มาร์คินกวาดตามองรอบห้องก่อนจะนั่งลงยังตำแหน่ง ทุกอย่างเรียบร้อยเกินปกติ กาแฟในถ้วยยังร้อนอยู่ เขาจิบมันช้าๆ ให้คาเฟอีนได้ไหลไปตามกระแสโลหิตเพื่อปลุกเร้าเส้นประสาทให้ตื่นรับงานการอันมากมี
“ตั้งแต่พรุ่งนี้บอกร้านให้เพิ่มกาแฟอีกช็อต ขอเข้มๆ”
“ได้ค่ะ” รับคำแล้วจดบันทึก
“อีกชั่วโมงจะมีชุดมาส่ง รับเรื่องแล้วดูแลให้เรียบร้อย”
“ได้ค่ะ” รับคำแล้วบันทึกเวลา
“เฌอริณจะเข้ามาตอนสิบโมง อานุชจะออกไปพบลูกค้าแทนผม เพราะฉะนั้นช่วงบ่ายคุณต้องเข้ามาช่วยเฌอริณแต่งตัว”
“คะ?” เธองงกับคำสั่งนี้
“เดี๋ยวก็รู้เอง แล้วก็อย่าลืมสั่งมื้อเที่ยงให้ผมด้วย เอาสเต็ก...”
“สเต็กเนื้อที่ร้านเลอบลอง ไม่ต้องสุกมาก ผักเคียงไม่ต้องลวกขอสดๆ”
“เยี่ยม!” มาร์คินดีดนิ้วดังเปาะ อย่างนี้สิถึงจะเป็นเลขาที่สมบูรณ์แบบ “ขอเพิ่มอีกนิดครับคุณเลขา เพิ่มสเต็กปลาหนึ่งที่กับน้ำส้มคั้นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาลให้เฌอริณด้วย”
“ให้สั่งน้ำส้มที่ร้านเลยไหมคะ”
“ที่นั่นไม่มีน้ำส้มสด เพราะฉะนั้นคุณควรจะซื้อที่อื่น”
“ร้านไหนก็ได้?”
“อาฮะ ร้านไหนก็ได้ที่แน่ใจว่าไม่ใส่น้ำตาล”
“รับทราบค่ะ”
“โอเค คราวนี้ตาคุณบ้าง”
“งานช่วงเช้าอานุชคงรายงานไปแล้ว ฉันจะแจ้งเฉพาะช่วงบ่ายนะคะ คุณมีนัดกับมิสเตอร์ลีตอนบ่ายโมง”
“อานุชพบลูกค้าคนแรกเสร็จจะไปพบมิสเตอร์ลีให้เอง” เขาแทรก
“รับทราบค่ะ ตัวอย่างผ้าไหมจากโรงงานจะถูกส่งมาวันนี้ไม่เกินบ่ายสาม ฉันควรรู้ว่าคุณจะตัดสินใจเลือกแบบไหน ก่อนแปดโมงวันพรุ่งนี้ค่ะ อ้อ...มีพัสดุส่งมาถึงคุณด้วยค่ะ”
“แต่ผ้าไหมจะมาบ่ายสาม”
“น่าจะมาจากที่อื่นค่ะ มันถูกส่งมาจากใครบางคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ นี่เอง”
“โอเค เข้าใจแล้ว เอาเข้ามาได้”
“รับทราบค่ะ”
พริ้มเพรารับคำแล้วก้มหัวให้ ก่อนจะก้าวออกมา เธอจัดการแกะกระดาษห่อพัสดุออก กล่องที่อยู่ข้างในสวยเชียว เป็นกล่องขนาดกว้างยาวหนึ่งศอก บุด้วยผ้าไหม มองแล้วคล้ายๆ กล่องของขวัญอะไรเทือกนั้น
“ของเธอเหรอ” มณีนุชถาม
“ไม่ค่ะ ของบอส”
คนถามเลื่อนใบหน้ากลับไปหลังเครื่องคอมเช่นเดิม มณีนุชกำลังตอบเมลจากลูกค้าต่างชาติอยู่ พริ้มเพราจัดการกล่องใบนั้นแล้วนำเข้าไปให้บอส มาร์คินง่วนอยู่กับกองเอกสาร เขาสั่งให้วางกล่องไว้บนเก้าอี้ตัวเตี้ยตรงโซฟา
พริ้มเพราจากมาเมื่อวางกล่องไว้เรียบร้อย เธอจัดการงานทีละอย่างที่เขาสั่งไปเรื่อยๆ ผ่านไปชั่วโมงเศษๆ ชุดที่มาร์คินว่าก็มาส่ง มันถูกส่งมาพร้อมราวที่มีล้อเลื่อน มีชุดสวยๆ ที่ทอจากผ้าไหมแขวนไว้มากกว่าสิบชุด เธอดึงราวนั้นมาชิดกับผนังด้านหนึ่งจะได้ไม่กินพื้นที่
มณีนุชเริ่มเตรียมตัวเมื่อใกล้เวลาออกไปพบลูกค้า กระเป๋าถือ สมุดโน้ต หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือรวมถึงเอกสารต่างๆ ถูกเก็บใส่กระเป๋าทรงชอปปิงใบใหญ่ของหล่อน ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากโต๊ะทำงาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในห้องของมาร์คิน
โครม!
