เมื่อเดินมาถึงลานหน้าจวน ที่นี่ถูกจัดวางด้วยโต๊ะไม้เพื่อวางอาหาร จากการคำนวณด้วยสายตา เดาได้ว่าคงพอสำหรับรองรับแขกสักสิบคนได้ ซึ่งถงหลานเฟยนั้นก็ไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดของสมาชิกในจวนนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะมีการชวนแขกจากที่อื่นมาร่วมรับประทานอาหารด้วยหรือไม่
“เสี่ยวถง...” เสียงหวานของเจินลี่หลัวเอ่ยเรียกด้วยความอบอุ่นอย่างทุกครั้ง คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจินสวมอาภรณ์สีทองอร่ามแลดูสว่างและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ที่คอสวมสร้อยทองเส้นพองามห้อยด้วยจี้ทับทิมเม็ดโต ที่ศีรษะประดับด้วยปิ่นดอกไม้สีทองพองามไม่มากจนล้น
"มีแขกเยอะหรือเปล่าเจ้าคะท่านพี่ลี่หลัว" ความทรงจำของเจ้าของร่างเตือนถงหลานเฟยคนใหม่ว่าเธอต้องเรียกหญิงสาวตรงหน้าแบบนั้น คนถูกถามเปรยยิ้มพอใจ ที่คำพูดของถงหลานเฟยเริ่มจะกลับมาเป็นคนเดิมบ้างแล้ว
"ไม่มีใครหรอกนอกจากคนในจวน ก็มีแม่ทัพเจิน ข้า ท่านน้าทั้งสองและลูกๆ ของพวกเขาทั้งสี่คน แล้วก็เจ้า..." เมื่อเห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา เจินลี่หลัวก็นึกได้ว่าตัวเองนับคนตกไปหนึ่งคน
"อ้อ ข้าลืมคนสนิทของแม่ทัพเจินไปอีกคน" สายตาของเจินลี่หลัวที่มองไปที่สตรีในชุดสีแดงนั้น แสดงถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน นางมิได้รังเกียจที่หนิงเซียงเป็นสาวชาวบ้าน แต่รังเกียจที่นางจิตใจหยาบ ก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องการมาระรานว่าที่น้องสะใภ้ เจินลี่หลัวก็รู้จักสรรพคุณการกดขี่บ่าวในจวนของหนิงเซียงมาก่อน ทำให้ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่ตอนนั้น
"เราไปนั่งกันก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวทุกคนคงจะมากันครบ" เจินลี่หลัวไม่ได้สนใจคนที่เพิ่งจะเดินผ่านสายตาแสนรังเกียจของตัวเองไป แต่เมื่อหันไปที่โต๊ะอาหารก็พบว่าตำแหน่งที่ควรจะเป็นของนางนั้น ถูกแย่งไปโดยสตรีที่ไม่รู้ขนบธรรมเนียม
"หนิงเซียง ที่ของเจ้าอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันที่ของข้า" เจินลี่หลัวเดินตรงเข้าไปบอกกับคนที่นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งควรจะเป็นของตน ฝ่ายคนที่นั่งอยู่ก็มองหน้าคนพูดอย่างไม่เกรงกลัว พลางก้มมองที่เก้าอี้ข้างตัวที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะเงยหน้ากลับมามองเจินลี่หลัวอีกครั้ง
"ตัวนี้ก็ว่าง เหตุใดท่านพี่ถึงอยากจะมานั่งตัวที่ข้านั่งอยู่ละเจ้าคะ" เจินลี่หลัวถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบ
"ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนป่า ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนเมือง แต่เมื่อข้าบอกเจ้าแล้วก็ควรจะลุกขึ้น มิใช่มาเถียงข้าเช่นนี้" คนถูกต่อหน้าเม้มปากแน่น นางอยากจะลุกขึ้นเถียงใจแทบขาด แต่เพราะเคยทำไปแล้ว และถูกเจินฮุ่ยหมิงต่อว่า จึงไม่กล้าจะกระทำเช่นนั้นอีก
"อันที่จริงเจ้าน่าจะจดจำบ้าง เพราะนี่ก็ไม่ใช่การร่วมโต๊ะอาหารครั้งแรก ถึงจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างไร แต่การจดจำเรื่องที่เคยทำไปบ้างแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรนักหนา" ถงหลานเฟยลอบกลืนก้อนน้ำลายลงคอ แต่ละวาจาของคุณหนูใหญ่ตระกูลเจินนั้นช่างบาดลึก ดูจากหน้าคนถูกต่อว่าก็รู้สึกได้
"คุยอะไรกันอยู่หรือ" เสียงของเจินฮุ่ยหมิงดั่งเสียงระฆังสวรรค์ หนิงเซียงรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปหลบหลังบุรุษที่เพิ่งเดินเข้ามา พร้อมกับคู่สามีภรรยาและเด็กๆ อีกสี่คน
"ข้ากำลังอบรมสั่งสอนหนิงเซียงเรื่องมารยาทน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" เจินลี่หลัวว่าพลางมองไปที่สตรีผู้หลบอยู่ด้านหลังของน้องชาย
"งั้นหรือ เชิญนั่งเถิดท่านน้า" เขาไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ แต่เลือกที่จะหันไปเชิญผู้ใหญ่ให้นั่งแทน หนิงเซียงยังคงเดินไปหมายจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่ก็ถูกเจินฮุ่ยหมิงปรามเอาไว้เสียก่อน
"หนิงเซียง...ตรงนั้นที่ของท่านพี่ลี่หลัว ที่ของเจ้าอยู่ทางนั้น" เขาว่าพลางผายมือไปที่เก้าอี้ตัวท้ายสุดของโต๊ะ
"ข้าเพิ่งจะสั่งสอนไปเมื่อครู่ เพียงพริบตาเดียวนางก็ลืมเสียแล้ว" เจินลี่หลัวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ข้า..."
"เชิญนั่งเถิด อาหารจะเย็นเสียหมดแล้ว" ไม่ทันที่หนิงเซียงจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เจินฮุ่ยหมิงก็แทรกขึ้นเสียก่อน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และอบอุ่นสมกับเป็นการทานมื้อเย็นกับครอบครัว จะมีก็แค่หนิงเซียงที่จะหายไปจากวงสนทนาอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่มีแม่ทัพเจินคอยดึงเข้ามานางก็จะจมหายไปจากการสนทนาอย่างไร้ตัวตน
การรับประทานอาหารในวันนี้ทำให้ถงหลานเฟยได้รู้ว่า เจินอี้หานกับฟางเชียนหยิน น้องชายของเจินลี่หมิน แม่ของเจินลี่หลัวและเจินฮุ่ยหมิง เป็นผู้เลี้ยงดูคนทั้งสองมาตั้งแต่มารดาของพวกเขาสิ้นบุญ เจินลี่หมินเป็นอนุของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เพราะเคยเป็นนางในรับใช้มเหสีจึงทำให้ผู้เป็นนายโกรธมาก ที่ถูกแบ่งความรักไป ทั้งนางยังมีบุตรกับฮ่องเต้ถึงสองคน
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ถูกกีดกันจากพระมเหสีมิให้ใช้ราชสกุลร่วมกับนาง ทั้งยังไม่ยอมรับเด็กทั้งสองให้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ฮ่องเต้ก็มิได้ใจร้ายขนาดจะยอมปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขตกระกำลำบากจนเกินไป เขาได้มอบทรัพย์สมบัติ และประทานยศให้แก่เจินอี้หานเพื่อไว้ใช้ดูแลบุตรทั้งสองของเขา
