทนไม่ไหว ป่วยจนทำงานไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเพราะไม่อย่างนั้นจะถูกปล่อยให้อดจนตายไปเอง ผมอยากมีชีวิตอยู่ก็เลยต้องฝืน แต่นั่นมันก็...เป็นเรื่องปกติของทาสใช่ไหมล่ะครับ”
พูดไป สีหน้าก็เริ่มแย่ลง ทว่าใบหน้าก็ยังฝืนยิ้ม เวหามองจ้องก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร คนตรงหน้าถึงได้อยากปลดแอกนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากนายคนเก่านี่เอง
“เธอก็เลยอยากจะมีอิสระ”
พอพูดออกมา ทวิชก็พยักหน้ารับรัว การตอบรับนั้นค่อนข้างขัดใจเวหามากทีเดียว
“ฉันเป็นนายที่ไม่ใจดีกับเธอพอหรือยังไง เธอถึงได้อยากมีอิสระขนาดนั้น”
คราวนี้ทวิชส่ายหน้าพรืด “ไม่ครับ คุณท่านใจดีมาก”
“แล้วทำไมถึงอยากไปจากฉัน”
น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกว่าไม่พอใจหรือไม่ ราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้คนฟังเสียวต้นคอวาบเหลือเกิน
“ว่ายังไง ทำไมถึงอยากไปจากฉัน”
เน้นย้ำว่า ‘อยากไปจากฉัน’ เป็นการแสดงอำนาจในความเป็นเจ้าของโดยนัย เรื่องนี้ธามรู้ แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กซื่อบื้อนี่จะดูไม่ออกเพราะยังคงตอบกลับมา
“ก็ผม...อยากมีอิสระ”
อิสระ...เอะอะก็อิสระ คำสองคำก็อิสระ มันหอมหวนจนอยากไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาขนาดนั้นเลยหรือไง
“แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าต้องเจอกับอะไรบ้างถึงจะปลดแอกได้”
ทวิชรู้ เขาพยักหน้า กระนั้นเวหาก็ยังพูด
“เธอจะต้องสู้กับนักสู้ของฉันและต้องชนะให้ได้ทั้งหมดสิบยก ถ้าแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีทาสคนไหนในสังกัดจันทรานิรันดร์ปลดแอกตัวเองออกไปได้ ไม่พิการ...ก็ตาย มีคนบอกเธอเรื่องนี้หรือยัง”
ทวิชพยักหน้ารับไปอีก เรื่องนี้เขารู้แล้ว ทั้งหัวหน้าทาส ทั้งทาสด้วยกัน หรือแม้แต่พวกไทก็กรอกหูเขาอยู่ทุกวัน เขาเห็นกับตาตัวเองด้วย ทำไมเขาจะไม่รู้
“แต่เธอก็ยังจะอยากปลดแอก?”
“ครับ”
ทวิชตอบรับเสียงแผ่ว ท่าทางเซื่องๆ ใต้ความตั้งใจแน่วแน่ทำให้เวหารำคาญใจอย่างถึงที่สุด
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าจะเอาชนะนักสู้ของฉันได้ยังไง”
“...”
“นักสู้ของฉันเป็นนักสู้เดิมพันในสังเวียน ฝีมือไม่เป็นรองใคร ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ชนะแล้วได้เธอมาเป็นตั๋วเบี้ย พอจะประมาณได้แล้วใช่ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ผมรู้ครับ”
“ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากจะสู้?”
ทวิชไม่ตอบ เม้มปาก พยักหน้า ความตั้งใจของเขามีมากเกินไปจนไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ เวหาเห็นความแน่วแน่แล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มมีความกล้า แต่ความกล้าของคนตรงหน้า มองในมุมของเขาหรือใครๆ ก็เห็นว่ามันเป็นความกล้าที่โง่งมทั้งนั้น เขาอุตส่าห์ไม่ทำโทษหนักหนาที่บังอาจไปบุกรุกงานเลี้ยงของเขา มิหนำซ้ำยังสั่งให้ธามไปเตือนให้หัวหน้าทาสอย่าทำอะไรเกินกว่าคำสั่งเขาก็เพราะไม่อยากเห็นร่องรอยฟกช้ำบนหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเคย แต่ดูเหมือนทวิชจะไม่สนเลย