ตอนที่ 8
เพราะหล่อนชิงชังรังเกียจเขาไม่น้อย เมื่อ เขา เดินตรงไปยังร่างระหง และ ถือวิสาสะยกเชยคางนวลให้หันมองตรงใบหน้าของเขา
พาลิณีมีความรู้สึกว่าหล่อนเหมือนถูกบังคับ คำรบที่เท่าไหร่แล้วไม่ทราบ ผู้ชายคนนี้กักฬระ ปากว่ามือถึง เขาเห็นหล่อนเป็นเชลย เป็นเหยื่อความแค้นของเขา
หากดวงตาที่พาลิณีสบจ้องตอบเขากลับเหมือนแสงเพลิงที่แรงโรจน์ในคู่หน่วยตาดำขลับทว่าเดือดจัดและร้อนแรงในขณะนี้
รัมธ์ผงะอึ้งนิดหน่อย ที่สาวสวยตรงหน้าของเขา หล่อนตีสีหน้าใส่แบบนี้ แต่สักครู่ ก็ปรับใจปรับอารมณ์ได้ เค้นเสียงดุ เข้าใส่พร้อมกับกวาดสายตามอง
“ท่าทาง คุณอยากจะกินเลือดกินเนื้อของผมเต็มที่ กับอาการที่แสดงถึงชิงชังรังเกียจ”
“ก็รู้ดีนี่ ถ้ารู้แล้วก็อย่าเข้าใกล้ฉัน”
พาลิณีกรีดเสียงเข้ม ตอบกลับไป อย่างไม่หวั่นกลัว กับดวงตาที่ดุจแสงเพลิงผลาญเผาร่างเขาได้เป็นจุณวิจุณหากถ้าทำได้ เขาสัมผัสถึงแววตาที่เกลียดชังของหล่อนได้อย่างร้ายกาจ
“ฮึ”ทำเสียงครางเยาะในลำคอ
“บอกแล้วไง เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งห้ามอะไรฉันทั้งนั้น แม้แต่ว่าฉันอยากจะทำอะไรก็ตาม เหมือนเห็นเธอเป็นหมูหมากาไก่ หรือว่าตัวอะไรก็ตามที่น่าขยะแขยงรังเกียจที่สุด เพราะเชื้อมันก็ไม่ได้ดิบดีอะไรนักหนา”
พาลิณีโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้าสีแก้มของหญิงสาวแดงจัดและผ่าวร้อน เต้นระริกสั่นในหัวใจ กับคำพูดที่โถมถาไม่ปรานีสักนิด
“สัตว์ คุณมันสัตว์เดรัจฉานจริง ที่ทำร้ายผู้หญิงไม่มีทางสู้”
พาลิณีก็อยากจะเถียงเพื่อเอาชนะ กับความเจ็บช้ำที่ขังคลออยู่ในดวงตาของหล่อน
“ทำไม”
เขาคำรามเสียงลั่น มือหนาที่บีบคางและแก้มของหล่อนจึงแรงหนักกว่าเดิม อย่างไม่ปรานี จนพาลิณีรู้สึกเจ็บปวดอย่างหนัก แต่พาลิณีก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ
“อย่ามาเที่ยวขอร้องกับคนอย่างผม ถ้าผมคิดจะปรานีหรือใช้ความเถื่อนทมิฬกับคุณ มันก็เรื่องของผม”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่สัตว์นะ ที่จะต้องถูกจองจำ คุมขังอย่างนี้ ฉันเป็นคน ปล่อยฉันเดี่ยวนี้นะ”
พาลิณีกรีดเสียงเข้มอีกครั้งเฮือกสุดท้ายอย่างที่หล่อนพยายามเค้นออกมาที่สุด เพราะหัวใจเจ็บปวดจากการถูกทรมาน หล่อนสาบานกับตัวเองว่า ถ้าหล่อนหลุดรอดออกไปได้ หล่อนจะเล่นงานเขา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ชนิดที่ดับดิ้นกันไปข้าง
“เอาสิ ด่า ด่าเลย ด่าให้พอ เพราะผมมันพวกดีแตก ด่าเท่าไหร่ไม่เจ็บ”
“ไอ้..” พาลิณีสุดอัดอั้นใจได้ คนอย่างเขามันเหลือรับประทานจริง นี่หล่อนต้องเจอทุกรูปแบบหรือยังไง ทำไมมันช่างเลวร้าย หฤโหดกับชีวิตของพาลิณีเหลือเกิน
แล้วเขาครางเยาะอีก
“งาน ถ้าอยากจะทำ ผมจะหาให้ เอาเป็นพวกคนงานดีกว่า ดายหญ้าหรือไม่ก็กวาดบ้านอย่างแพน”
เขาหมายถึงเด็กรับใช้ของเขาคนหนึ่ง ซึ่งหล่อนรู้จักดี พาลิณีไม่ตอบ แต่หล่อนแทบจะกรีดร้องในใจ ที่งานคนใช้แบบนี้ หล่อนไม่เคยทำ
หากแต่คุณภรณิช เป็นกังวลไม่น้อย กับข่าวที่ทราบว่าหลานสาวหายตัวจากกรุงเทพทั้งๆที่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หล่อนเดาไม่ออกว่าสาเหตุเกิดจากอะไรนึกห่วงพาลิณี แต่หล่อนไม่เคยคิดว่าปัญหานั้นมันใกล้ตัวหล่อน และหล่อนนั่นเองเป็นคนสร้างปมขึ้นมา ตนุสามีของหล่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน
“นี่มันร่วมอาทิตย์แล้วนะครับที่ไม่เจอหลานสาวของคุณ” ตนุถอนใจ เขาพยายามครุ่นคิดเหมือนกัน ด้วยสีหน้าและอารมณ์เครียด คิดเรื่องหนึ่งที่ต้นตอมาจากเขา
แต่ว่าเขายังไม่กล้าเปิดปากในตอนนี้ ประเด็นที่เป็นไปได้ที่สุด เพราะเขาเห็นแววตาที่อาฆาตมาดร้ายของน้องชายอดีตภรรยาแล้ว อดขบคิดต่างๆนานๆไม่ได้ เพราะรัมธ์เคยประกาศเสียงเข้ม หลังจากที่ไม่อนุญาตให้นำตัวลูกชายคนเดียวของเขาไปจากตระกูลนี้
ซ้ำเอ่ยปากถากถางเขา ที่มีสภาพเหมือนหมาจนตรอก ก็ดีเหมือนกัน ที่ลูกอยู่กับฝ่ายน้องชายของภรรยา แม้หล่อนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เขาไม่อยากให้เป็นตะกอนขุ่นค้างใจของสาวใหญ่ที่ชื่อภรณิชหล่อนไม่พอใจอย่างมาก ถ้าเขาพูดถึงอดีตภรรยา
แม้จะทราบว่าเขามีบุตรกับภรรยาคนเก่า แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจ ไม่พยายามถามถึงข่าวคราวครอบครัวของเขาและอดีต นั่นยังพอทำให้ตนุหายใจคล่องได้ บัดนี้เขาครอบครองตัวหล่อนได้หมดแล้ว ไม่ว่าทั้งกายและหัวใจ แต่คนอย่างภรณิชก็ยังอ่านยาก หล่อนไม่ใช่หมูที่เขาจะจับ ขึ้นเขียง ให้ เชือดได้ง่าย สักนิด กว่าจะผ่านด่านมาได้ เขาต้องสู้กับอุปสรรคต่างๆนานาจากพี่ชายของหล่อน แล้วก็ต้องใช้เหลี่ยมเล่ห์กับเสน่ห์
หล่อนยังเป็นกังวลขนาดขมวดคิ้วในเรื่องนี้
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นชะตากรรมของยัยแพม ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
แม้จะไม่ถูกกับหลานสาวนัก เพราะพาลิณีทั้งเย่อหยิ่งและจอมหองเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ประสาลูกสาวคนเดียวที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ แต่ว่าพี่ชายของหล่อนย่อมเป็นเดือดเป็นแค้นมาก ที่บุตรสาวสุดที่รัก อันตรธานจากไปโดยไร้ร่องรอย
ณบ้านพักซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นส่วนตัว อีกทั้งหรูหราด้วยมูลค่าและการตกแต่งประดับ แสงไฟที่สาดพราวอยู่เหนือศีรษะกลางห้องโถงใหญ่ เป็นดวงโคมระย้าฝีมือประณีตและงดงาม หลังจากที่หล่อนนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้กับสามี ภรณิชเพ่งสายตาจับมาที่ตนุครู่หนึ่ง เห็นเขาเงียบกริบ โดยไม่เอ่ยพูดจาก็รู้สึกแปลกใจ
“ตนุ คุณเป็นอะไรไปนี่ จู่ๆก็เงียบ มาเฉยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”
เสียงเรียกของหล่อนทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย แต่พยายามทำให้กลมกลืน ปรับตัวกับพิรุธ
“ดูเหมือนคุณเหม่อลอย คิดอะไรอยู่”
หล่อนเอ่ยถามแล้วแฉลบสายตามาทางเขาอีกครั้ง ตนุรีบปฏิเสธเป็นพัลวันเพื่อกลบเกลื่อนพิรุธในตัว
“เปล่านี่คุณ ผมก็คิดเรื่องการงานบ้าง หมู่นี้มันก็เครียดพอสมควร ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา สองสามวันนี้ มีแต่ปัญหามาให้แก้” เขาทำบ่น
เมื่อเฉไฉเรื่องได้แล้วและนี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของเขาเหมือนกัน ที่ภรณิชจำเป็นต้องเชื่อและคล้อยตาม
หล่อนเงยหน้ามองสามีอีกครั้งด้วยแววตาที่ปรานีมากกว่าเดิม