บทที่ 4
ผู้ชายของพริ้ม
รถยนต์คันหรูเข้าจอดหน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า มณีนุชดูจากสภาพแวดล้อมรอบข้างก็เห็นว่าไม่เลวนัก ราคาคงอยู่ในระดับกลางๆ พริ้มเพราคงเช่าที่นี่เพราะว่าสะดวกในการเดินทางกระมัง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ สวัสดีค่ะ” พริ้มเพราขอบคุณแล้วร่ำลา ไม่ได้เชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ขึ้นไปดื่มน้ำสักอึกบนห้อง ด้วยเกรงว่าห้องเล็กๆ เท่ารูหนูจะไม่คู่ควร
มณีนุชพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเคลื่อนรถจากไป เลขาขี้เมาจึงได้เดินเข้าไปในตึกหกชั้นอันเป็นที่ตั้งของห้องพัก เธอสามารถเดินผ่านเข้าไปข้างในได้โดยไม่ต้องใช้คีย์การ์ด ในเวลากลางวันเช่นนี้ เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูค้างไว้ เพื่อสะดวกในการขึ้นลง เธอเคยค้านเรื่องนี้กับผู้ดูแลตึก แต่ว่าเธอก็แค่ผู้เช่าตัวน้อย มีปากมีเสียงได้ไม่มากนักหรอก
“ชั้นสามไม่มีลิฟต์ ฉันต้องขึ้นชั้นสาม!” บ่นพลางลากสังขารตัวเองขึ้นไปตามขั้นบันได ได้แต่ถอนหายใจพรืดๆ เรื่องที่มณีนุชเล่าให้ฟังยังตามมาหลอกหลอน เธอไม่เคยเห็นศพของสองคนนั้น แต่ทำไมถึงได้วาดภาพน่ากลัวในหัวได้ชัดเจนนักก็ไม่รู้
แกรก!
เสียงปลดล็อกดังขึ้นเมื่อกุญแจถูกสอดเข้ารูลูกบิด ทว่ายังไม่ทันได้ผลักประตูเข้าไป เพื่อนสาวทั้งสองก็เยี่ยมหน้าออกมามอง กุ้งนางพักอยู่ห้องตรงข้าม ส่วนกมลศักดิ์พักอยู่ห้องเยื้องออกไป ทั้งสองทำงานราชการ กุ้งนางเป็นครูสอนหนังสือ ส่วนกมลศักดิ์เป็นเจ้าหน้าที่งานเอกสารที่อำเภอ
“อีพริ้ม!!” สองสาวร้องขึ้นพร้อมกัน
พริ้มเพรารีบผลักประตูเข้าห้อง แต่ไม่ทัน สองเพื่อนซี้ขาโหดสามารถแทรกตัวเข้ามาทันก่อนที่ประตูจะปิดสนิท
“อีเลว! อีชะนีหื่น! ไปนอนที่ไหนมาอีกแล้วยะ!”
พริ้มเพราทำหูทวนลม เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงราวกับว่าชาตินี้จะไม่ได้ทำอีก
“พริ้ม! ลุกมาก่อน แกหายไปไหนมา ลุกมาเล่าเดี๋ยวนี้ พวกฉันห่วงแกนะเว้ย”
กุ้งนางท้วงท่าทีของเพื่อนรัก เท้าสะเอวรอเอาเรื่องพริ้มเพราที่หน้าเตียง กมลศักดิ์ก็ด้วย สตรีในร่างบุรุษจ้องคนบนเตียงราวกับว่าอีกฝ่ายคือลูกสาว ไม่ใช่เพื่อน
“ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันอยากจะบ้า! ฮือ...”
“พอๆๆ เลิกโวยวายเป็นชะนีเด็กน่ารำคาญ ตกลงว่าหายไปไหน”
พริ้มเพราไม่มีทางเลือก จำต้องลุกมาเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง สองสาวรีบมานั่งข้างๆ ทั้งรอฟังด้วยใจจดจ่อ
“คืนก่อนฉันเมามาก ก็เลย...โดนใครลากไปก็ไม่รู้” เธอเริ่มต้นเล่า คนฟังทั้งสองครางฮือ ตาเบิกโต อ้าปากค้าง “แล้วฉันกับเขาก็แบบว่า...เอ่อ...แบบนั้นแหละ”
เอื๊อก!
