“ช่วงนี้ข้ารู้สึกเหมือนเห็นคุณชายออกมาดูงานด้วยตัวเองบ่อยขึ้น เจ้าเห็นเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หญิงรับใช้คนหนึ่งเปิดประเด็นขณะทำความสะอาดผ้าแพรตามหน้าที่ ทำให้หญิงสาวที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ หันกลับมามองด้วยความสนใจ
“คงเพราะใกล้ช่วงที่ต้องออกคาราวานค้าขายประจำปีแล้วกระมัง คุณชายจึงได้มาตรวจสอบสินค้าด้วยตัวเอง แล้วข้าก็ได้ยินมาว่าอีกไม่นานคุณชายก็จะต้องรับช่วงต่อจากนายท่านแล้ว”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่ข้าขอเห็นต่าง”
“เจ้ามีคิดว่าอย่างไรหรือ”
“ข้าคิดว่าคุณชายกำลังจับสังเกตท่านอวี่ถงอยู่ต่างหาก ก็ช่วงเดือนมานี้ ไม่ว่าท่านอวี่ถงจะอยู่ที่ใด คุณชายก็มักจะเรียกหาอยู่เสมอ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้ตามติดขนาดนี้”
“ข้าก็เห็นเช่นเดียวกับเจ้า แม้แต่ตอนกลางคืน ในเรือนหลักก็ยังจุดไฟจนรุ่งสาง ท่านอวี่ถงกลับออกมาในสภาพคนอดหลับอดนานอยู่ทุกวัน ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน”
“แต่ข้าไม่คิดว่าคุณชายจะเคลือบแคลงใจท่านอวี่ถงหรอก ท่านทั้งสองทำงานมาด้วยกันนานถึงห้าปีแล้ว คุณชายก็ให้ความเอ็นดูและไว้ใจท่านอวี่ถงเป็นอย่างมาก กระทั่งสายตาที่คุณชายมองท่านอวี่ถงก็ยังอ่อนโยน...”
สิ้นความเห็นนี้บรรยากาศกลับเงียบสงบลงทันทีราวกับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างอันเป็นความลับเข้า ครั้นคิดว่าไม่ควรพูดออกมา ต่างคนจึงก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป
ทว่าคำบอกเล่าของเหล่าหญิงรับใช้ทำให้คนแอบฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าการกระทำของส้าวเฉียนในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ จะส่งผลให้เกิดความระแคะระคายในหมู่บริวารเข้าแล้ว คิดแล้วว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องเกิดข่าวลือที่ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาเป็นแน่
อวี่ถงคิดไม่ตกขณะเดินกลับห้องทำงาน คิดว่าหลังจากนี้คงต้องเว้นระยะห่างจากส้าวเฉียนแล้ว แต่การจะพูดออกไปตรงๆ นั้น เกรงว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามแทน
“เฮ้อ... ความจริงข้าควรจะไปตั้งนานแล้ว” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง
หากแต่ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในเขตห้องพักของตน กลับมีมือปริศนาพุ่งเข้ามาจับกุม กอดรัดนางด้วยสองท่อนแขนแกร่ง อีกทั้งยังซุกหน้าลงกับซอกคอและสูดดมจนอวี่ถงทั้งแขยงทั้งหวาดกลัว ดีดดิ้นสุดตัว
“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
“ชู่... ถงเอ๋อร์ ข้าเอง”
น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้คนที่กำลังตื่นตระหนกสุดขีดค่อยๆ คลายความหวาดกลัวลง จากนั้นค่อยๆ หันไปมองแล้วจึงพบว่าเป็นผู้ใด
“ฮึก... คุณชาย...”
น้ำตาใสไหลบ่าออกมาอย่างสุดกลั้น ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาดุจพายุหมุนทำให้นางมิอาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เพราะก่อนหน้านี้นางหวาดกลัวจริงๆ นึกว่าจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
“ถง ถงเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ” ส้าวเฉียนรีบซับน้ำตาให้หญิงสาวอย่างกระวนกระวาย ไม่คิดว่าว่าการเย้าแหย่ครั้งนี้จะทำให้นางถึงกับเสียน้ำตา เมื่อไม่เห็นทีท่าว่านางจะหยุดร้อง จึงดึงร่างเล็กเข้ามาสวมกอดแนบอกแล้วลูบปลอบแผ่วเบา จากนั้นค่อยอุ้มขึ้นแล้วพาไปนั่งบนเตียง
หลังจากปลอบกันอยู่พักใหญ่ เมื่ออวี่ถงใจเย็นลงแล้วจึงค่อยๆ หยุดสะอื้น จากนั้นช้อนสายตามองคนข้างกายด้วยความสงสัย
“ท่าน ฮึก มีเรื่องอันใด จึงมาหาข้าถึงที่นี่...”