“อานุช! อานุช!”
ตุ้บ!
เสียงโครมครามตามมาด้วยเสียงเรียกของมาร์คิน รั้งท้ายด้วยอะไรหนักๆ หล่นลงพื้น มณีนุชกับพริ้มเพราหน้าตื่น รีบวิ่งเข้าไปในห้องของบอส กล่องผ้าไหม ที่พริ้มเพรานำเข้ามาหาใช่กล่องของขวัญ แต่เป็นกล่องอะไรสักอย่างที่ทำให้เจ้าตัวต้องยกมือปิดปาก
“มาร์?...มาร์!?” มณีนุชวิ่งไปที่หลานชาย มาร์คินนั่งเค้เก้กับพื้น ใบหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือดชัดเจน สองตาเขาจ้องมองสิ่งที่กลิ้งออกมาจากกล่อง มันคือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัวจ้ำม่ำ สูงราวหนึ่งศอกแต่ถูกจับดัดร่างให้ศีรษะชนกับเข่า ลูกตาข้างหนึ่งหลุดจากเบ้ากระเด้งออกมา สองมือถูกมัดรวบไว้ข้างหน้า สองขาก็เช่นกัน ซ้ำยังราดรดด้วยหยดเลือดสดๆ ที่ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว
พริ้มเพรายืนตัวสั่น นี่เป็นการกลั่นแกล้งหรืออะไร ทำไมต้องทำแบบนั้นกับตุ๊กตาน่ารัก ที่สำคัญก็คือ ทำไมสิ่งที่มัดข้อมือข้อเท้าของตุ๊กตา ต้องเป็นริ้วผ้าไหมสีฟ้าด้วย
“เก็บไปพริ้ม เก็บมันออกไปเดี๋ยวนี้!”
“คะ? ค่ะๆๆ เก็บเดี๋ยวนี้ค่ะ” พริ้มเพราจับตุ๊กตาโยนเข้ากล่องด้วยสองมือที่มีผ้าเช็ดหน้ารองไว้ มือเธอสั่นแต่ไม่อาจยุติการกระทำ เธอต้องเอามันออกไปให้ห่างสายตาเขา สีหน้าของมาร์คินตอนนี้น่าสงสารเหลือเกิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ภาพการเสียชีวิตของมารดาและภรรยาคงกำลังฉายชัดอยู่ในหัวเขากระมัง คุณพระช่วยด้วยเถอะ ใครเล่นอะไรแบบนี้!
พริ้มเพราเอากล่องออกไปข้างนอกแล้วรีบกลับเข้ามา หน้าตายังตื่นๆ
มณีนุชพยุงหลานชายไปนั่งโซฟา เหมือนมาร์คินไม่มีสติ สองมือกำหมัดแน่นจนโลหิตมิอาจหมุนวน สองตายังจ้องอยู่แต่ตำแหน่งที่มีกล่องตุ๊กตาวางอยู่ จ้องมันทั้งที่ตรงนั้นไม่มีสิ่งใดอีกแล้วนอกจากความว่างเปล่า
“มาร์! ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ อย่าทำแบบนี้ อาขอ มาร์!” มณีนุชพยายามเรียกสติหลาน ทั้งบีบเนื้อบีบตัวให้เขารู้สึก กล้ามเนื้อเขาเกร็งไปหมด เกร็งจนแข็งเหมือนเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น “มาร์!?”