ของฝากคนไข้

2178 คำ
เสียงลงน้ำหนักเท้าของคนที่ ‘สะกดรอย’ ตามเขามาเบาเกินกว่าจะคิดว่าเป็นผู้ชาย มันเกิดขึ้นหลังจากเขาเดินออกมาจากห้องตรวจทางฝั่งตึกผู้ป่วยนอกได้ไม่นาน หรือเป็นพยาบาลถึงจะเกรงใจแต่คงไม่มีใครเล่นพิเรนทร์แบบนี้แน่ นายแพทย์หนุ่มไม่หันกลับไปมองแต่เลือกเดินให้เร็วขึ้นอีกหน่อยในจังหวะที่พ้นจากบันไดเลื่อนและกำลังเลี้ยวซ้ายไปอีกฝั่งของตึก ได้ผล คราวนี้เสียงฝีเท้าที่คอยตามแบบห่างๆ เปลี่ยนเป็นซอยเท้าเร็วขึ้นเพื่อให้ทันช่วงขายาวของเขา พอเขาหยุดแล้วหันกลับมาถึงพอเดาได้อยู่แล้ว แต่พอเห็นว่าเป็นใคร คนมองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว อีกคืบเดียว แค่อีกคืบเดียวจริงๆ เธอได้ชนเขาอีกรอบ แต่คราวนี้คงได้ลงไปนั่งจับกบบนพื้นให้อายคนทั้งโรงพยาบาลแน่ๆ แม้ไม่ใช่ที่รโหฐาน ถึงตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ก็ไม่ใช่ซอกหลืบที่ลึกลับเกินกว่าใครจะเดินผ่านมาแล้วมองเห็น “ทำไมไม่นอนพักญานิศา ผมจำได้ว่ายังไม่ได้อนุญาตให้คุณออกมาข้างนอก” เป็นโทนเสียงกลางๆ แต่ก็เหมือนเดิมขวัญและกำลังใจที่เคยปลุกปั้นมาของญานิศาตกไปอยู่ที่พื้นแล้วเรียบร้อย “หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ” “คุณเป็นหมอเหรอไง” ถามเสียงเรียบช่างต่างกับประกายไฟเปรี๊ยะๆ ที่ออกมาจากสายตาคนพูด “ไม่ใช่ค่ะ แต่หนูรู้ว่าตัวเองปกติดีแล้ว” รู้หรอกว่าอาจารย์หมอท่านประชดประชันไม่ได้ถามเพื่อให้ตอบ แต่เธอก็ปากไวเถียงเขาออกไปแล้ว!! ญานิศาแทบอยากยกมือขึ้นตบปากตัวเอง ยัยเอมต้องฟินจัดจนต้องร้องขอชีวิตแน่ๆ ถ้าต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบเธอ แต่สำหรับญานิศามันไม่ฟินเลยสักนิดที่ต้องมาอยู่ในรัศมีพิฆาตแบบนี้ กว่าจะจัดการให้ทุกอย่างลงไปอยู่ในท้องก็เกินตีหนึ่งไปหลายสิบนาที ญานิศาฝืนยิ้มให้พยาบาลตรงเคาน์เตอร์ด้านนอกที่อาจารย์ดลวัฒน์ฝากให้ดู (คุม) เธอเอาไว้ให้กินให้หมดอย่าให้แอบเอาไปทิ้ง จากตอนแรกหิว ตอนนี้เธออิ่มจนแทบจะอืด หลังจากเดินเอาขยะไปทิ้ง ล้างมือในห้องน้ำ เธอเดินเข้าไปเคาะประตูหน้าห้องตรวจอาจารย์ดลวัฒน์ที่อยู่ด้านในสุด บรรยากาศวังเวงเพราะตรงนี้เป็นส่วนผู้ป่วยนอก ในเวลากลางคืนจะไม่มีคนไข้ ทำให้ใจเธอเริ่มหวิวเพราะกำลังคิดถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายความมีตัวตนได้ พลังงานรูปแบบนี้เขาว่ากันว่ามักเดินเพ่นพ่านกันอยู่ในโรงพยาบาลสวนกันไปมากับผู้คน เพียงแค่ว่าคนเหล่านั้นมองไม่เห็น!! “ว๊าย อุ๊บส์!!” ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ๆ ประตูที่เคาะไปตั้งนานจนคิดว่าคนในห้องแอบหลับไปแล้วถูกเปิดออกมา ญานิศายกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน เมื่อสายตาดุๆ ของคนที่เธอมโนว่าแอบเข้าไปงีบมองมา การปรามทางสายตาของเขาแปลความหมายเป็นคำพูดได้ประมาณว่า ‘เธอจะเสียงดังโวยวายไปทำไม’ “หนูกินหมดทุกอย่างตามที่อาจารย์สั่งแล้วค่ะ” …อิ่มมากจนท้องจะแตก