ร่างสูงกำลังเดินมุ่งหน้ากลับไปที่หอพักของตนหลังจากที่ตัวเองเรียนจบคลาสของวันแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่ฉันมีเรียนแค่เพียงช่วงเช้าเท่านั้น ซึ่งมันเท่ากับว่าตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไปฉันว่าง และฉันตั้งใจจะกลับไปนอนเอาแรงเสียหน่อยก่อนที่ค่ำวันนี้ฉันจะออกไปทำมาหากินนั่นก็คือการวิ่งราวทรัพย์นั่นเอง
ในความเป็นจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนี้นักหรอกเพราะรู้ว่ามันไม่ถูกต้องกับการขโมยของของใคร แต่เป็นเพราะว่าฉันมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน และถ้าหากฉันหมดความจำเป็นในการใช้เงินตรงนี้แล้ว...ฉันจะกลับไปทำงานอย่างสุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่นผู้ใดอีกต่อจากนี้ไป
แกร๊บ!
เสียงเดินเหยียบย่ำใบไม้แห้งตลอดทางจากข้างหลังไม่ได้ดึงความสนใจของฉันได้มากเท่าที่ควร...ถ้าหากว่ามันไม่ดังตลอดทั้งทางเดินจนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ฉันจะถึงหอพักของตนเองแล้ว
ซึ่งฉันก็ตัดสินใจที่จะหันกลับไปสบมองด้านหลังเพื่อให้ได้สบายใจว่าไม่มีใครตามฉันมาจริง ๆ ไม่แน่อาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ฉันเคยขโมยของ และคน ๆ นั้นอาจจะตามมาทวงคืนก็เป็นได้...ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้วิ่งหนีได้ทันการ
“อย่าเพ้อเจ้อไปเองแบบนั้นสิ!”
ฉันสถบกับตัวเองบางเบาที่เผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างหวาดหวั่นเพราะเป็นคนที่กระทำความผิด
ก่อนจะออกเท้าเดินไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อให้ถึงห้องพักของตัวเองในเร็วไวด้วยการยอมรับจากใจจริงเลยว่าตัวเองก็แอบหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อยเลย
แกร๊บ!
แต่เสียงก็ยังดังอย่างต่อเนื่องให้ฉันเผลอยกมือขึ้นไปกำกระเป๋าคาดอกของตัวเองแน่นอย่างค่อนข้างแน่ใจแล้วว่ามีคนตามฉันมาจริง ๆ
ซึ่งฉันก็หยุดชะงักเล็กน้อยอย่างตั้งหลัก...ก่อนท้ายที่สุดตัวเองจะออกเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วด้วยความแน่ใจในตัวเองประมาณหนึ่งว่าจะไม่สามารถมีใครวิ่งตามฉันได้ทันอย่างแน่แท้
เอาดีกรีนักกรีฑาเก่าเป็นเดิมพัน!
“แฮก! หายไปไหนแล้ว!”
ฉันหลบอยู่ที่มุมตึกก่อนจะชะเง้อหน้าออกมาสบมองดูว่าใครกันที่เป็นฝ่ายวิ่งตามฉันมา เพราะเสียงของเจ้าหล่อนอยู่ใกล้กับฉันมากและดูเหมือนว่าหล่อนกำลังชั่งใจว่าฉันไปทางไหนเพราะนี่เป็นทางแยก
ก่อนดวงตาของตัวเองจะเบิกโพล่งออกมาเมื่อพบว่าคนที่ตามฉันมาตลอดทั้งเส้นทางนั้น...
คือผู้หญิงคนเมื่อคืนที่ชวนฉันไปนอนด้วย...แล้วก็ร้องไห้ใส่ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเกินเลยเธอด้วยซ้ำไป
และก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับอาจารย์ของฉัน...ที่ตำหนิการออกแบบบ้านของฉันตลอดทั้งคาบในช่วงเช้าจนฉันเสียความมั่นใจไปหมดทุกอย่างจนไม่อยากจะทำอะไรต่อ
“นี่คุณ!”
ฉันตวาดออกไปอย่างลืมตัวบวกกับความโมโหที่ไม่เข้าใจว่าเธอจะอะไรกับฉันกันนักกันหนา
ฉันก็ไม่ได้ขโมยอะไรจากเธอแถมยังอาสาขับรถไปส่งถึงคอนโด และทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนชวนฉันนอนด้วยแท้ ๆ แต่ตัวเองกลับมาร้องไห้ขี้มูกโป่งใส่จนฉันรู้สึกผิดและนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา...ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน!
