ฉันกำลังเดินตามคนหน้าสวยไปห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ด้วยความไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไรที่เป็นตัวตัดสินใจทำให้ฉันเลือกที่จะเดินตามเธอมาโดยไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญชวนของเธอ...และมาปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน...
ฉันยอมรับตามตรงว่าตกใจกับคำกล่าวเชิญชวนของเธอมาก ๆ จนพูดอะไรไม่ออกและได้แต่สบมองใบหน้าของเธอนิ่ง ๆ ว่าล้อหลอกหรือต้องการจะแหย่กันเล่นแต่อย่างใดหรือเปล่า
ซึ่งสิ่งที่ฉันพบในดวงตาฉ่ำวาวของเธอนั้นมันไม่ได้มีคำว่าล้อเล่นแฝงอยู่ข้างในนั้นแต่อย่างใด
และสุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นฉันไปเสียเองที่อาสาขับรถให้เธอโดยที่ตลอดทางนั้นเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย แต่เธอเลือกที่จะใช้โทรศัพท์ของตัวเองเปิดแผนที่ซึ่งเป็นที่พักของเธอเพื่อเป็นตัวนำทางและเจ้าหล่อนก็เอาแต่นั่งอิงหน้าต่างเงียบ ๆ อย่างไม่ต้องการที่จะสนทนาอะไรจนกระทั่งเรามาถึงที่หมาย
ซึ่งตอนนี้ฉันก็กำลังเดินตามหลังของเจ้าหล่อนที่กำลังพาฉันขึ้นไปยังห้องพักของตัวเองอยู่...
สมองของฉันขาวโพลนไปหมดจนไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรถึงไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธออกไป รู้เพียงแต่ว่าลองดูมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร และเธอก็เป็นคนเอ่ยปากชวนกันเองซึ่งมีหรือที่ฉันจะต้องขัดขืน
เมื่อประตูห้องถูกเปิดก็ย้ำชัดได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเจ้าหล่อนเป็นคนค่อนข้างมีฐานะอยู่พอสมควร แต่ข้าวของที่ยังดูไม่เรียบร้อยในห้องนั้นก็พาลทำให้ฉันต้องสำรวจมองไปรอบ ๆ และคิดว่าเจ้าหล่อนพึ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่และมันใกล้กับมหาวิทยาลัยของฉันมาก ๆ และที่นี่ห่างจากหอพักของฉันไปไม่ไกลนัก
“นั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”
เจ้าหล่อนเอ่ยบอกให้ฉันพยักหน้าตอบรับพร้อมทั้งเดินพาร่างของตัวเองมานั่งลงที่โซฟาภายในห้องรับแขก
เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมสมองของฉันก็เริ่มกลับมาทำงานหนักอีกครั้งพร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองอีกหนว่าทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ?
ฉันจะหลับนอนกับคนที่พึ่งพบเจอกันในคลับเป็นครั้งแรก...หรือจะให้เรียกว่าเหยื่อที่ฉันตั้งใจจะขโมยของดี?
คิด ๆ ไปแล้วก็น่าสมเพชตัวเองทั้งนั้น
เผลอ ๆ เธอรู้ตัวว่าฉันลงมือทำอะไรไปแล้วเลยเรียกฉันมาขังเอาไว้ก่อน ก่อนที่จะเรียกตำรวจมาจับกันอีกทีก็อาจจะเป็นไปได้...
บ้าจริง...ทำไมถึงคิดได้ตอนนี้กันนะ!
“น้ำมา...”
“คือ...ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
ฉันรีบลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและพยายามที่จะเดินออกมาจากห้องในทันทีหลังจากที่ใช้สมองของตัวเองคิดได้แล้วว่าต้องออกไปจากที่นี่ในเร็วไวเพราะมันอาจจะเป็นอย่างที่ฉันนั้นคาดคิด
“คุณก็จะไป อีกคนเหรอคะ...”
แต่เสียงแผ่วของเธอที่เปล่งออกมาแผ่วเบานั้นทำให้ขาของฉันที่กำลังจะก้าวเดินออกไปข้างนอกต้องหยุดชะงักไปในทันใดอย่างตื่นตกใจ
“ฉันมันคงไม่มีเสน่ห์อย่างที่ใครคนนั้นเขาบอกจริง ๆ สินะ ฮึก...”
และอยู่ ๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่สั่นไหวของเจ้าหล่อนที่ดังขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะหนักหน่วงขึ้นในนาทีต่อมาให้ฉันตัดสินใจปิดประตูลงและหันหน้ากลับมาสบมองเธออีกหน
เขาบอกคนเมามักจะพูดในสิ่งที่คิดโดยที่ไม่ไตร่ตรองอะไรเสียก่อนมันก็คงจะจริงอยู่...
เพราะเราเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น และเธอไม่จำเป็นเลยที่จะมาเล่าเรื่องราวส่วนตัวที่อยู่ในใจของตัวเองขึ้นมาให้ฉันได้ฟัง...เพราะฉันไม่รู้ว่าเธอผ่านหรือพบเจออะไรมาก่อนหน้านี้
แต่ได้รู้อย่างหนึ่งแล้วว่าการที่หันหลังจะเดินจากไปจากเธอคนนี้มันทำให้ใครอีกคนต้องมีน้ำตา
ฉันค่อย ๆ เดินย่างกรายเข้าไปหาเธออีกครั้งด้วยฝีเท้าของมือขโมยจนทำให้ใครอีกคนนั้นไม่ได้ยินเสียงของฉัน ฉันนั่งยอง ๆ ลงไปหาเธอและเอื้อมมือไปจับไหล่ของเธอเอาไว้ก่อนจะออกแรงบีบมันแผ่วเบาอย่างต้องการจะปลอบประโลม
ซึ่งเจ้าหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาสบมองใบหน้าของกันด้วยใบหน้าที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำตา ทั้งยังสบมองใบหน้าของฉันตาปริบ ๆ อย่างมีคำถามว่าทำไมฉันถึงยังอยู่ตรงนี้
“ไปค่ะ...เราไปที่เตียงกัน”
บนเตียงนอนมีร่างของเราสองคนนอนกอดก่ายกันอยู่ไม่ห่าง และก็เป็นฉันที่ลุกขึ้นคร่อมร่างของเธอเอาไว้และสูดดมความหอมหวานจากเรือนร่างของเธอผ่านซอกคอหอมกรุ่นและมันทำให้ฉันหลงมัวเมาจนไม่สนใจอีกแล้วว่านี่จะเป็นแผนหรือเป็นกับดักอะไรของเธอหรือเปล่า
ถ้าหากเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพียงแผนลวงให้ฉันอยู่ต่อเพื่อที่เธอจะจับฉันส่งตำรวจฉันก็ยอมแล้วแต่โดยดี ขอเพียงแค่ได้รับสัมผัสจากเรือนร่างของเธอเป็นรางวัลตอบแทน...ชีวิตของฉันก็ราวกับได้รับพรอันใหญ่หลวงและไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อจากนี้ไป
“อือ...”
เสียงครางหวานดังขึ้นมาจากลำคอของคนตรงหน้า เธอจิกไหล่ของฉันเอาไว้และพยายามดึงรั้งร่างของฉันให้เข้าไปชิดใกล้กับเธอมากยิ่งขึ้นและฉันก็ขยับไปตามการควบคุมของเธอแต่โดยดี
พรุ่งนี้ตื่นมาเราจะห่างหายจากกันไปราวกับไม่เคยได้พบเจอกันมาก่อน...ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่ฝันหวานของฉันที่สุดและฉันจะทำมันตามที่ใจปรารถนา
ริมฝีปากของฉันค่อย ๆ ลากไล้ผ่านไหปลาร้าของเธอลงไปยังเต้าอวบอิ่มทั้งสองข้างที่ล้นมือ จุกสีหวานสวยของมันปรากฏเด่นชัดให้ฉันอดชื่นชมไม่ได้ว่ามันน่ารักน่าลิ้มลองราวกับเยลลี่ในซองขนมอย่างไรอย่างนั้น
มือของฉันเลื่อนเข้าหาเพื่อเคล้นคลึงมันอย่างเอ็นดู ก่อนริมฝีปากจะตามเข้าไปประกบและฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงครางหวานที่สุขสมของเธอ...
“ฮึก ฮือ...”
แต่ทุกสิ่งมันกลับไม่เป็นไปดั่งหวัง...
ฉันผละใบหน้าออกจากจุดสวยงามของเธอในทันทีและจ้องมองใบหน้าของคนที่อยู่ ๆ ก็เปล่งเสียงร่ำไห้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
และเมื่อเธอสบมองใบหน้าของฉันน้ำตาของเธอก็ยิ่งรินไหล ฉันจึงตัดสินใจผละร่างออกจากเธอและรีบวิ่งไปควานหาเสื้อคลุมที่อยู่ด้านล่างของเตียงมาคลุมไว้ให้กับเธอในทันทีโดยไม่วายวิ่งไปสวมใส่เสื้อผ้าของตัวเองด้วย
และอยู่ ๆ ทุกอย่างก็ราวกับหยุดชะงักพร้อมกับเสียงร่ำไห้ของเธอที่ผ่อนลงจนไม่ได้ยินอีกต่อไป สิ่งที่ฉันทำระหว่างรอให้เธอสงบลงนั่นก็คือการที่ฉันนั่งเงียบ ๆ เป็นเพื่อนเธออยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไปไหน
“ฉันขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ”
เธอพูดออกมาเสียงแผ่วให้ฉันหันไปสบมองเธออีกครั้งหนึ่ง
ใบหน้าของเธอรู้สึกผิดเสียเต็มประดาผ่านแสงจากโคมไฟข้างหัวเตียงที่ถูกเปิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว ดวงตาก็ปูดบวมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอพึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ไม่ต้องคิดมากนะ”
แม้จะเอ่ยพูดออกไปแบบนั้นแต่อารมณ์ของฉันก็ค้างคาอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
ก็เธอทั้งสวยทั้งดูดีขนาดนี้...จะพูดว่าเสียดายก็คงไม่น่าจะผิดนัก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ไม่ต้องเจอกันแล้ว...ไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ฉันพูดต่อพลางยันตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงเพื่อเตรียมตัวจะกลับที่พักของตัวเองอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งเจ้าหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่ออีกและนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่าฉันสามารถเดินออกไปจากห้องได้เลยโดยไม่ต้องสนใจแล้วว่าเจ้าหล่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้งหรือเปล่า
เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันเท่านั้น...พรุ่งนี้ก็ไม่มีอีกแล้วความรู้สึกสับสนที่ตัวฉันกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
“สายแล้วโว้ย!”
