“ มันตายง่าย ๆ อย่างนั้นเลยเหรอครับทวด แล้วพวกหมอพวกตำรวจเขาว่าไงกัน ” ภูรินทร์ซัก
“ เขาก็มาชันสูตรแล้วว่าหัวใจวายตายกันทั้งนั้น ไม่ได้มาเชื่อเรื่องผีเรื่องสางอะไรหรอก ”
“ เวรกรรม ” ภาคครางเบา ๆ
“ นี่แหละคนเรามันก็ตายเพราะฤทธิ์กาม หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทวดก็เตือนแล้ว เล่าให้ฟังแล้วอย่างที่เล่าให้พวกสูฟังเนี่ยแหละ ”
“ แล้วเอกสารที่ปู่ถือมันคืออะไรเหรอครับ ” ตฤณเป็นผู้ถามบ้าง
“ อ้อ ทวดก็ลืมเลย นี่ไง ภาพที่ ดร.บรรจบ แกวาดไว้ ที่แกบอกว่านางออกมาปรากฏกายให้เห็น เบื้องล่างเป็นบทกลอนที่แกแต่งเขียนบรรยายความงามของนาง ลองเอาไปดูกันสิ ”
ปู่ทวดบุญส่งภาพวาดมาให้ตฤณที่นั่งอยู่เบื้องหน้า มือใหญ่เอื้อมไปรับ แล้วก้มลงมองด้วยอาการราวต้องมนต์สะกด
...เป็นภาพวาดเรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงนางหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนใบบัวขนาดใหญ่กลางบึง แสดงสรีระอันอวบอัดเย้ายวนในลักษณะหันข้างนั่งทับอยู่บนขาของตน มือทั้งสองยกขึ้นคล้ายปิดป้องถันคู่งามไว้แต่ก็ปิดไม่มิด ยังแลลอดใต้แขนเห็นเต้าอวบเต่งตึง ต่ำลงมาสู่หน้าท้องราบเรียบแล้วผายออกเป็นสะโพกหนั่นนูน ขาคู่อวบหนีบแนบชิด ชวนให้จินตนาการถึงกลีบกุหลาบอันงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ตรงกลางระหว่างขาว่าจะงดงามปานใด ใบหน้านางแหงนเริ่ด ตาหลับพริ้ม ปากเผยออ้าคล้ายกำลังครวญครางด้วยความกระสันเสียว
เบื้องล่างของภาพมีลายมืออันสละสลวยเขียนไว้ ใช้หมึกปากกาสีน้ำเงินที่ตอนนี้ซีดจางไปบ้างแต่ก็ยังสามารถอ่านได้ เป็นบทกลอนบรรยายถึงความงามของหญิงในภาพว่า...
...ตาชม้อย ยิ้มชม้าย ให้ชายหลง ระเหิดหง เอวองค์ ทรงสล้าง
สองก้อนแล ตูมเต่ง เหนือเอวบาง กระเพื่อมพลาง นางไหวกาย ใจชายครวญ
เอวคอดพลิ้ว แล้วผาย คล้ายแจกัน สะโพกหนั่น ชวนหลงใหล ให้ใคร่หวน
เบื้องหน้าเนิน อวบอูม สองกลีบนวล ช่างเชิญชวน ให้แทรกกาย ไปโรมรัน…
ตฤณหายใจติดขัด กลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ หัวใจชายไหวระรัวอยู่ภายในอกด้านซ้ายราวกับลั่นกลองรบ บทกลอนบรรยายภาพสลักเสลาอันงดงามนั้น มิได้โอ้อวดเกินจริงแม้แต่น้อย
..เพียงจ้องมอง เพียงลูบโลมภาพนั้นด้วยสายตา ยังสามารถทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนล้ำลึก จนกระทั่งความเป็นชายเหยียดขยายใหญ่โตแข็งขึง อยากเหลือเกิน อยากลิ้มลองนางให้ทั่วกายด้วยลิ้น อยากสัมผัสตะโบมบีบคลึงด้วยมือและเรือนกาย อยากรุกรานสองกลีบอูมด้วยความเป็นชายให้หนักหน่วงสั่นไหว
อาาา.. นางสวาท... เขาตกเป็นทาสเธอแล้ว เพียงแค่จ้องมองเท่านั้น
***
หลังจากสนทนาพาทีกับปู่ทวดอย่างเนิ่นนานจวบจนพลบค่ำ ทั้งหมดจึงได้ลงมาเบื้องล่างเพื่อรับประทานอาหารที่ถูกตั้งสำรับไว้เรียบร้อยบนแคร่
“ โอ้โห น่ากินทั้งนั้นเลยนะครับเนี่ย ” วีเอ่ยขึ้นทันทีที่นั่งลงฝั่งหนึ่งของแคร่แล้วเห็นอาหารที่ตั้งอยู่บนสำรับ
“ อาหารง่าย ๆ น่ะครับ นี่ไข่เจียวใส่ไข่มดแดง แกงหน่อไม้ใส่หมูสามชั้น ตำน้ำพริกปลาร้า ส่วนทางนี้ก็ผักต้มผักพื้นบ้าน ปลูกเองมั่ง ไปหาในป่ามามั่ง ส่วนนี่ก็ปลาช่อนแดดเดียว บ้านผมเรียกปลาเกลือ ผมก็ไปหาในแม่น้ำนั่นล่ะครับ ” บุญโทนสาธยายอาหารพลางตักข้าวสี่ชามแล้วยื่นให้แขก
“ อ้าว แล้วบุญโทนกับทวดไม่กินด้วยกันเหรอ ”
“ ผมกับทวดพึ่งกินตอนก่อนพวกพี่จะมาถึงน่ะครับ ยังไม่ทันหิว ส่วนทวด มื้อเย็นบางทีแกก็กินข้าว บางทีกินกล้วย กินผลไม้ กินโอวันติล แล้วก็ไม่อยากข้าวเลย ”
“ แล้วแม่ล่ะบุญโทน ยังไม่เห็นเลย จะได้ไหว้ท่านสักหน่อย กับข้าวนี่ท่านก็เป็นคนทำใช่ไหม ” ใบหน้าบุญโทนฉายแววอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนชี้มือไปยังเรือนครัวที่แยกจากตัวบ้านไปอีกครั้ง
“ แม่อยู่ในโน้น ไม่ค่อยชอบออกมาพบปะกับใครนักหรอก แม่ขี้อาย ” ทั้งสี่เขม้นมองไปยังเรือนครัวที่เปิดไฟหลอดสีส้มสลัว ๆ ไว้ภายใน จึงได้เห็นหญิงนางหนึ่งสวมเสื้อและผ้าถุงสีดำ ผมยุ่งขมวดมุ่นไว้บนศีรษะ นางเดินไปเดินมาแล้วแอบอยู่ข้างประตูจ้องมองมายังพวกเขาทั้งสี่ ทำให้เกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมากในอากัปกิริยานั้น
“ ทำไมแม่บุญโทนต้องทำเหมือนกลัวพวกเราแบบนั้นด้วยล่ะ ”
“ เอ่อ.. ” บุญโทนอึกอักแล้วนิ่งไปเนิ่นนาน ทั้งสี่ก็ยังนั่งนิ่งคล้ายรอคำตอบ จึงเป็นปู่ทวดที่เอ่ยตอบออกมาแทน
“ แม่ของไอ้บุญโทน นางเสียสติ เสียสติเพราะพ่อของมันตกเป็นหนึ่งในเหยื่อของนางสวาท ”
“ ฮะ อะไรนะ ” ทั้งสี่ส่งเสียงออกมาอย่างแปลกใจ
“ ใช่ ไอ้บุญล้ำ พ่อของบุญโทน มันเป็นคนดีมีศีลธรรม บวชเรียนมาก็หลายพรรษา ก่อนจะสึกมาช่วยทำนาทำสวนที่บ้าน พอเจอกับลำดวนแม่ของบุญโทนก็ชอบพอและได้อยู่กินกัน ก็อยู่กันมาอย่างมีความสุขตลอดเวลา อยู่มาวันหนึ่งไอ้บุญล้ำมันก็หายไป แล้วก็มีคนไปพบศพมัน ”
“ อยู่ที่ปราสาทนางสวาทเหรอครับ ” ภาคถาม ชายชราพยักหน้า
“ ใช่ ตอนนั้นไอ้บุญโทนยังไม่ถึงสองขวบด้วยซ้ำ ลำดวนมันชอกช้ำหนักเพราะไม่คิดว่าผัวจะมักมากในกามอย่างคนอื่น ๆ มันเป็นคนดีมาเสมอ ก็เลยเสียใจมาก หลัง ๆ เข้าเป็นซึมเศร้าไม่พูดไม่จากับใคร จนเป็นโรคกล้า ๆ กลัว ๆ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ พูดจาเพ้อเจ้อ แต่มันก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครนะ ยังทำกับข้าวกับปลาถูบ้านถูช่องได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะเพ้อ ๆ เท่านั้นแหละ ”