“อยู่นี่เอง!”
และอยู่ ๆ ใบหน้าเคร่งครึมของเธอก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเผยยิ้มกว้าง หมดคราบอาจารย์สุดโหดที่นักศึกษากล่าวขาน...และเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของฉันเผลอสั่นไหว
พอได้มองจากมุมที่สว่าง ๆ แบบนี้โดยไร้ซึ่งอคติแล้วผู้หญิงคนนี้สวยงามมาก...ต่างจากอาจารย์หน้ายักษ์ที่ฉันเผลอด่าในใจไปหลายล้านครั้งตอนอยู่ในคลาสเรียนไปอย่างสิ้นเชิง
“อะหึ้ม!”
และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าเผลอยกยิ้มออกมาโดยไม่รู้สึกตัว หล่อนเลยยกมือขึ้นมากระแอมไอเล็กน้อยอย่างรักษามาดและกลับมาเป็นสีหน้าเรียบเฉยอีกครั้งราวกับสั่งได้
ก่อนที่เธอจะเดินมาทางฉันที่ยังคงยืนอย่างไม่เข้าใจปนเหม่อลอยอยู่ที่ทางแยก และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมทั้งยกมือขึ้นกอดอกให้ฉันขมวดคิ้วสบมองเจ้าหล่อนที่กำลังจะเอ่ยพูด
แต่รอนานเป็นนาทีเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมสาวความอะไรออกมาจากริมฝีปากสวย...
“อะไรกันล่ะนั่น?”
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันที่เอ่ยถามออกไปเพราะตรงนี้มันทั้งร้อนและอบอ้าว แทนที่ฉันจะได้กลับไปอาบน้ำและพักผ่อนในช่วงบ่าย แต่กลับต้องมายืนเล่นสงครามประสาทอยู่กับเธอคนนี้ที่เอาแต่จ้องมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ไม่ยอมพูดอะไรเสียที
“ฉันมาทวงค่าเทอม...”
“รอคุยที่มอก็ได้นี่...”
ฉันเอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจอะไรเลยกับคน ๆ นี้
และพลันนึกขึ้นได้ว่าเจ้าหล่อนมาสอนวิชาออกแบบ พ่วงกับตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษาแทนอาจารย์คนเก่าของฉันก่อนหน้านี้ที่ลาออกไปคลอดลูก
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันต้องทำอะไรที่ไม่ได้อยากจะทำ...แต่เป็นเหตุผลส่วนน้อยเพราะฉันยังมีอีกหลายเหตุผลสำหรับการกระทำที่ไม่ดีของตนเอง
“มันใกล้ครบกำหนดจ่ายแล้ว ฉันเลยต้องรีบมาคุยกับเธอให้เร็วที่สุด”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปจ่าย”
ฉันตอบรับอย่างง่ายดาย...แต่เจ้าหล่อนก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนเสียทีให้ฉันเผลอเลิกคิ้วอย่างมีข้อสงสัย
“มีอะไรอีกงั้นเหรอ?”
“ก็เปล่า...ไม่มีนี่!”
เธอเลิ่กลั่กตอบให้ฉันยิ่งมึนงงกับการกระทำของคนตรงหน้ามากไปกันใหญ่ แต่ฉันก็ไม่ได้สาวความต่อและหันหลังเตรียมที่จะเดินออกไปจากตรงนี้เพราะรับรู้ธุระของเธอแล้ว
“เดี๋ยว...นี่ฉันเป็นอาจารย์ของเธอนะ จะมาเดินหนีแบบนี้ได้ยังไงกัน!”
ฉันหันหน้าไปสบมองเธออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจการกระทำของเธออีกหน...
คน ๆ นี้จะเอาอะไรกับฉันกันแน่นะ...บ้าจริง!
“ค่ะ ฉันรับรู้แล้ว แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันจะต้องยืนอยู่ตรงนี้ต่อทั้ง ๆ ที่ก็คุยธุระกับอาจารย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“…”
“ฉันจะกลับไปพักผ่อนแล้วเตรียมตัวไปทำงานในตอนเย็นค่ะ อาจารย์มีอะไรอยากจะพูดกับฉันอีกหรือเปล่าคะ?”
ใบหน้าของเธอดูอ่อนลงเมื่อได้ยินประโยคของฉัน แต่ก็ยังขึงขังวางมาดต่อให้ฉันไม่เข้าใจคน ๆ นี้เลยจริง ๆ ว่าต้องการอะไรกันแน่
“งานของเธอ...”
“…”
“คือวิ่งราวทรัพย์อย่างนั้นเหรอ?”
