บทที่ 5 ข้อสงสัย
หลังจากหย่ากับไพลินทร์วันนั้น ชายหนุ่มก็ไม่กลับไปเหยียบที่บ้านอีกเลย ด้วยไม่สามารถทนมองดูภาพในอดีตได้ เมื่อเช้าเลขาโทรมาบอกว่าหญิงสาวได้ส่งคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาให้มาที่บริษัท ไม่ว่าจะเป็นสินสอด คอนโดและเงินสด เธอไม่ยอมรับของที่เขาให้เลยสักนิดรวมทั้งแหวนแต่งงานด้วย
มือหนาปาดน้ำตาบนใบหน้าออก ความเจ็บปวดกัดกินใจทีละน้อย ๆ หากใครไม่โดนเหมือนเขาคงไม่เข้าใจความรู้สึกว่ามันเจ็บปวดขนาดไหนที่มาโดนคนรักหักหลัง
เขาไม่ดีตรงไหน ทำไมเธอถึงทำกับเขาแบบนี้ หรือตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่เธอแสดงออกมาคือเรื่องหลอกลวงทั้งหมด
“ฮึก! หนูจ๋า...เธอมันนังมาร ขนาดทำลายหัวใจฉันจนย่อยยับ ทำไมฉันยังคิดถึงเธออีก” ขวดเหล้ามากมายที่วางเกลื่อนพื้น ถูกมือหนายกขวดที่ยังเหลืออยู่มากรอกปากครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อลืมเรื่องราวต่าง ๆ ลบภาพคืนในวันนั้นให้ออกไปจากสมอง
เพื่อน ๆ ของเมฆาและไพลินทร์เมื่อทราบข่าวว่าทั้งสองหย่ากันด้วยสาเหตุอะไรต่างตกใจและตั้งข้อสงสัย ว่าคนอย่างหนูจ๋านั้นไม่มีวันทรยศเมฆาแน่นอน
ทุกคนต่างพยายามติดต่อหาหญิงสาวแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อโทรไปหากัลยาก็เป็นเช่นเดียวกัน พอไปหาที่ทำงานเพื่อนร่วมงานบอกว่าทั้งสองคนลาออกไปแล้วและที่คอนโดก็ได้ประกาศขาย เมื่อไปหาที่บ้านของคุณลุงคุณป้าปรากฏว่าทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ถึงยังไง ก็ไม่มีใครปักใจเชื่อว่าหญิงสาวมีชู้อย่างที่เมฆาบอก อีกอย่างคุณหญิงรัตนาก็ไม่ชอบหน้าไพลินทร์เป็นทุนอยู่แล้ว ไม่แปลกที่เธอจะถูกใส่ร้าย
*******
“เฮ้อ! นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ กูยังตามหาหนูจ๋ากับน้องกุลไม่พบเลย”
ไตรรัตน์ถอนหายเฮือกใหญ่ หลังเขาและภาคภูมิออกตามหาหญิงสาวและกัลยาเพื่อถามเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่พบเลยต้องกลับมานั่งคิดว่าทั้งสองไปอยู่ที่ไหนกัน
“ใจเย็น ๆ มึง ตอนนี้ไม่ใช่แค่หนูจ๋ากับน้องกุลที่หายไป ไอ้เมฆก็ไม่ยอมโผล่หัวออกมาเลยว่ะ งานก็ไม่ไปทำเอาแต่กกอยู่ในคอนโดทั้งวันทั้งคืน” ภาคภูมิส่ายหัวกับพฤติกรรมของเมฆาหลังหย่ากับอดีตภรรยา
“กูหมดหนทางจริง ๆ ว่ะ ไม่รู้จะช่วยหนูจ๋าให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหานี่ยังไง” เจ้าของผับชื่อดังพูดอย่างหมดหวัง
“มึงบอกว่าไอ้เมฆรู้ตั้งนานแล้วว่าหนูจ๋าคบชู้ แต่มันไม่เคยจับได้ มีเพียงแค่รูปถ่ายที่คุณหญิงป้าเอามาให้ และวันที่เกิดเรื่องท่านก็เป็นคนโทรไปบอกว่าน้องพาชู้มานอนที่บ้าน มึงไม่สงสัยหรือไงว่าทำไมถึงไม่ห้ามหนูจ๋าที่พาผู้ชายเข้าบ้าน” ชายหนุ่มยังคงตั้งข้อสงสัย