ส่วนเจินลี่หมินแม้จะไม่ได้อยู่ในวังต่อ ต้องออกมาเลี้ยงลูกอยู่กับน้องชาย แต่ก็แอบลักลอบมีสัมพันธ์กับฮ่องเต้อยู่เรื่อยๆ จนพระมเหสีจับได้และถูกสั่งเก็บในที่สุด ส่วนฮ่องเต้เมื่อเสียหญิงคนรักไปก็เสียอกเสียใจจนสติฟั่นเฟือน และสิ้นพระชนม์ลงอย่างมีเงื่อนงำ แต่ด้วยอำนาจของพระมเหสีก็ไม่มีใครกล้าจะสืบหาความจริงเรื่องการตายของฮ่องเต้ ทำให้เรื่องจบลงไปอย่างเงียบๆ และบุตรชายเพียงคนเดียวก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ทันที ในขณะที่มีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
"ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน" หลังจากรับประทานอาหารเสร็จถงหลานเฟยก็หนีชุนเหยียนมาในความมืด แล้วแอบตามแม่ทัพเจินมาจนถึงหน้าเรือนของเขา
"เสี่ยวถง...เจ้ามีอะไรหรือถึงได้มามืดค่ำเช่นนี้"
"ข้าจะขอถอนหมั้น" เพราะตั้งใจมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ถงหลานเฟยจึงพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม และคำพูดของนางก็ทำเอาคนฟังนิ่งไปชั่วขณะ
"คิดดีแล้วหรือ"
"คิดดีแล้ว คิดมานาน คิดตั้งแต่ที่ท่านไปชายแดนจนกลับมา" คนพูดย้ำอย่างหนักแน่น
"หากเจ้าปฏิเสธการแต่งงานกับข้า ชีวิตของเจ้าจะลำบากมากนะเสี่ยวถง" นี่คือเรื่องเดียวที่เขาเป็นกังวล
"จะไปยากอะไร ท่านก็มอบสมบัติให้ข้าเอาไปตั้งตัว ข้าสัญญาว่าถ้าได้สมบัติพวกนี้ไปแล้วจะไม่กลับมารบกวนท่านอีกเลย"
"ชีวิตเจ้าไม่เคยลำบาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีบริวารมากมาย แต่ตอนนี้เจ้าเหลือเพียงผู้เฒ่าชุนเหยียนที่ร่างกายแก่ชรามากแล้วเพียงคนเดียว เจ้าจะทำอะไรได้"
"ก็ยังไม่ทันได้ลองเลย ท่านก็มาพูดตัดบทกันเสียแล้ว ข้าไม่อยากแต่งงานกับท่าน ท่านเองก็มีคนรักอยู่แล้ว ถ้าเราถอนหมั้นกันก็ยุติธรรมกับเราทั้งสองคนมิใช่หรือ" หญิงสาวพยายามเสนอ แต่อีกฝ่ายกลับเงียบไปเสียอย่างนั้น
"ท่านแม่ทัพ ท่านเองก็คงไม่ได้อยากแต่งงานกับข้าหรอกใช่ไหม ตอนนี้ข้ายังสาวยังสวย ไปหาจับคนรวยๆ คนอื่นที่ไม่ได้มีคนรักอยู่แล้วแบบท่านสักกี่คนก็ยังได้..."
"ไม่ได้ เจ้ากลับเรือนไม่นอนเถิด ข้าเองก็อยากพักผ่อนแล้ว" พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินเข้าเรือนไปทันที
"อ้าว ท่านแม่ทัพ นี่เรายังคุยกันไม่จบนะ กลับมาก่อน!!! ท่านแม่ทัพ" ไม่ว่าถงหลานเฟยจะร้องเรียกอย่างไร เขาก็ไม่ได้สนนางเลยสักนิด จนสุดท้ายหญิงสาวต้องยอมถอดใจกลับเรือนตัวเอง แต่ในมุมหนึ่งของเรือน มีสายตาริษยามองดูหญิงสาวเดินจากไป หนิงเซียงแอบตามถงหลานเฟยมาตั้งแต่ตอนที่เห็นว่านางเดินมาทางเรือนของแม่ทัพ และได้ยินบทสนทนาของทั้งสองตั้งแต่ต้น คำถามเดียวที่มีในใจของนางคือ 'ทำไมท่านแม่ทัพถึงไม่ยอมถอนหมั้นกับนางกันนะ'