“น้าฎาขา เมื่อไหร่เราจะรวยสักที รัญอยากมีรถไว้ขับสักคันจังเลย วันนี้นั่งวินเข้ามาเปียกซ่ก ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันรัญได้เป็นหวัดแน่ๆ”
หลานสาวคร่ำครวญ ด้วยหน้านี้เป็นหน้าฝน ถ้าวันไหนแฟนหนุ่มอย่างแมคโลริคมาส่งเธอไม่ได้ เธอก็ต้องลงรถเมล์แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้ามาเกือบสุดซอย ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกตอนเช้า บางทีถึงกับต้องเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่ทำงาน ถ้าเธอมีรถยนต์สักคันก็คงสะดวกขึ้น แต่ติดที่ว่าเพิ่งเรียนจบ เพิ่งได้ทำงาน เลยยังไม่มีเงินไปดาวน์รถ ครั้นจะให้แฟนหนุ่มซื้อให้ก็เกรงใจเขา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เพียงเธอเอ่ยปาก แมคโลริคต้องจัดการให้เธอได้แน่นอน
“น้าบอกเราแล้วไง เอาไว้ค่าลิขสิทธิ์น้าออก น้าจะดาวน์รถให้เรานะ ช่วงนี้ทนๆ ไปก่อน อีกไม่กี่วันหรอกจ้า” ปลอบใจหลานสาวทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้จะหาทางเอาเงินมาดาวน์รถให้หลานได้อย่างไร
“จริงนะคะน้าฎา”
รัญตาหันมาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย พลอยทำให้น้าสาวมีความสุขตามไปด้วย อะไรที่เป็นความสุขของรัญตา พิชฎาทำได้เสมอเพราะระลึกอยู่เสมอว่ามีเพียงแค่สองคนน้าหลาน
“แต่รัญต้องสัญญากับน้าอย่างหนึ่งก่อน”
“อะไรคะ”
หลานสาวถาม คนเป็นน้านิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบ
“น้าไม่อยากให้เราชิงสุกก่อนห่าม สัญญากับน้าได้ไหมว่าจะไม่มีอะไรกับแฟนจนกว่าจะแต่งงาน”
รัญตาแก้มแดงเรื่อ ตอบรับด้วยรอยยิ้มขัดเขินแล้วพยักหน้า พิชฎายิ้มออก สิ่งใดที่รัญตารับปากมั่นเหมาะ เจ้าหล่อนจะไม่ทำแน่ๆ
“ขอบใจจ้ะ แค่นี้น้าก็สบายใจแล้ว ความจริงน้าอยากขอมากกว่านี้ แต่น้ากลัวว่ารัญจะเสียใจ”
“ทำไมน้าฎาไม่ลองขอละคะ เผื่อรัญจะให้ได้” ตอบพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“น้าอยากขอให้รัญเลิกกับแฟน ทำได้ไหมล่ะ”
คราวนี้รัญตาทำหน้ามุ่ย เข้าใจไปว่าน้าสาวเพียงล้อเล่น
“อย่าล้อเล่นสิคะ รัญรักอาแมคนะ” บอกพลางสวมกอดคนเป็นน้า ความรักที่มีให้แมคโลริคไม่ได้วูบวาบหวามหวาน มันเป็นความรักแบบอบอุ่นที่เธอโหยหาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา ไม่อยากบอกน้าสาวเพราะเกรงว่าน้าจะเสียใจที่เธอยังคิดถึงคนที่ไม่เคยเหลียวแลพวกเธอเลย
พิชฎากอดหลานสาวแล้วลูบกระหม่อมเบาๆ อีกไม่นานเธอคงได้เป็นคนทำร้ายรัญตาด้วยตัวเอง
‘ยกโทษให้น้าด้วยนะรัญตา ยกโทษให้น้าด้วย...’