“อือ ก็น่าสงสัยอย่างนี้ว่า แต่...ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานอะไร อีกอย่างนั้นแม่ของไอ้เมฆนะมึง กูไม่อยากถอนหัวงอกคนแก่ว่ะ แต่ถ้าทำให้หนูจ๋าพ้นมลทินได้กูยอม” เจ้าพ่อสถานบันเทิงลูบคางอย่างใช้ความคิด ที่ภาคภูมิพูดมามันมีความเป็นได้มากทีเดียว
“เอาแบบนี้ไหม โทรตามไอ้ปราบ มันอาจช่วยพวกเราสืบได้ มึงอย่าลืมนะ...หนูจ๋าเป็นน้องสายรหัสเดียวกับมัน และไอ้ปราบมันก็เอ็นดูและรักหนูจ๋าเหมือนน้องสาว”
“งั้นกูโทรตามมันมาเลยแล้วกัน ส่วนไอ้เมฆปล่อยให้ทำใจไปก่อน ไม่ใช่ว่ากูไม่สงสารมันนะ กูโคตรสงสารเลยว่ะที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ กูอยากรู้จริง ๆ ว่าจิตใจของคุณหญิงป้าทำด้วยอะไรถึงทำแบบนี้ แล้วยังหาเมียใหม่รุ่นเด็กให้ไอ้เมฆอีก”
“เมียเด็กเหรอ เดี๋ยวเรื่องนั้นกูจัดการเอง แต่เมียเด็กที่มึงบอกยังไม่จบมัธยมเลยนะมึง” ภาคภูมินึกถึงเด็กสาวที่มารดาเมฆาต้องการเป็นสะใภ้ ทั้งที่เด็กคนนั้นอายุแค่ 18 เอง
“เออ! คุณหญิงป้า แม่ง! ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนมาคิด กูฝากมึงคอยดูด้วยแล้วกัน อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นยังเด็กอยู่ มึงอย่าไปทำอะไรวู่วามล่ะ” ต้องพูดเตือนมันไว้ก่อน กลัวว่ามันจะไปทำเรื่องขึ้นมา
“เออน่า! กูจะคอยดูห่าง ๆ แล้วกัน”
อีกคนก็รับปากส่ง ๆ แต่จริง ๆ ในใจกลับคิดแผนการมากมาย เพราะเด็กคนนั้นเขาเคยเจอบ้างตามงานเลี้ยง ดูแล้วไร้เดียงสา ใสซื่อตามประสาเด็ก
ไตรรัตน์เดินออกไปโทรหาเพื่อนสนิทอีกคนเพื่อช่วยตามหาความจริงให้ไพลินทร์ แม้มันจะลำบากไปหน่อยก็ตาม เพราะคุณหญิงรัตนาคงไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้และผู้ชายคนนั้นก็หายตัวเข้ากลีบเมฆ
เมื่อจัดการโทรคุยกับปราบภพที่ทำธุรกิจรีสอร์ตอยู่ที่เชียงใหม่เรียบร้อย มันก็เตรียมตีตั๋วมากรุงเทพทันที เพราะไม่มีทางเชื่อว่ารุ่นน้องคนนี้จะเป็นคนแบบนั้น ทำให้ไตรรัตน์และภาคภูมิต้องหยุดงานทุกอย่างเอาไว้ เพื่อจัดการสืบหาความจริงทั้งหมดมาหักล้างมลทินให้กับหญิงสาวให้ได้
ไตรรัตน์ติดต่อหาเลขาคนสนิทของเมฆาเพื่อต้องการอะไรบางอย่างที่คุณหญิงส่งไปให้ที่บริษัท นี่แหละคือสิ่งที่เขาสงสัย ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้เมฆาดูรูปถ่ายที่บ้าน แต่ต้องส่งไปให้ดูที่บริษัท ยังดีหน่อยที่เลขาของมันเก็บทุกอย่างไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
ตอนนี้เขาต้องการแค่อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร จะได้ตามหากันสะดวก ตามคำแนะนำของปราบภพ เพราะมันเคยร่วมงานกับตำรวจมาหลายครั้ง
********
วันต่อมา ไตรรัตน์และภาคภูมิไปรับปราบภพที่สนามบินดอนเมืองสองหนุ่มต่างเป็นที่จับตามองของผู้โดยสาร ด้วยร่างสูงกำยำทำให้แตะตาสำหรับใครหลายคน
“ทางนี้ไอ้ปราบ” ภาคภูมิโบกมือเรียกเพื่อนคนสนิทที่กำลังเดินออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า
ร่างสูงกำยำใบหน้าคมสัน นัยน์ตาเฉี่ยวคมเหมือนพญาอินทรี คิ้วหนาได้รูป ปากสีแดง และด้วยความสูง 180 เซนติเมตร ทำให้เจ้าพ่อคนดังของเมืองเชียงใหม่ดูเป็นผู้ชายน่าเกรงขาม
“ไงพวกมึง!” ปราบภพทักทายเพื่อนรักทั้งสองที่มารอรับ ถ้าไม่ใช่เรื่องของไพลินทร์เขาไม่มีทางรีบแบบนี้แน่นอน แต่นี่เป็นเรื่องของน้องสาวที่เขารักมากที่สุด ถึงไม่ใช่น้องแท้ ๆ แต่เขาก็รักและเอ็นดูไพลินทร์ และเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่รู้ประวัติชาติกำเนิดที่แท้จริงของเธอ
เขาเคยเตือนคุณหญิงป้าแล้วว่าอย่าไปยุ่งหรือกีดกันความรักของทั้งสองมากเกินไป พอเมื่อวานไตรรัตน์โทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็รีบจัดการเคลียร์งานที่รีสอร์ตให้เสร็จเพื่อมาที่กรุงเทพในเช้าวันนี้เลย
“มึงสบายดีนะไอ้ปราบ” ชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปกอดปราบภพไว้แน่น เหมือนที่ทำกันประจำ
“ก่อนหน้านี้กูสบายดีว่ะ แต่ตอนนี้กูอยากฆ่าไอ้เมฆมาก มึงพากูไปหามันเดี๋ยวนี้!” ปราบภพบอกอย่างโมโห ตอนนี้อารมณ์เขาเดือดปุด ๆ และพร้อมระเบิดออกมา
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนสิวะ อย่าวู่วาม ตอนนี้ไอ้เมฆสภาพแม่งไม่ต่างอะไรกับซากศพเลยว่ะ กินเหล้าแทนข้าวและยังไม่ออกไปทำงาน” ไตรรัตน์บอก ขืนพาปราบภพไปหาเมฆาตอนนี้มีหวังได้มีเลือดตกยางออกแน่
“สมน้ำหน้ามัน! กูไม่สงสารหรอกนะ! มันทำให้น้องสาวกูต้องเสียใจ ทั้งที่มันสัญญาไว้แล้วแท้ ส่วนคุณหญิงป้า แม่ง! เหี้ยมาก กูเตือนไปแล้วว่าคนอย่างหนูจ๋าไม่ใช่ไก่กา ที่จะมาหาเรื่องได้” ปราบภพสถบออกมาอย่างไม่พอใจและดันเผลอพูดบางอย่างที่สำคัญออกมา
“หมายความว่ายังไง มึงรู้ใช่ไหมว่าหนูจ๋ากับน้องกุลเป็นใครมาจากไหน” ไตรรัตน์หรี่ตามองปราบภพอย่างจับผิด ไม่มีทางเชื่อว่ารุ่นน้องทั้งสองเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เพราะเขาเคยเห็นสร้อยบางอย่างที่สองสาวสวมใส่เป็นประจำ ซึ่งทำมาจากเพชรน้ำดี ไม่มีทางแน่ ๆ ที่มนุษย์เงินเดือนจะมีปัญญาซื้อแน่นอน
“หึ! รู้สิ รู้ดีด้วย เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่พวกมึงจะรู้เท่านั้น กูรับรองได้เลยว่า คุณหญิงป้ากับไอ้เมฆได้กระอักเลือดตายแน่ ถ้าหนูจ๋าจะเอาคืน” ปราบภพพูดอย่างสะใจ
“ยิ่งฟังกูยิ่งงง มึงเพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ กูว่าไปพักก่อนดีกว่าว่ะ ส่วนเรื่องของหนูจ๋า รอเอกสารสำคัญจากเลขาของไอ้เมฆก่อนแล้วกัน” ภาคภูมิพูดตัดบท ยิ่งพูดก็ยิ่งเครียด
“ก็ได้ว่ะ พวกมึงไปส่งกูที่คอนโดแล้วกัน ขี้เกียจเข้าบ้าน”