“คุณรู้เหรอคะ?”
ฉันเอ่ยถามออกไปอย่างตกใจในทันทีเพราะไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะรับรู้...ก็ตัวเองเล่นเมาจนเกือบจะโดนผู้ชายที่ไหนลากไปแล้วก็ไม่รู้ตั้งขนาดนั้น!
ก่อนที่ฉันจะรีบถลาตัวเข้าไปหาเธอในทันที พร้อมกับดึงมือของเธอขึ้นมาเกาะกุมเอาไว้และสบมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเว้าวอน ซึ่งเธอก็ดูมีท่าทางตกใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดมือหนีออกจากการเกาะกุมของฉันแต่อย่างใด
“ฉันขอร้อง...อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรือไปแจ้งความได้ไหมคะ?”
“…”
“ฉันตั้งใจจะทำแค่เพียงไม่นาน หากฉันหมดธุระที่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากแล้ว...ฉันจะเลิกทำงานนี้ค่ะ ฉันสัญญา”
ฉันเอ่ยขอร้องเพื่อให้คนตรงหน้าเห็นใจ ซึ่งเจ้าหล่อนก็ดูมีสีหน้าตื่น ๆ ที่เห็นใบหน้าของฉันร้อนรนเพียงนั้น ก่อนจะถอนมือออกจากการเกาะกุมให้ฉันเผลอใจเป้วเพราะกลัวว่าเธอจะไม่รับข้อเสนอของฉัน
“เธอต้องใช้เงินมาก...อย่างนั้นเหรอ?”
ฉันพยักหน้ายืนยันในคำถามของเธอ
“ติดยา...หรือการพนัน?”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”
ฉันรีบปฏิเสธออกไปทันควันเพราะกลัวว่าใครอีกคนจะเข้าใจผิด
“ถ้าอย่างนั้นก็อธิบาย ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับปากว่าจะไม่แจ้งความ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ดี...และฉันก็เป็นอาจารย์ของเธอ”
ฉันเม้มปากแน่นอย่างไม่แน่ใจกับข้อเสนอของเจ้าหล่อน เพราะไม่รู้ว่าพูดออกไปแล้วมันจะทำให้ใครอีกคนมองฉันว่าอย่างไรกับการกระทำของตัวเองในครั้งนี้
เธออาจจะรังเกียจฉันไปเลยก็ได้...และใจจริงของฉันไม่ได้ต้องการให้เธอรู้สึกแบบนั้นต่อฉันเลย
“บอกไม่ได้เหรอ?”
“คือมันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน...ฉันขอโทษนะคะที่คงบอกไม่ได้”
สุดท้ายแล้วฉันก็เลือกที่จะปฏิเสธในการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนตรงหน้าฟัง
ซึ่งพอเธอได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าอ่อนลงมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังสบมองใบหน้าของฉันนิ่ง ๆ อย่างไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาของเธอมันแฝงเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก
เธอไม่เหมือนกับอาจารย์ที่อยู่ในห้องเรียนเลยแม้เพียงแต่น้อย...
“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
ฉันเงยหน้าสบมองเธอทันทีเมื่อเธอทำลายความเงียบของเราให้พังทลายลง
“แต่ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน และฉันสัญญาว่าฉันจะไม่บอกใครเรื่องที่เธอเป็นขโมย”
ฉันสบมองใบหน้าของเธออย่างมีความหวังในทันที
อีกไม่นานแน่นอนสำหรับอาชีพที่ฉันไม่ได้อยากทำอยู่ในตอนนี้...เพราะทุกอย่างมันใกล้จะจบลงแล้ว และฉันก็ได้แต่หวังว่าใครคนนั้นจะไม่สร้างปัญหาขึ้นมาให้ฉันต้องคอยแก้อีกเป็นครั้งที่สอง
เพราะฉันสาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าฉันจะไม่มีวันทำในสิ่งที่ไม่ดีแบบนี้อีกตลอดทั้งชีวิตของฉัน...
“เรื่องเมื่อคืน...”
เธอพูดออกมาเสียงแผ่วให้ฉันต้องเงยหน้าสบมองเธอด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเพราะไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะพูดมันขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
ใบหน้าเหนียมอายของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อและไม่แม้แต่จะสบมองใบหน้าของกันและกันให้หัวใจของฉันสั่นไหวอีกครั้งเพราะภาพนี้ของเธอซ้อนทับกับภาพเมื่อคืนวานที่ฉันได้เห็นส่วนบนที่เปลือยเปล่าของเธอแล้วจนเต็มเปี่ยมทั้งสองตา
และมันสวยงามจนทำให้ท้องน้อยของฉันมีความรู้สึกจนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างหลงลืมตัวไปชั่วขณะ...