ฉันบ่นออกมาขณะที่กำลังสวมใส่รองเท้าและเปิดประตูออกจากห้องไปพร้อม ๆ กันด้วยความเร่งรีบ
เป็นเพราะเมื่อคืนเอาแต่คิดถึงเรื่องของใครอีกคนจนนอนไม่หลับ กว่าจะข่มตาลงนอนได้ก็ล่วงเลยวันใหม่มานานกว่าหลายชั่วโมงแล้ว
จึงสั่งการสมองของตัวเองในตอนนั้นเลยว่าให้เลิกคิดถึงเรื่องคนแปลกหน้าคนนั้นซะ เพราะเราจะไม่มีวันได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง...เพราะแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของหล่อนฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป
“ทำไมไม่รับสายเนี่ย!”
ปากบ่นขณะที่เท้ายังออกวิ่งไปข้างหน้าเนื่องจากว่ามหาวิทยาลัยของฉันนั้นสามารถเดินเท้าไปได้เพราะมันไม่ไกลมากนัก และมันเป็นสิ่งที่ฉันคำนวณเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันจะประหยัดค่าเดินทางไปได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
มือของฉันยังระดมต่อสายหาเพื่อนสนิทที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกดรับโทรศัพท์กันแต่อย่างใด
เพราะวิชาในวันนี้เป็นวิชาที่จะมีอาจารย์มาสอนใหม่เนื่องจากอาจารย์คนเก่าลาออกไปคลอดลูก แถมยังได้ยินชื่อเสียงอันลือชาของอาจารย์คนใหม่มาว่านางฟ้าในคราบซาตานเพราะเจ้าหล่อนนั้นสวยแต่ดุโหดใช่เล่น
เป้าหมายห้องเรียนนั้นอยู่ข้างหน้าของฉันแล้ว และฉันก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีทั้งหมดไปกับการออกแรงวิ่ง จนในที่สุดฉันก็เข้ามาในห้องก่อนจะจับเข่าและก้มหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดในทันทีด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“นันท์นภัส”
“มาค่ะ!”
ฉันขานตอบในทันทีทั้งยังเป่าปากอย่างโล่งใจ โชคดีที่ชื่อของฉันมันเกือบจะท้ายสุด ฉันจึงมาเข้าห้องได้ทันเช็คชื่อซึ่งนั่นหมายความว่าฉันยังมาไม่สาย
“เลิกยืนอยู่ตรงนี้แล้วไปนั่งได้แล้วค่ะ”
“ค่ะ”
ฉันตอบรับโดยยังไม่เงยหน้าสบมองอาจารย์ผู้สอนแต่อย่างใด ก่อนจะออกเท้าเพื่อที่จะเดินไปนั่งยังโต๊ะเขียนแบบตัวประจำอย่างเช่นที่ทำอยู่ทุกวัน
“เป็นนักศึกษาก็หัดแต่งกายให้มันเรียบร้อยหน่อยสิคะ กางเกงขาดขนาดนี้ก็ควรที่จะซื้อใหม่ได้แล้วนะ”
ขาของฉันชะงักไปในทันใดที่ได้ยินคำเอ่ยออกมาจากปากของอาจารย์ผู้สอน และมันทำให้ฉันหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะนี่มันเป็นกางเกงตัวเก่งของฉันเลยนะ!
“อ๋อ พอดีว่า...”
และเมื่อยามที่ฉันหันไปเพื่อที่จะต่อปากอย่างที่มักจะทำอยู่เป็นประจำนั้นก็กลับต้องเงียบลงไปในทันใดพร้อมกับดวงตาของตัวเองที่เบิกโพล่งขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
และในเสี้ยววินาทีของอาจารย์สาวคนนั้นเองที่เมื่อพบเห็นใบหน้าของฉัน...เจ้าหล่อนก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกันแต่ก็สามารถดึงตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ออก
“นี่คุณ...”
“ไปนั่งที่ค่ะนักศึกษา!”
“คุณใช่...”
“อาจารย์บอกให้ไปนั่งที่ค่ะ!”
บ้าจริง! ทำไมเราสองคนต้องได้กลับมาเจอกันอีก
กลับมาเจอกันในสถานะของอาจารย์กับนักศึกษาเนี่ยนะ?
ตลกเป็นบ้า!