ส้าวเฉียนยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เพราะความจริงแล้วเขาแค่เดินมาที่ห้องพักของนางอย่างไม่มีเหตุผล ไม่สิ ความจริงอาจจะมีก็ได้ แต่หากเป็นฝ่ายที่พูดออกไปก่อน ก็คงจะไร้ศักดิ์ศรีไม่น้อย
ทว่าเขาไม่อยากให้นางต้องเป็นกังวลอีก
“ไม่มีเรื่องอันใด ข้าแค่คิดถึงเจ้าเท่านั้น หลายวันนี้เจ้าทำแต่งานจนข้าเหงา รู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้าห้องของเจ้าแล้ว แต่หากยังยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้อง คงทำให้พวกบ่าวรับใช้สงสัยเอาได้ จึงเข้ามารอเจ้าข้างในแทน” ส้าวเฉียนสารภาพหมดเปลือก จากนั้นก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาอ่อนโยน
อวี่ถงเห็นสายตานั้นก็อดคิดถึงคำพูดของเหล่าหญิงรับใช้ไม่ได้ ดวงหน้าหวานหลุบลงหลบซ่อนความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นก่อนผละตัวออกจากอ้อมแขนของเขา จากนั้นเงยหน้าสบสายตาอีกครั้งด้วยความลังเล
หากนางบอกว่านับจากนี้ให้เว้นระยะห่างกันเพื่อไม่ให้เกิดข่าวลือเสียหาย ส้าวเฉียนจะไม่พอใจนางหรือไม่ หากเขาตีตัวออกหากจากนางจะทำเช่นไร แต่จะให้เกิดข่าวลือที่ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกไม่ได้เช่นกัน
ส้าวเฉียนเห็นสายตาสับสนของอวี่ถงก็กังวลใจไม่น้อย กลัวว่าการหยอกเย้าครั้งนี้จะฝังใจนาง
มือใหญ่สัมผัสแก้มใสแผ่วเบาแล้วถามด้วยความห่วงใย
“ถงเอ๋อร์ เจ้ายังตกใจอยู่หรือ”
อวี่ถงสัมผัสได้ถึงความกังวลผ่านน้ำเสียงจึงคลี่ยิ้มออกมา ใช้มือกุมมือใหญ่ข้างแก้มแล้วซุกเข้าหาอย่างออดอ้อน
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่กลัวแล้ว”
ส้าวเฉียนถอนหายใจแผ่วเบา
“แต่สีหน้าของเจ้ายังไม่ดีขึ้นเลย มีเรื่องกังวลอยู่ใช่หรือไม่ ข้าบอกให้เจ้าพักผ่อนบ้างก็ดื้อรั้นเหลือเกิน” เสียงทุ้มตำหนิความดื้อรั้นของคนตัวเล็กเบาๆ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมานางเอาแต่ทำงานจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แม้กระทั่งในห้องก็มีแต่ภาพวาดลวดลายต่างๆ ที่รอนำไปปักบนผ้าแขวนเอาไว้อยู่เต็มผนัง ช่างขยันจนเกินความจำเป็นเสียจริง
อวี่ถงฟังแล้วกลับยิ้มกว้าง ความจริงที่นางทำงานอย่างหนักก็เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่านางมีสิทธิพิเศษเหนือผู้ใด และทุกคนต่างก็ทำงานหนักด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ใกล้จะออกกองคาราวานค้าขายกับต่างแคว้น นางไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดอันใดเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่างเกี่ยวข้องถึงชื่อเสียงของส้าวเฉียน
“ตอนนี้ใกล้ถึงวันสำคัญแล้ว จะให้ข้าอยู่เฉยๆ เอาเปรียบบริวารได้อย่างไร”
ส้าวเฉียนฟังแล้วก็ชักสีหน้าเล็กน้อย
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นเจ้านายที่ไม่ได้เรื่อง เอาเปรียบบริวารเพราะไม่ยอมออกไปดูแลสินค้าอย่างนั้นหรือ”
อวี่ถงสะดุ้งตกใจ รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้าก็แค่อยากทำงานสุดความสามารถก็เท่านั้น อีกอย่างช่วงนี้มีข่าวลือที่ไม่ดีออกมา ข้าไม่อยาก...”
