รุ่งเช้า วันถัดมา
พริ้มเพราปรือตาขึ้นมองฝ้าเพดาน อาการปวดศีรษะรุมเร้าจนแทบระเบิด ทว่ายังไม่เท่าร่างกายทุกสัดส่วนที่ร้าวระบมอย่างที่สุด เธอนอนนิ่งๆ เพื่อรวบรวมสติ ถึงจะเมาแค่ไหนแต่จำได้เสมอว่าเมื่อคืนทำอะไรมาบ้าง และพอนึกออกว่าทำอะไรลงไป ก็หันมาหาคนที่นอนอยู่ข้างกัน แขนข้างหนึ่งของพ่อเทพบุตรรูปงามวางพาดอยู่ที่เอวของเธอ
“คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ แกนอนกับใครวะนังพริ้ม!” ถามตัวเองหนักๆ แต่เสียงเบาเพียงกระซิบ จับแขนเขาออกจากเอวท่ามกลางเสียงอืออาไม่พอใจของคนที่ยังหลับ
พริ้มเพราลุกมานั่ง ตรงนั้นที่บอบช้ำรุนแรงมันเจ็บเกินจะกล่าว กายเนื้อเปล่าเปลือยยังมีรอยจ้ำช้ำเลือดจากการถูกดูดดึงด้วยริมฝีปาก มองแล้วให้ใจหาย อุตส่าห์ถนอมความสาวมาตั้งยี่สิบแปดปี สุดท้ายมาเสียให้กับใครก็ไม่รู้
“บ้าบอที่สุด แต่เอาวะ หน้าตาดีลีลาเด็ด อภัยให้ก็ได้ เฮ้อ..” เอ่ยกับตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้ แม้จะเจ็บปวดกับบทรักในครั้งแรก แต่ยอมรับว่าบุรุษที่นอนอยู่ข้างๆ ทำให้เธอได้รู้ซึ้งถึงรสรักอันซาบซ่าน รสชาติแห่งราคะที่กลมกล่อมเกินจะกล่าว เสียอยู่อย่างเดียว เธอไม่รู้แม้แต่ชื่อของเขา แต่ใครสนกันเล่า เธอไม่อยากรู้สักนิด และเธอควรจะไปจากที่นี่เสียที ก่อนที่เขาจะตื่นและเรื่องยุ่งยากจะตามมา
“เสื้อ? เสื้ออยู่ไหนวะ” ถามตัวเองแล้วย่องหาเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้ง ทุกย่างก้าวที่เคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความเจ็บที่ใจกลางกายสาว ได้แต่กัดฟันแล้วแลหาสิ่งที่ควรจะเจอ เธอได้ชุดดำเจ้าปัญหามาถือไว้พร้อมกับเสื้อชั้นในแบบเกาะอก ทว่ากางเกงชั้นในนั้นยังหาไม่เจอ หันไปมองพ่อเทพบุตรสุดหล่อแล้วหัวใจจะวาย เขาครางอืออาราวกับรำคาญเสียงเดินของเธอ
“อย่าเพิ่งตื่นเลยนะ ขอร้องล่ะ ฉันกำลังจะไปแล้วจริงๆ” ภาวนาด้วยเสียงกระซิบแล้วเร่งรีบสวมชุดโดยมิได้สวมชุดชั้นใน
“อือ...บอกทีคนสวย ไม่ใช่จะหนีใช่ไหม”
เสียงอู้อี้ของบุรุษฉุดพริ้มเพราให้หันไปมอง หญิงสาวหน้าแดงซ่านเมื่อคนที่คิดว่าหลับกลับลุกขึ้นมานั่ง แผงอกขาวๆ ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอะร้าอร่ามท่ามกลางแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
“เอ่อ...คือว่า...ฉัน เอ่อ...ฉันต้องรีบไปทำงาน และมันอาจจะสายถ้าฉันอยู่ต่อ” ตอบแล้วดึงชายเดรสสั้นให้มันคลุมสะโพกผาย แต่น่าเสียดายที่มันสั้นจนดึงลงมาไม่ได้แล้ว บุรุษหน้าขาวคมเลยได้ยลขาอ่อนเนียนๆ เต็มสองตา