ประโยคหลังเธอต่อเอาเองในใจ เกรงว่าถ้าพูดออกไปจะโดนกินหัวแล้วเอาร่างหมกไว้ในโรงพยาบาล “ก็ดีแล้ว” น้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใส่ใจนั้น ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าเหวอ แล้ว… แล้วจะยังไง!! ตากลมตื่นมองตามแผ่นหลังกว้างของอาจารย์หมอที่บอกอย่างมึนๆ แล้วเดินหันหลังกลับไป เขาไม่ได้เรียกให้เธอเข้าไปด้วย แต่ประตูที่ถูกเปิดกว้างเอาไว้ ดูเหมือนเขาจะกำลังเก็บของ… ตะ…แต่เก็บของเหรอ อาจารย์ยังไม่ได้คุยเรื่องรายงานกับเธอเลยนะ!! “อาจารย์คะ แล้วรายงานหนู…” “ตีหนึ่งครึ่งมันใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องงานกันไหมญานิศา” เสียงเนือยๆ ของเขาบอกออกมา… แล้วทำไมกลายเป็นเธอที่เสียมารยาท ?? “แต่อาจารย์คะ” คราวนี้ญานิศายอมเสียมารยาท เขาสั่งให้เธอนั่งรอจนตอนนี้มันตีหนึ่งกว่า บังคับให้ช่วยกินของฝากคนไข้จนท้องจะแตก แล้วจะมาบอกว่า… “นี่ยาของคุณ เป็นพวกวิตามิน ส่วนยาแก้แพ้ผมปรับให้ ถ้ากินแล้วดีขึ้น ผมคิดว่าคุณคงรู้ว่าควรมาพบแพทย์อย่างจริงจังมากกว่าไปซื้อยากินเอง” ตอนอาจารย์ดลวัฒน์หันกลับมาเธอเพิ่งเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขาไม่ใช่เอกสารแต่เป็นถุงยาที่เขาส่งมาให้ แถมคุณหมอยังดุเสียงเรียบ “สุขภาพคนเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะญานิศา” แม้น้ำเสียงที่เขาใช้จะราบเรียบไม่แสดงความห่วงใย แต่มันมีความเอื้ออาทรแฝงอยู่ในนั้น ญานิศายกมือไหว้ แล้วยื่นมือไปรับถุงนั้นมา “ขอบคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ” “ส่วนเรื่องรายงาน ผมไม่สั่งงานนักศึกษานอกเวลาราชการ เดี๋ยวเช้าวันอังคารคุณค่อยมารับใบคำสั่งรายงาน ผมมีออกตรวจคนไข้ตอนเช้า แต่จะฝากเลขาภาควิชาเอาไว้ให้” “ค่ะ” ญานิศารับคำทั้งที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาสั่งให้เธอนั่งรอจนถึงตีหนึ่งกว่า เพราะถ้าเรื่องมีเท่านี้แทนที่จะพูดกันให้รู้เรื่องแค่ไม่กี่คำแล้วอนุญาตให้กลับไปตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยงคืน ใบหน้างอง้ำของเด็กสาว ดลวัฒน์คิดว่าตัวเองรู้สาเหตุดีว่าเพราะอะไร แต่เขาทำเป็นไม่ใส่ใจ “แล้วนี่จะกลับยังไง” เพราะไม่อยากเถียงกับเด็กดื้อ คนเผด็จการเลยเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น มีรอยกังวลปรากฏชัดเจนอยู่ในแววตาคู่ใสแจ๋ว แต่สุดท้ายญานิศาก็เลือกตอบออกไปตามความเป็นจริง “คงกลับแท็กซี่ค่ะ” ดลวัฒน์หลุบตาไปมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไร “อยู่บ้านหรือเปล่า” …เพราะถ้าอยู่บ้านเขาจะได้แนะนำให้พ่อแม่หรือคนที่บ้านมารับ “เปล่าค่ะ อยู่หอพักกับเพื่อนค่ะ” คำตอบที่ได้ยินไม่เกินไปจากที่ชายหนุ่มคาดการณ์ เพราะถ้าเขาเป็นพ่อแม่ป่านนี้ลูกยังไม่กลับบ้านคงเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดต้องโทรหา มารับ มาตามตัวกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว คิ้วเข้มที่พาดผ่านบนดวงตาคมกริบขมวดเข้าหากันนิดหน่อย ก่อนถามต่อ “แล้วหอพักอยู่แถวไหน” “แถว…” “ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันสิ ทางผ่านพอดี เดี๋ยวผมไปส่ง” “….” …เป็นความเงียบที่ทำให้คนที่เดินนำไปก่อนแล้วต้องหันกลับไปมอง “มีอะไรหรือเปล่าญานิศา” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม แต่คนถูกถามยังนิ่ง “ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ หนูกลับเองสะดวกกว่า รบกวนอาจารย์มาทั้งวันแล้วค่ะ” แววตาใสสื่อความหมายได้ว่าคนพูดคิดอย่างนั้นจริงๆ เธอเกรงใจอาจารย์ดลวัฒน์เพราะไม่รู้ว่าที่เขาต้องอยู่ดึกดื่นแทนที่จะกลับไปพักผ่อนสาเหตุเป็นเพราะเธอหรือเปล่า กับอีกเหตุผล… แววกังวลบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในดวงตา เป็นเธอที่ปิดไม่มิดหรือเขาฉลาดเกินไปจึงมองเห็น สิ่งที่เธอเลือกจะไม่พูด แต่เขาเลือกพูดออกมาตรงๆ “ผมเชื่อว่าเวลาเกือบตีสองแบบนี้ ถ้าใครเป็นผมคงไม่ปล่อยให้นักศึกษาขึ้นรถแท็กซี่กลับเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” “…” โทนเสียงเรียบนั้นห่างไกลคำว่าตำหนิ แต่กลับทำให้คนฟังต้องก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วยความรู้สึกผิด เขาหวังดีและถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เธอคิดมันไม่ต่างอะไรกับการดูถูกจรรยาบรรณในวิชาชีพของเขา “แต่ถ้ายังไม่สบายใจก็ให้คิดว่าผมเป็นรุ่นพี่หรือคนรู้จักของคุณก็ได้” “…” “ถ้าเข้าใจแล้วก็ตามผมมา ภัยสังคมเราต้องกันไว้ดีกว่าแก้ อย่างน้อยผมเป็นอาจารย์ของคุณก็ไว้ใจได้มากกว่าคนขับแท็กซี่แน่ ญานิศา” ไม่ไว้ใจ… คำพูดจี้ใจดำที่ออกจากปากเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด ญานิศามองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำออกไปแล้ว และคำขอโทษเสียงแผ่วของเธอ เขาคงไม่ได้ยิน… ปากพาซวยแล้วไงยัยมุ้มมิ้ม!! “หนูขอโทษค่ะที่เถียงอาจารย์” ดลวัฒน์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเอ่ยในประโยคที่เขาไม่คิดว่าเธอจะพูด เพราะรู้ว่าเด็กดื้อถึงจะพยายามเก็บอาการยังไงก็ยังเป็นเด็กดื้อ แววตาของเธอฟ้องออกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็น ทั้งที่ควรโกรธ แต่เขากลับไม่โกรธเธอเพราะรู้ว่าตัวเองก็ตั้งใจรวนเด็กสาวไปอยู่เหมือนกัน ดลวัฒน์กึ่งฉุนกึ่งขำกับอาการก้มหน้าปากขมุบขมิบไม่รู้บ่นอะไรของคนตรงหน้า “แล้ว ‘สะกดรอย’ ตามผมมามีอะไร” เสียงเรียบถาม คน ‘แอบสะกดรอยตาม’ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง “คืออาจารย์พอจะมีเวลาว่างสักหน่อยไหมคะ หนูอยากถามเรื่องแล็ปวันนี้” …ไม่รู้ว่าเขาจะเช็คให้เธอขาดเลยหรือเปล่า แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ดูใจร้ายเกินไป ญานิศามองคิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายขมวดเข้าหากัน ก่อนค่อยๆ คลายออกเหมือนเพิ่งนึกได้ “อ้อ” อาจารย์ดลวัฒน์รับคำเสียงต่ำ คนลุ้นจนตัวโก่งพอใจชื้นขึ้นมาบ้างกับคำชี้แจงต่อมาของเขา “ถ้าเรื่องนี้ ผมจะให้คุณทำรายงาน คงมีรายละเอียดของตัวงานมากกว่าของเพื่อนๆ คุณคงเข้าใจว่ามันไม่ยุติธรรม ถ้าผมพิจารณาให้คะแนนคุณโดยใช้เกณฑ์เดียวกับคนอื่น โดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นลมก็ตาม” “หนูเข้าใจค่ะ” เสียงใสตอบด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย แค่นี้ก็ถือเป็นพระคุณมากแล้วกับเด็กงกคะแนนอย่างเธอ “ถ้าอย่างนั้น กลับไปรอผมที่ห้องตรวจก่อน” “แต่…” “ผมต้องไปดูคนไข้ที่บนตึก ยังไม่มีเวลาคุยด้วยตอนนี้” เพราะคำประกาศิตของเขา ทำให้คนถูกสั่งจำเป็นต้องเดินกลับไปรอ ระหว่างทางหญิงสาวมองนาฬิกาแล้วเริ่มนึกกังวลในใจ เที่ยงคืน… เธอจะกลับหอพักยังไง ดึกขนาดนี้แล้ว รถเมล์คงหมด พี่วินก็คงไม่มี หรือจะเดินกลับก็ไกลและอันตรายเกินไป แท็กซี่เป็นอีกตัวเลือกที่ญานิศาคิดได้ แม้ว่าในใจจะนึกพะวงกับอันตรายในรูปแบบต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นบ่อยๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ “ผมบอกให้ไปนั่งรอข้างใน แล้วมานั่งตากยุงอะไรตรงนี้” เสียงดุๆ ที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาคนกำลังอยู่ในภวังค์สะดุ้งด้วยความตกใจ มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ญานิศาหน้าหงอยก้มหน้าเป็นเชิงขอโทษให้เขาเพราะคราวนี้เธอผิดจริงๆ อย่างไม่มีข้อแก้ตัว สายตาแอบเหลือบเห็นถุงที่อาจารย์ถือติดมือมาด้วย เป็นถุงจากร้านสะดวกซื้อที่ข้างในมีของจำพวกแซนด์วิชแฮมชีสแฮมเบอเกอร์กุ้ง ข้าวปั้นสาหร่ายหน้าแซลมอน นมสดขวดใหญ่ กาแฟกระป๋อง ซุปไก่สองขวด ปีโป้กับขนมกินเล่นอีกสองสามถุง… เธอรู้ว่าในถุงมีอะไรบ้างเพราะถุงนั้นถูกส่งมาให้เธอ “เลือกสิอยากกินอะไร คนไข้ผมเอามาฝาก” เขาบอก “…” คุณหมอหยิบ ‘ของฝาก’ จากคนไข้เป็นกาแฟหนึ่งกระป๋องกับซุปไก่สกัดอีกขวดไป แล้วเริ่มต้นจากการเปิดกาแฟแล้วยกขึ้นกระดกดื่ม ส่วนสาวน้อยได้แต่มองตาปริบๆ หลอดก็ไม่เอาหน่อยเหรอ จะฮาร์ดคอไปหน่อยไหม นี่อยู่ต่อหน้านักศึกษา แล้วที่เหลือล่ะ… “อย่าเอาแต่มอง หยิบขึ้นมากินด้วย ตั้งแต่กลางวันคุณยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” เป็นคำถามที่ฟังอย่างไรก็ค่อนไปทางคำสั่งซะมากกว่า ญานิศามองปีโป้ ขนมกรุบกรอบ ข้าวปั้นสาหร่ายหน้าปลาแซลมอน แฮมเบอเกอร์กุ้ง แล้วก็แซนด์วิชแฮมชีสหอมกรุ่นยังร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา?? เป็นของฝากจากคนไข้ที่ให้อารมณ์เหมือนเพิ่งเดินไปซื้อมาจากเซเว่นอย่างบอกไม่ถูก “คนไข้ให้อาจารย์ อาจารย์เก็บไว้เถอะค่ะ” …แต่เหมือนอาจารย์ดลวัฒน์จะเริ่มรำคาญกับความเรื่องมากของเธอ เขาหยิบแซนด์วิชแฮมชีส แฮมเบอเกอร์กุ้ง ข้าวปั้นสาหร่ายหน้าปลาแซลมอน นมสดขวดใหญ่กับซุปไก่สกัดออกมาวางไว้ให้แล้วสั่ง “กินให้หมด หมดเมื่อไรค่อยคุยกับผม!!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม