พัลเลเดียมเดินอ้อมไปอีกด้าน เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเล็กซึ่งวางคู่กัน ประสานมือแกร่งข้างหน้าและจ้องมองลลิลที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้ามาตอนนี้ ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ พื้นที่กว้างขวางของเพนท์เฮาส์ที่มีแต่ลลิลเท่านั้น เขาสั่งให้จูลี่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ร่างสูงก้มลงมองมือตัวเองที่แบออก เวลาผ่านไปหลายวันนับแต่วันนั้นที่ลลิลกัดมือของเขาจนเลือดอาบแต่รอยแผลก็ยังคงอยู่ มันเป็นรอยฟันแต่ทำให้เนื้อฉีกขาด แม้ไม่มากแต่ก็ทำให้เขาเจ็บพอดู สักครู่เขาจึงเลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าสวยหวาน เปลือกตาของลลิลปิดสนิทแต่เขาได้ยินเสียงลมหายใจของเธอดังสม่ำเสมอ
“ยัยเด็กจอมดื้อ”
พัลเลเดียมนึกในใจ แต่เขากลับจ้องมองเธอเนิ่นนานโดยไม่ยอมละสายตาไปทางอื่นโดยเฉพาะ เรียวปากอิ่มสีชมพูของหญิงสาวเผยอออกน้อย ๆ ดึงดูดให้เขาจับจ้องเธออยู่เช่นนั้น ชายหนุ่มเก็บความนึกคิดไว้ในใจว่าความสวยหวานของลลิลติดตาเขามานานแล้ว เขาแทบจะกลั้นลมหายใจหนักที่กำลังจะผ่อนออกมาเพราะเกรงว่าเธอจะได้ยินเสียงแต่แล้วลลิลก็ค่อย ๆ ขยับตัวและเมื่อลืมตาขึ้นเธอจึงเบิกนัยน์ตากว้างเมื่อเห็นว่าพัลเลเดียมนั่งจ้องเธออยู่บนเตียงข้าง ๆ
“อาพีท...”
“ที่นอนมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปนอน มานอนอยู่ที่ริมสระน้ำนี่”
เขาถามเสียงเครียด ใบหน้าคมคร้ามยังแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรเหมือนเดิมแถมยังทำให้คนฟังรู้สึกราวกับว่ามีความรำคาญเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย ลลิลขยับลุกขึ้นนั่ง เธอรีบดึงชายกระโปรงที่เลิกขึ้นมาถึงขาอ่อนลงไปใต้เข่า
“ลิลเผลอหลับไปค่ะ”
หญิงสาวแก้ตัวเพราะจริง ๆ แล้วเธอกลัวการอยู่คนเดียว แม้แต่ตอนที่อยู่กับอิศราก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอไม่ยอมนอนห้องส่วนตัวที่บิดาจัดไว้ให้แต่ขอนอนอยู่ข้างเตียงของพ่อซึ่งอิศราก็ไม่ขัดใจลูกสาว ลลิลอยากจะร้องไห้เมื่อพัลเลเดียมสั่งให้จูลี่กลับบ้าน เพนท์เฮาส์ทั้งสามชั้นจึงเหลือเธออยู่เพียงคนเดียวและทุกคืนเธอต้องมานอนอยู่ที่เตียงริมสระเพื่อให้เห็นท้องฟ้าช่วยคลายความกลัว
“กินอะไรหรือยัง?”
เขาถามแต่กลับหันไปมองสระน้ำทำเหมือนไม่สนใจคู่สนทนา ลลิลมองหน้าเขาเศร้าๆ
“กินแล้วค่ะ”
คราวนี้พัลเลเดียมหันกลับมา “แน่ใจหรือ...ฉันเห็นอาหารยังเต็มโต๊ะอยู่เลย เธอกินหรือดมกันแน่”
“บอกแล้วไงคะว่ากินแล้ว...ลิลไม่ใช่คนกินเยอะ”
“ปล่อยให้ตัวเองผอมแห้งเดี๋ยวเป็นล้มเป็นแล้งไปจะทำยังไง”
“ก็แค่ตาย...”