“จะทิ้งกันง่ายๆ เลยเหรอ อย่างน้อยให้ผมได้รู้จักชื่อของคุณหน่อยสิ แม่สาวพรหมจรรย์” เขาเอ่ยเหมือนล้อเพราะมีรอยยิ้มที่มุมปาก
พริ้มเพราอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แน่ล่ะ นี่มันปีสองพันสิบแปดนะ และเธอคงเป็นสาววัยยี่สิบแปดเพียงคนเดียวที่ยังครองพรหมจรรย์ อ้อ...ไม่สิ เธอไม่มีแล้วพรหมจรรย์นั่นน่ะ เขาพรากมันไปแล้ว ด้วยความยินยอมพร้อมใจของเธอเอง
“ฉันคิดว่าเราอย่ารู้จักกันเลยจะดีกว่า” หันมาเจรจากับเขาดีๆ อย่างน้อยการคุยกันด้วยเหตุผลก็เป็นส่วนหนึ่งของการคบกันแบบผู้ใหญ่ ถ้าวันนี้เธออยากให้ทุกอย่างจบที่นี่ เธอก็ควรใช้สติมากกว่าอารมณ์
“แต่ผมอยากรู้ ผมชื่อมาร์คิน และดีใจอย่างยิ่ง ที่ได้อยู่บนเตียงพร้อมกับคุณเมื่อคืน” เขาไม่ว่าเปล่าๆ แต่ลุกจากเตียงมาเผชิญหน้า
หญิงสาวอ้าปากค้าง ตัวชาแข็ง เขามิได้สวมอาภรณ์ใดๆ นอกจากชุดวันเกิด
“อ่า...เหรอคะ เอ่อ...ฉะ...ฉัน ฉันว่ามันน่าอายที่ผู้หญิงอายุยี่สิบแปดอย่างฉันยังไม่เคยนอนกับใครและ...”
คำพูดของพริ้มเพราหยุดชะงักเมื่อเขาขยับเข้ามาประชิดร่าง ดึงเธอเข้าไปแนบชิด จงใจให้ร่างเธอเบียดกับแผงอกอุ่นร้อน และบางสิ่งที่เบื้องล่างซึ่งร้อนยิ่งกว่าวางนาบเข้าที่หน้าท้องของเธอพอดิบพอดี...สถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว
“คุณดูไม่เหมือนคนอายุยี่สิบแปด และช่วยบอกผมทีที่รักว่าคุณชื่ออะไร”
เขาไล้นิ้วหัวแม่มือร้อนๆ บนกลีบปากล่างของพริ้มเพรา คลึงมันเบาๆ แต่เร่งเร้าโลหิตในกายสาวให้เดือดพล่าน
“เอ่อ...ไม่ต้องรู้จะดีกว่านะ” พริ้มเพราบอก กลืนน้ำลายอย่างประหม่าเมื่อมืออีกข้างของเขาเลื่อนมาวางแหมะบนสะโพก ทั้งบีบขยำแรงๆ มิเพียงเท่านั้น เขายังดึงชุดสวยของเธอขึ้นมาถึงสะเอว แล้วลูบไล้บั้นท้ายเปล่าเปลือยของเธออย่างอาจหาญ
“ผิวคุณนุ่มเหลือเกิน”
“ไม่ค่ะ เราไม่ควรจะทำแบบนี้อีก เมื่อคืนฉันเมาและมันเป็นอุบัติเหตุ ฉันว่าพอแค่นี้จะดีกว่า อ๊ะ!” หลุดเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อนิ้วร้อนๆ ของบุรุษแปลกหน้าเข้ารุกรานใจกลางบุปผาสวรรค์ เขาเหมือนซาตานร้ายที่รู้ทุกจุดสุดสยิวของอิสตรี เล้าโลมไม่นานคนที่ไม่เคยพบเจอรสราคะก็ตัวอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ยอมให้บุรุษรูปงามอุ้มขึ้นเตียงอีกครั้ง
“โอเค ฉันทำอีกครั้งก็ได้ แค่ครั้งเดียวนะมาร์คิน แค่ครั้งเดียว”
“จะไม่ลืมพระคุณเลยที่รัก หึๆ”
แล้วมาร์คินก็พาที่รักของเขาดำดิ่งสู่ห้วงแห่งราคะอีกครั้ง แม้ไร้หัวใจรักแต่สองร่างกลับสมัครสมานสามัคคี พากันเสพสมรสรักอย่างเร่าร้อน ฝากฝังรสเสน่หาราวกับว่าอยากให้อีกฝ่ายจดจำ...มิลืมเลือน