หลังออกมาจากร้านปล่อยเงินกู้ ถงหลานเฟยเดินตามหาชุนเหยียนอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจกลับจวน เพราะคิดว่าชุนเหยียนคงจะกลับไปแล้ว เนื่องจากตัวเองเสียเวลาที่ร้านแรกอยู่พักหนึ่ง แล้วยังต้องไปต่อรองเจรจากับอีกร้านอยู่ตั้งนานสองนาน
แต่เมื่อมาถึงจวน กลับพบว่ามีผู้คนเดินให้พลุกพล่านไปหมด เมื่อเพ่งมองดูก็พบว่ามีแม่ทัพเจิน กับคุณหนูลี่หลัวพี่สาวของเขายืนอยู่ตรงด้านหน้าของคนทั้งหมด และมีชุนเหยียนนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นด้านข้างคนทั้งสอง
คนก่อเรื่องรีบวิ่งเข้าไปหาชุนเหยียน เพราะรับรู้ได้ว่าที่คนมารวมตัวกัน ต้องเป็นเพราะชุนเหยียนหาตนไม่เจอแน่ๆ
“เสี่ยวถง! เจ้าหายไปไหนมา รู้หรือไม่ว่าคนพวกนี้ตามหาเจ้าจนทั่ว” เจินลี่หลัวพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงห่วงใย นางเป็นกังวลมากกว่า การหายตัวไปของถงหลานเฟยในเช้านี้ จะเป็นฝีมือหนิงเซียง
“ข้า…ไปตลาด แต่พลัดหลงกับชุนเหยียน เพราะคนเยอะ” เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นรู้เรื่องการหายไปของแหวนแล้วหรือยัง ถงหลานเฟยจึงเลือกที่จะพูดกว้าง ๆ ไปก่อน
“ทีหลังจะไปตลาดก็ให้พาบ่าวคนอื่นไปด้วย ชุนเหยียนชรามากแล้ว เดินตามเด็กสาวเยี่ยงเจ้าไม่ทันหรอก หรือจะให้ดีหากอยากได้อะไรก็ให้ใช้บ่าวในจวนไปซื้อให้ เป็นสตรีมิควรไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่” เจินฮุ่ยหมิงปรามขึ้น เขาเองก็เป็นห่วงถงหลานเฟยไม่น้อยไปกว่าพี่สาวเลย เพราะรู้ดีว่าคู่หมั้นของตนผู้นี้ บอบบางและอ่อนต่อโลกมาก การหายไปในที่ชุมชนเช่นนั้นอาจจะฟังดูเหมือนไม่อันตราย แต่เพราะคนเยอะและมาจากต่างถิ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
“แล้วเหตุใดสตรีถึงมิควรไปเดินตลาด” คนถูกต่อว่าลุกยืนขึ้นเถียงอย่างไม่ยอม
“เพราะมันอันตราย ในตลาดมีผู้คนมาจากต่างบ้านต่างเมืองมากมาย คนไม่ดีก็แฝงตัวอยู่ด้วย เจ้าเป็นสตรีหากเกิดเหตุร้ายขึ้นใครจะช่วยได้ทัน”
“ในตลาดคนพลุกพล่านออกจะตายไป หากมีใครมาทำอะไรข้า ก็ต้องมีคนช่วยอยู่แล้ว อีกอย่างข้ามิใช่เด็กๆ ท่านอย่ากังวลไปเลยดีกว่า”
“เสี่ยวถง!!!” ไม่ทันที่ถงหลานเฟยจะได้เอ่ยปากเถียงอะไรอีก เจินลี่หลัวก็เขามาขวางกลางลำระหว่างคนทั้งสองเสียก่อน เพราะดูสถานการณ์จะไม่ค่อยดีเสียแล้ว
“เอาเถิด เสี่ยวถงก็กลับมาอย่างปลอดภัยดีแล้ว คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองเสีย” เจินลี่หลัวออกคำสั่งกับบ่าวในบ้าน ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปเมื่อสิ้นคำสั่ง สายตาสงสัยของแม่ทัพเจิน มองดูหญิงสาวที่เพิ่งจะเถียงกับเขาฉอดๆ อย่ามิเคยเป็นมาก่อนด้วยสายตาประหลาดใจ ‘นางลืมแม้กระทั่งตัวตนของตัวเองเชียวหรือ’
เขาคิดตั้งคำถามในใจ แม้ว่าไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าไรนัก แต่ก็พอรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เพราะก่อนที่นายกองถงจะสิ้นบุญไป เขาก็เคยสนิทชิดเชื้อและแวะเวียนไปพบปะพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง และพอได้เห็นหน้าค่าตาถงหลานเฟยอยู่บ้างจนพอจะรู้ว่านางเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีครั้งไหนลุกยืนเถียงเขาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นนี้มาก่อนด้วย
“ต่อไป หากเจ้าอยากจะไปตลาด ให้ชุนเหยียนไปชวนข้าด้วยก็ได้ ไปหลายคนปลอดภัยดี” เจินลี่หลัวหันบอกกับว่าที่น้องสะใภ้ของตน