บ่ายวันต่อมา พิชฎามาเดินแกร่วอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าด้วยว่าคิดไม่ตกเรื่องที่จะนำเงินที่ไหนไปดาวน์รถให้รัญตา เธอเดินทอดน่องผ่านร้านรวงต่างๆ ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนไปคนแล้วคนเล่า เธอก็ได้แต่ทอดถอนใจเพราะคิดไม่ตก
อาชีพนักเขียนทำรายได้ให้เธอในระดับหนึ่ง ทว่าที่มาของรายได้ก็ขึ้นอยู่กับความขยันด้วย ในเมื่อสามเดือนที่แล้วเธอไม่มีงานส่งสำนักพิมพ์ เดือนนี้จึงไม่มีรายได้เข้ามา ส่วนเงินเก็บที่มีมันก็ไม่พอที่จะไปดาวน์รถ ที่สำคัญก็คือ หากแบ่งเงินจำนวนนั้นมาใช้จ่าย เงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินก็จะว่างเปล่าไม่มีเหลือค้างบัญชี
“พิชฎา?”
เสียงทุ้มกังวาน ดังมาจากร่างสูงดูภูมิฐานของชายวัยห้าสิบเศษนามว่า ติภพ
พิชฎาไม่มั่นใจนักแต่ก็หันไปดู ก่อนจะเม้มปากแน่น ใบหน้าเรียบเฉยจนเกือบจะบึ้งตึง เธอตั้งท่าจะเดินต่อ
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณภพเขาเรียกเธอนะ!”
สาวใหญ่ที่มากับติภพท้วงพิชฎา รูปร่างของหล่อนอรชรอ้อนแอ้น แต่งหน้าบางๆ ในวัยสี่สิบเศษไม่ได้ทำให้ความงามลดเลือนไปเลย
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับผู้ชายคนนี้ รวมทั้งคุณด้วย” พิชฎาตอบเสียงห้วน
ติภพเดินเข้ามาใกล้พิชฎาอีกนิดก่อนจะเอ่ย
“แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ช่วยฟังเราสักครู่จะได้ไหม”
บิดาของรัญตา ร้องขอ หนวดงามที่พาดเหนือริมฝีปากช่วยทำให้บุรุษผู้นี้ดูน่าเกรงขาม ทว่าความน่าเกรงขามนั้น ใช้ไม่ได้กับพิชฎา
“ฉันไม่ฟัง ถ้าอยากคุยกับฉันก็หย่ากับเมียแล้วเราค่อยมาคุยกัน”
“พิชฎา! มันจะมากไปแล้วนะ” สาวใหญ่ร้องเสียงหลง เธอทำผิดอะไรนักหนา อีกฝ่ายถึงรังเกียจกันนัก
“ชู่ว์...ไม่เอาน่าคุณเดือน อายคนเขานะ ให้ผมจัดการเองเถอะ” ผู้เป็นสามีปรามภรรยา ท่านจะลองใช้วิธีนี้ดูเผื่อจะได้ผล “ฟังฉันสักนิดเถอะนะพิชฎา ฉันไม่เคยคิดแย่งหนูรัญมาจากเธอเลยนะ ฉันรู้ว่าฉันทำผิด ฉันแค่อยากให้ลูกรู้ว่าฉันเป็นพ่อ ให้ฉันได้ดูแล ได้มอบความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้แกบ้างเท่านั้น
ทุกครั้งที่น้องชายฉันพาหนูรัญมาที่บ้าน ฉัน...ดีใจจนพูดไม่ออก เธอเลี้ยงรัญตาได้ดีเหลือเกิน สายใยระหว่างพ่อลูกทำให้เราเข้ากันได้เร็วมาก ฉันรู้ถึงความลำบากของยัยหนู ฉันแค่อยากชดเชยให้ในตรงนั้น ยัยหนูไม่ใช่คนยากจนข้นแค้น ยัยหนูสมควรได้ในสิ่งที่ฉันมีให้นะพิชฎา”
พิชฎายิ้มเหยียดเมื่ออีกฝ่ายยกเอาความจริงข้อนี้มาอ้าง เธอจนเธอรู้ดี แต่ผู้ชายคนนี้ไม่มีสิทธิ์เอาความจริงข้อนั้นมาโยนใส่ให้เธอต้องอ้าแขนรับ