“ถ้าเธอตายฉันจะเอาอะไรไปต่อรองกับพ่อของเธอล่ะ ลาริมาร์!”
ร่างสูงเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมาขณะลุกขึ้นยืน ถึงไม่อยากหันไปเผชิญหน้ากับเขาแต่ลลิลก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมือของพัลเลเดียม ไม่มีผ้าปิดแผลบนมือของเขา นับแต่วันที่เธอกัดเขาจนเลือดอาบหญิงสาวก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าหากเขากลับมาอาจจะมีแผนเอาคืนก็เป็นได้ แต่เขากลับไม่พูดอะไรถึงเรื่องวันนั้นเลยแม้แต่น้อย หรือเขาจะแกล้งให้เธอตายใจแล้วค่อยตลบหลังแบบเจ็บแสบ
“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”
ร่างบางเงยหน้ามองพัลเลเดียมทันทีที่เขาพุดจบ ม่านตาของเธอขยายเล็กน้อยขณะริมฝีปากอ้าค้าง ชายหนุ่มมองเธอแล้วเลิกปากเหยียดหยัน
“นอนห้องที่เธอนอนนั่นล่ะ”
“เอ้อ...”
“อย่าลืมสิว่าเราเป็นผัวเมียกันแล้ว ผัวเมียก็ต้องนอนห้องเดียวกัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า...คืนนี้ถ้าเธอกัดฉันให้ได้เลือดอีก เจอดีแน่”
ร่างสูงใหญ่คาดโทษก่อนเดินกลับลงไปชั้นล่าง ลลิลน้ำตาซึมและเม้มปากแน่น เธอคิดถึงอิศราขึ้นมาจับใจ เมื่อไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นไปจากที่นี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เจอหน้าเจ้าของห้องแล้วเขาจะพูดจาดี ๆ กับเธอสักหน ไม่มีหนไหนเลยที่เขาจะแสดงความเอื้ออาทรออกมาจากใบหน้าคมเข้มที่ติดในความทรงจำของเธอมากกว่าผู้ชายคนไหน จะมีก็แต่ความดูแคลนเกลียดชังและทำตัวเหมือนศัตรูกันตลอดเวลา ลลิลน้ำตาไหลเพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งต้องแบกรับอารมณ์ผกผันของเขาที่มันทำให้เธออึดอัดมากขึ้นทุกที
เมื่อร่างสูงก้าวออกจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวและตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่งพราวด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ พัลเลเดียมกลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นลลิลซึ่งอยู่ในชุดนอนลายทางตัวโคร่ง เขาจำได้ว่ามันเป็นชุดนอนของเขา เธอนั่งบนเบาะผ้าบาง ๆ ที่ปูบนพื้นด้านล่างข้างเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ชายหนุ่มเดินไปหยุดใกล้ ๆ และทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังกางผ้านวมทำท่าจะล้มตัวลงนอนต้องหยุดชะงัก
“ใครบอกให้เธอนอนตรงนี้ ลาริมาร์?”
เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหยดน้ำบนใบหน้าหล่อเหลา ลลิลส่ายหน้า
“ไม่มีค่ะ ลิลอยากนอนตรงนี้เอง”
พัลเลเดียมอยากจะหัวเราะแต่เขาก็เพียงแค่นส่งเสียงในลำคอขณะเดินกลับไปที่เตียงใหญ่และทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกหนานุ่ม ลลิลเหลือบมองร่างหนากำยำ เขายังอยู่ในผ้าขนหนูผืนเดียวโดยไม่ยอมเปลี่ยนชุดนอน หญิงสาวทำเหมือนไม่สนใจแต่ข้างในเสียงเต้นของหัวใจดังเหมือนกลองรัว บางครั้งเธออยากทำใจให้คิดว่ามันไม่ต่างกับตอนที่เธออยู่กับอิศรา หากแต่พัลเลเดียมไม่อาจทำให้หญิงสาวทำใจได้เลยว่าเธอกำลังนอนห้องเดียวกับพ่อของเธออย่างแต่ก่อน