“แล้วยังไงต่อ เล่าต่อสิทิพย์หยุดทำไม”
“อะ อายตอบว่าอายไม่ไป อายบอกไม่อยากไป และอายยังบอกอีกว่าสอบเสร็จแล้วอายจะกลับบ้าน…” น้ำทิพย์หยุดพูดลงพลางมองหน้าชานนท์อีกครั้ง ก่อนจะเห็นแววตาของร่างสูงที่เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้น้ำทิพย์รีบเล่าต่อทันที
“แล้วอายก็เดินไปขึ้นรถใครก็ไม่รู้ที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว เหมือนนัดกันไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่รถดูหรูมากเลยนะ ทิพย์มั่นใจว่าไม่ใช่รถที่บ้านอายแน่นอน เพราะรถคันนี้ทิพย์ไม่คุ้นตาเลย พอทิพย์กำลังจะวิ่งเข้าไปถามอาย รถคันนั้นก็วิ่งออกไปแล้ว” น้ำทิพย์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าสร้อย เธอมองหน้าชานนท์เพียงนิดก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาคล้อยตามคำพูดของเธออย่างตั้งใจ
“ทิพย์พยายามโทร. ตามอายแล้ว แต่อายก็ไม่ยอมรับสาย ...นนท์ ทิพย์ว่า...”
“ชานนท์ได้เวลาลงสนามแล้ว” เสียงโค้ชที่เดินมาตามชานนท์ด้วยตัวเองเอ่ยขึ้น ทำให้น้ำทิพย์หยุดลง
ชานนท์ยอมเดินตามหลังโค้ชไปด้วยความรู้สึกที่สับสน หูอื้อไปหมด เสียงร้องของคนเชียร์ หรือแม้กระทั่งเสียงดนตรีต่างๆ ไม่เข้าหูเขาเลย เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
ตลอดการแข่งขันชานนท์ทำเสียคะแนนบ่อยมาก ทั้งที่ความจริงแล้วเขาคือตัวเต็งของทีม หรือจะบอกว่าเป็นตัวทำแต้มก็คงไม่ผิดนัก แต่วันนี้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวทำแต้มกลับทำแต้มเสียบ่อยมาก จนเพื่อนๆ และโค้ชต้องเตือนสติเขาอยู่บ่อยๆ
“ไอ้นนท์ มีสติหน่อยดิวะ” เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งร้องขึ้นเมื่อชานนท์เผลอยืนเหม่อจนรับลูกบาสไม่ได้
“ชานนท์ตั้งสติหน่อย” เสียงโค้ชตะโกนตามมาอีกคน
“มึงเป็นอะไรวะ” เพื่อนร่วมทีมที่ยืนอยู่ใกล้กับเขาถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะชานนท์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาค่อนข้างมีสมาธิอย่างมากเวลาลงแข่ง
เสียงร้องและเสียงเตือนของทุกคนเหมือนมันผ่านจากหูซ้ายไปหูขวาของชานนท์ เขาไม่ได้รับรู้ที่โค้ชและเพื่อนถามอะไรออกมาเลย มีเพียงคำพูดของน้ำทิพย์ที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาอยู่ในตอนนี้
การแข่งขันครึ่งแรกจบลง ทีมของชานนท์ยังตามอยู่มาก เพราะคนที่ทางทีมวางตัวไว้ทำแต้มกลับทำแต้มไม่ได้เลย เผลอๆ กลับเป็นคนทำเสียแต้มเสียมากกว่า จนโค้ชต้องเรียกเขาเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวเมื่อถึงช่วงพัก
“ชานนท์เป็นอะไรรึเปล่า” โค้ชถามขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง
(...) ร่างสูงยังคงเงียบไร้ซึ่งคำตอบ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของชานนท์เลยสักนิด
“ชานนท์ ครูขอแนะนำอะไรเราอย่างนะในฐานะโค้ช และรุ่นพี่คนหนึ่ง ตอนนี้เรากำลังจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น จากชีวิตวัยมัธยมสู่ชีวิตมหา’ลัย เมื่อนั้นเราต้องรู้จักคิดและแยกแยะเรื่องบางเรื่องออกให้เป็น เราต้องรู้หน้าที่ของเราว่าตอนนี้เรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ และเราต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้” โค้ชหนุ่มมองหน้าชานนท์ที่ยังยืนฟังเขานิ่งไม่พูดหรือโต้แย้งอะไร ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า
“ยิ่งกับคำว่าทีม เรายิ่งควรให้ความสำคัญ เพราะนั่นหมายความว่ามันไม่ใช่แค่ชานนท์คนเดียวนะที่ล้ม แต่มันคือเพื่อนๆ ทุกคนในทีมต้องล้มไปกับชานนท์ด้วย ถ้าตอนนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ โค้ชขอให้ชานนท์วางมันไว้ก่อน และโฟกัสแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นคือการแข่งขันเท่านั้น ทำหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน เรื่องอื่นค่อยเคลียร์ตามหลัง นนท์ทำมันได้ไหมรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้ไหม” โค้ชหนุ่มเอ่ยถามลูกศิษย์โดยใช้น้ำเสียงและแววตามุ่งมั่น ก่อนจะพูดเตือนสติเขาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเลือกจะให้กำลังใจมากกว่ากดดัน
“โค้ชไม่รู้หรอกนะว่านนท์กำลังเจอกับเรื่องอะไรถึงทำให้นนท์เสียสมาธิได้มากขนาดนี้” โค้ชเอ่ยขึ้นก่อนจะตบบ่าชานนท์เบาๆ และพูดขึ้นมาอีกว่า
“ถ้าใครเขาไม่รักนนท์ นนท์ต้องรู้จักรักตัวเองนะ นนท์คือความภาคภูมิใจของโค้ชและทีมมาโดยตลอด อย่าให้ใครมาทำให้ความภาคภูมิใจของพวกเราต้องแย่ลงไปเลยนะ โค้ชเชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรนนท์ได้ ถ้านนท์ไม่อนุญาตให้เขาทำ อย่าให้ใครมามีอิทธิพลเหนือเรา จะดีหรือร้ายต้องเป็นเราที่เป็นคนเลือกที่จะทำ ไม่ใช่ให้ใครมาทำให้เราต้องเป็น” แววตาชานนท์เริ่มแดงขึ้นเมื่อโค้ชจี้ตรงกลางจุดของเขา ชายหนุ่มอดกลั้นมันเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางอื่น
“โค้ชเชื่อใจนนท์นะ และเพื่อนๆ ทุกคนก็เชื่อใจนนท์มากด้วยเช่นกัน พวกเรารอนนท์อยู่นะ” โค้ชพูดขึ้นก่อนจะตบไหล่ชานนท์เบาๆ และเดินออกไป ปล่อยให้ชานนท์ได้อยู่กับตัวเองสักพัก