เมื่อจบเรื่องแล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไป ถงหลานเฟยพยุงชุนเหยียนที่เป็นลมเป็นแล้งไปด้วยความเป็นห่วงเจ้านายกลับเรือนของตน ส่วนเจินฮุ่ยหมิงก็มองดูหญิงสาวเดินจากไปพร้อมกับความสงสัยที่แน่นอยู่เต็มอก
“มองแบบนี้ คิดอะไรอยู่หรือ?” คนเป็นพี่สาวเอ่ยถามน้องชาย นางสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งเกี่ยวกับถงหลานเฟย อยู่ในความคิดของเจินฮุ่ยหมิง
“ข้าเพียงไม่ชินตา กับท่าทางของนางเมื่อครู่”
“ข้าเองก็ไม่ต่างกับเจ้าหรอก ตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาวันนั้น นางดูจะจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ แม้แต่ทักษะการปักผ้าที่นางเก่งกาจ ก็ยังลืมจนสิ้น” เจินฮุ่ยหมิงพยักหน้ารับคำของพี่สาว ก่อนจะแยกออกมาที่ห้องหนังสือของตัวเอง ช่วงนี้สถานการณ์ที่ชายแดนไม่รุนแรงนัก เพราะเขาเพิ่งได้รับชัยชนะมาหมาดๆ จึงได้มีเวลากลับมาพักผ่อนที่เมืองหลวง
“ยุ่งอยู่หรือไม่” เสียงของใครบางคนทำให้เจินฮุ่ยหมิงต้องละสายตาจากตำราในมือ หนิงเซียงเดินเข้ามาพร้อมกับไหสุราที่เพิ่งจะได้มาจากตลาดเมื่อเช้านี้
“ไม่ แต่ข้ายังไม่อยากดื่มตั้งแต่เช้าหรอกนะ” เขาบอกกับหญิงสาวตรงหน้า เพราะเห็นของที่นางนำมาด้วย ผู้มาเยือนยิ้มเจื่อนก่อนจะขยับไหเหล้าหลบไปวางที่มุมโต๊ะ
“ข้าเห็นบ่าวในจวนไปเดินทั่วตลาด เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” หนิงเซียงออกไปหลังถงหลานเฟยไม่นาน ทั้งยังกลับมาทีหลัง ทำให้ไม่รู้เรื่องการพลัดหลงกับชุนเหยียนที่ทำให้บ่าวในจวนตามหากันจนวุ่นวาย
“เสี่ยวถงหลงกับแม่นมชุนเหยียน หาอยู่นานก็ไม่เจอ แต่สุดท้ายนางก็กลับมาเอง” เจินฮุ่ยหมิงเล่าอย่างกระชับ คนฟังเลิกคิ้วเมื่อพูดถึงสตรีผู้นี้ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่านางก็เจอถงหลานเฟยเสียด้วยเมื่อเช้านี้
“งั้นเหรอ...ข้าเห็นนางเดินลับๆ ล่อๆ อยู่สำนักปล่อยเงินกู้ของเถ้าแก่ซ่งไห่ ท่าทางเหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากที่นั่น แต่นางก็มิใช่คนยากจน แถมยังได้เงินจากท่านทุกเดือน ไม่น่าจะไปกู้เงินหรอก” หนิงเซียงพูดตามที่คิด และก็คิดเช่นเดียวกันกับเจินฮุ่ยหมิง ว่าหากนางไม่ได้ไปกู้เงิน แล้วจะไปทำอะไรที่นั่น
“เมื่อคืนก่อนข้าได้ยินนางมาขอถอนหมั้นกับท่าน เหตุใดท่าจึงปฏิเสธ” เหตุผลที่หนิงเซียงไปหาเหล้าดื่มแต่เช้า ก็เพราะสลัดเรื่องนี้จากหัวไม่ได้ ในเมื่อไม่ได้ดื่มเสียแล้ว การถามออกไปตรงๆ น่าจะช่วยทำให้หายข้องใจได้ดีกว่า เจินฮุ่ยหมิงจ้องมองคนถาม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาแอบฟัง แต่ก็ยินดีจะตอบอย่างไม่คิดปิดบัง
“ข้าถอนหมั้นกับนางตามอำเภอใจมิได้”
“ทำไม?”
“เจ้าก็น่าจะรู้ ว่าเสี่ยวถงไม่เหลือญาติผู้ใหญ่ที่ไหนแล้ว ข้าถึงได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับนาง เพื่อสดุดีแด่ความดีที่บิดาของนางเคยทำเอาไว้” พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ภาพที่นายกองถงกระโดดเอาตัวมาบังลูกธนูให้เขาก็ยังติดตาอยู่มิเคยลืมเลือน
“แต่เพราะนางไม่มีญาติผู้ใหญ่ข้าจึงได้ขอหมั้นนางกับฮ่องเต้ นั่นจึงหมายความว่านางเป็นคู่หมั้นราชทาน จะแต่งก็ต้องรอคำบัญชาจากฝ่าบาท จะถอนหมั้นก็ต้องได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทด้วยเช่นกัน” ฟังถึงตรงนี้ หนิงเซียงยิ่งมั่นใจว่า ความตายคือหนทางเดียวที่จะล้มเลิกการแต่งงานบ้าๆ ครั้งนี้ได้