“เราจะสานต่อ...”
“ฉันขอให้เธออย่าพูดถึงมันอีกได้ไหม?”
“…”
“มันหมายถึงว่าอย่าพูดกับใคร...”
“…”
“และทำเหมือนเรื่องเมื่อคืนนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
หัวใจของฉันราวกับได้ยินเสียงแตกสลายที่ดังขึ้นมาอย่างไม่เป็นจังหวะด้วยความอ่อนแรง
มันหมายถึงว่าฉันจะไม่มีวันได้สบมองภาพนั้นอีกแล้วอย่างนั้นหรอกหรือ...บ้าจริงที่ฉันเผลอมีความคิดชั่ววินาทีหนึ่งว่าเธอจะมาขอให้สานต่อกับเรื่องของเรา
“ค่ะ ฉันรับปาก”
สุดท้ายแล้วฉันก็ตบปากรับคำไปพร้อมกับหัวใจของตัวเองที่อ่อนล้าอย่างแสนเสียดาย
แต่นี่ถือเป็นเงื่อนไขของเราทั้งคู่แล้ว...ระหว่างฉันกับเธอเราสองคนต่างมีความลับของกันและกันที่ไม่ต้องการบอกให้ใครคนไหนได้รับรู้
ยกเว้นแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้กัน...
“ขอบใจมากนะ”
เธอยกยิ้มออกมาและฉันสัมผัสได้ถึงความโล่งใจในรอยยิ้มของเธอ
แอบเห็นชั่ววินาทีหนึ่งที่ดวงตาของเธออ่อนล้าราวกับมีเรื่องราวเศร้าใจอะไรบางอย่าง แต่มันก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติได้ในชั่วพริบตาซึ่งฉันก็ยกยิ้มตอบรับเธออย่างเป็นมิตรไมตรีและหวังให้เธอไม่กังวลเพราะฉันเป็นพวกรักษาคำพูดของตัวเองเสมอ
“ส่วนค่าเทอมของเธอ...ฉันจัดการให้แล้วกันนะ ถือว่าตอบแทนที่เธอยอมทำตามข้อเสนอของฉัน”
“ได้ไงกัน!”
ฉันรีบเอ่ยออกไปอย่างรวดเร็ว และพึ่งสังเกตในตอนนี้ว่าสรรพนามของเธอไม่ได้แทนตัวเองว่าอาจารย์เหมือนตอนแรกที่เราคุยกันอีกแล้ว
“มันใกล้จะหมดเขตแล้ว และเธอจะหมดสิทธิ์สอบ”
“แต่ฉัน...”
“ฉันเห็นผลการเรียนของเธอแล้ว และมันน่าเสียดายมากนะ...ถ้าเธอจะไม่ได้เรียนต่อเพราะไม่ได้จ่ายค่าเทอมน่ะ”
“แต่ว่า...”
“เอาเป็นว่าฉันให้ยืม แล้วเธอค่อยทำงานมาคืนฉันก็แล้วกัน ตกลงไหม?”
เธอเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับยกมือโอเค และมันทำให้ฉันเผลอหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงมาดขรึมต่อหน้าของนักศึกษาตรงหน้าของฉันจะมีมาดมุมแบบนี้ด้วย
“แต่ต้องเป็นเงินที่ถูกกฎหมายนะ ฉันไม่รับเงินที่เธอไปขโมยใครมา”
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า!”
ฉันตอบรับเหมือนปัดรำคาญ แต่หัวใจแอบพองโตไม่น้อยกับการกระทำเล็ก ๆ ของเธอ...ที่มองดูแล้วน่ารักเป็นบ้าเลย
ให้ตายเถอะ!
“งั้นก็ตกลงตามนี้ ไว้เจอกันที่คลาสเรียนนะคะนักศึกษา”
“เมื่อกี้ไม่เห็นจะเรียกกันแบบนี้...”
“ติด F วิชาอาจารย์ไปเลยไป!”
“โธ่จารย์!”
เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยมีใครเสนอตัวช่วยเหลืออะไรกับฉันเลยแม้แต่คนเดียว พอได้มีบ้างสักครั้งในชีวิตอย่างตอนนี้ที่เป็นอยู่...ทำไมหัวใจของฉันมันถึงได้เต้นแรงไม่เป็นจังหวะแบบนี้กันนะ
บ้าจริง!