เสียงกมลศักดิ์กลืนน้ำลาย พริ้มเพราอยากขำแต่ขำไม่ออก
“แล้วไงต่อ” กุ้งนางอยากรู้
“ก็แค่นั้น...” พริ้มเพราเหล่มองเพื่อนซี้ ไม่ได้เล่าด้วยซ้ำว่าตัวเองไข้ขึ้นจนต้องแอดมิตที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่นา ขืนเล่าขึ้นมาอพวกนางได้เทศนาเธออีกที่ไม่โทรมาบอก
“อีนี่! ไม่ได้ ต้องเล่าอีก เล่ามา!” กมลศักดิ์ทวง
พริ้มเพรากะพริบตาปริบๆ “ทำไมต้องเล่าวะ พวกแกรู้แค่นี้ก็พอ”
“ม่ายพอ!!”
สองสาวร้องขึ้นพร้อมกัน พริ้มเพราอยากจะร้องไห้ “ก็มันมีแค่นั้นนี่นา”
กมลศักดิ์ขัดใจนัก นางจะหมกเม็ดเพื่ออะไร อุตส่าห์ได้เปิดซิงก่อนสามสิบทั้งที เล่ามาเถอะ กะเทยอยากรู้
“แค่นั้นอะไรยะ เล่ามา เป็นไง ดีไหม แซ่บไหมแก” กะเทยถามแล้วรอฟังในขณะที่กุ้งนางยกมือปิดหน้า อยากรู้แต่อดเขินไม่ได้
“อือ...ก็...ก็แซ่บอยู่”
“อ๊ายยย!!!” สองสาวกรีดร้องพร้อมกัน
“จริงเหรอ แล้วเป็นไง เขาทำแก...ท่าไหนบ้าง” กุ้งนางถามแล้วหาหมอนมากัด ตอนนี้ทั้งกลุ่มคงเหลือแค่เธอที่ยังโสดสนิทแถมซิงอีกต่างหาก
“บ้า...นังกุ้งนี่”
“ไม่ต้องมาทำเขิน ตอบมานะเว้ย ถือซะว่าสงเคราะห์เพื่อนคนสุดท้ายที่ยังปักตะไคร้ไล่ฝนได้ แกต้องเล่า”
“ใช่ อย่ามาทำอิดออดน่ารำคาญ จะอายเพื่ออะไรอีหอยหลอด!”
พริ้มเพราจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะหน้าบึ้งก็ไม่ใช่ มือข้างหนึ่งเริ่มบิดผ้าปูเตียง บิดเสียจนมันเริ่มยับ “โธ่...นังกิ๊บ! ใครจะไปโชกโชนเหมือนแกล่ะ”
“นั่นแหละๆ แล้วอะไรยังไง ท่าไหนบ้างยะ”
“ก็...เอ่อ...ทุกท่า”
“อ๊ายยย!!!”
สองสาวกรี๊ดพร้อมกันอีกรอบ กุ้งนางฟินจนหมอนแทบขาด นางกัดจริงจังมาก
“พอแล้ว ไม่เล่าแล้ว ชะนีอาย...ไว้ชีวิตฉันเถอะนังกิ๊บ แค่นี้ฉันก็จะตายแล้ว”
“หมายความว่าไง นี่แกกับเขาไม่ได้เสร็จจบแล้วแยกทางใช่ไหม”
พริ้มเพราไม่รู้จะตอบกะเทยอย่างไรดี ถ้าไม่ซักจนขาวสะอาดไม่มีวันที่นังกิ๊บจะยอม “ก็...ไม่รู้สิ ฉันก็งงกับชีวิตอยู่ โอ๊ย! ปวดกบาล” ว่าแล้วตบหน้าผากแรงๆ เรื่องราวมันพัวพันในหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด
กุ้งนางเอื้อมมือมาตบหลังมือเพื่อนเบาๆ ให้กำลังใจ “ถ้าเขาดีก็คบกับเขาเถอะ เราไม่ใช่วัยรุ่นนะเว้ย เลือกมากเดี๋ยวคานถามหา แค่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ฐานะพอใช้ก็เอาๆ ไปเถอะ ดีกว่าแห้งเหี่ยวรอเฉาตายเหมือนฉัน”
พริ้มเพรายิ้มแหยๆ คำปลอบของเพื่อนไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย มาร์คินไม่ได้แค่หน้าตาดี แต่เขาหล่อเหลาและรวยมาก ที่สำคัญก็คือ เขามีบางอย่างที่น่ากลัวจนเธอไม่อยากเข้าใกล้อีกแล้ว