“ใครกันที่กล้าปล่อยข่าวลือให้เจ้าเสียหาย! ข้าจะไปลงโทษมันเดี๋ยวนี้!” ส้าวเฉียนกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เพราะในที่สุดก็รู้เสียทีว่าสาเหตุที่ทำให้อวี่ถงตีตัวออกหากจากเขานั้นคือสิ่งใด ที่แท้ก็เป็นเพราะข่าวลือ
อวี่ถงเห็นท่าทางเอาจริงจึงรีบห้าม
“ข้าก็แค่บังเอิญไปได้ยิน แต่ท่านก็รู้ว่าในจวนนี้มีคนของนายท่านมากเท่าใด หากข่าวลือของข้ากับคุณชายไปเข้าหูนายท่านเข้า เรื่องคงจะบานปลายยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่... ดังนั้นช่วงนี้...” อวี่ถงเม้มริมฝีปากแน่นพลางช้อนสายตามองสังเกตสีหน้าของคนตรงหน้า
หากแต่ส้าวเฉียนกลับรู้คำตอบอันไม่น่ายินดีนั้นอยู่แก่ใจ ซึ่งเขาจะไม่มีวันทำมันอย่างเด็ดขาด
“ถงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก็แยกข้าจากไปมิได้” เสียงทุ้มเรียบนิ่งกล่าวพลางกุมมือเล็กของหญิงสาวเอาไว้แน่น จากนั้นยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบาแล้วเหลือบมองดวงหน้าหวานน่าเอ็นดูนั้นด้วยสายตาจริงจัง
“แต่... มันจะไม่เป็นผลดีต่อท่าน” แม้ถ้อยวาจาของส้าวเฉียนจะทำให้นางหัวใจเต้นแรง แต่อย่างไรด้วยสถานะนี้ ก็ยากที่จะได้ลงเอยกันอยู่ดี ถึงอย่างไรส้าวเฉียนก็เป็นคุณชาย แม้จะทำการค้าแต่ก็สืบเชื้อสายของคหบดีที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ มีทั้งศักดิ์และสิทธิ์อยู่เหนือกว่าสามัญชนทั่วไป ในขณะที่อวี่ถงเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา จะกล้าอาจเอื้อมได้อย่างไร
“ข้าไม่สนใจ” ยามนี้ส้าวเฉียนรู้แล้วว่าในใจของนางนั้นมีปมอันใดอยู่กันแน่ ที่แท้ก็เป็นเพราะสถานะที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ แต่นางคงไม่รู้ว่ามารดาของเขาก็เป็นหญิงสาวสามัญชนธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดว่าสถานะเหล่านี้จะสามารถขัดขวางความสัมพันธ์ของเขากับอวี่ถงได้เลยสักนิด แล้วด้วยนิสัยของอวี่ถง คงยากที่จะเปิดใจนางได้ หากไม่พุ่งโจมตีเข้าไปตรงๆ
นิ้วเรียวยาวเชยคางของคนตัวเล็กขึ้นมาสบสายตา ถึงแม้ว่านางจะพยายามหลบเลี่ยงอยู่ก็ตาม
“ถงเอ๋อร์ มองข้า”
ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหว ก่อนค่อยๆ สบมองอย่างขลาดกลัว
ส้าวเฉียนสบมองอย่างมั่นคงไร้ความลังเล
“เจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวหรือยำเกรงหากข่าวลือเหล่านั้นไปเข้าหูท่านพ่อ เพราะข้าเองก็แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องเจ้าได้เช่นกัน ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้ แม้แต่ท่านพ่อหรือใครก็ตาม”
อวี่ถงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“แต่...”
ทว่าส้าวเฉียนกลับไม่ยอมรับการปฏิเสธด้วยข้ออ้างไร้น้ำหนักนั้น ชิงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอก่อนที่นางจะถอนตัวจากความสัมพันธ์นี้ ซึ่งเขาไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
“หากเจ้ากังวลนัก ก็มาเป็นนายหญิงของข้า”