จิรัชยากล่าวขอบคุณฟาเซียนางกำนัลขององค์หญิงมารีอาห์ และทหารวังที่อุตส่าห์เดินมาส่งหล่อนถึงที่หน้าเรือนพัก แต่เมื่อคนเหล่านั้นเดินจากไปแล้ว ฮันนาที่บังเอิญเห็นเข้าพอดีก็รีบเดินตรงเข้ามาหาเรื่อง
“แกสะเออะเข้าเฝ้าองค์สุลต่านทำไม นังจินนี่!”
“โอ๊ย...” ร่างของจิรัชยาถูกผลักจนล้มหงายลงไปกับพื้นดินอย่างแรงๆ บาดแผลเก่าที่ยังไม่หาย ทำให้กายสาวเจ็บระบมยิ่งนัก
“อย่ามาทำเป็นบีบน้ำตา แกตอบฉันมา แกเสนอหน้าไปเข้าเฝ้าองค์สุลต่านทำไม หรือว่าแกคิดจะแทนที่ฉัน!”
“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะคะพี่ฮันนา” หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่กล้าแม้แต่จะป้องกันตัวเอง
“ถ้าแกไม่ได้คิดอย่างนั้น แกไปเข้าเฝ้าองค์สุลต่านทำไม หึ!”
นิ้วเรียวของฮันนาจิ้มหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องสาวคนละแม่แรงๆ จนหงายไปด้านหลัง
“องค์สุลต่านเรียกฉันไปเข้าเฝ้าค่ะ ฉันไม่ได้เสนอหน้าไปเอง” จิรัชยาตอบสะอึกสะอื้น
ฮันนายืนนิ่ง และขบคิด “องค์สุลต่านเรียกแกไปเข้าเฝ้าทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
จิรัชยายกมือขึ้นป้ายน้ำตาบนแก้มนวลที่ไหลไม่หยุด ก่อนจะละล่ำละลักตอบความจริงออกมา “องค์สุลต่าน... เรียกฉันเข้าไปสั่งว่าอย่าได้ชักชวนองค์หญิงมารีอาห์ให้เสด็จออกไปเที่ยวนอกวังตอนกลางคืนอีกค่ะ”
รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าหวานของฮันนาในทันที
“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง หึ... สะใจ”
จิรัชยาช้อนตาของมองฮันนา
“ทำไม... พี่ฮันนายิ้มแบบนั้นล่ะคะ หรือว่า...”
“แกไม่ต้องมาทำเป็นสู่รู้เลย ไสหัวไปให้พ้น ไปสิ หรือว่าอยากถูกตบอีก!”
ฮันนาถลึงตา และเงื้อมือกลางอากาศใส่น้องสาวคนละแม่ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
“ฉัน... ไปแล้วค่ะ” จิรัชยารีบลนลานหนีออกไปด้วยความตื่นกลัวเป็นที่สุด
เมื่อยืนอยู่ตามลำพัง ฮันนาก็ระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจเป็นที่สุด
“อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกันฉันนัก แกจะต้องไม่มีวันสงบสุข นังองค์หญิงจอมหยิ่ง”
วันเวลาผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่า แต่จิรัชยากับมารดาก็ยังต้องก้มหน้ารับกรรมอยู่ในเรือนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเหมือนเดิม หล่อนกับแม่ถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวในเรือนที่รับคำสั่งจากฮันนาและวีณาผู้เป็นภรรยาเอก หลายครั้งที่หล่อนถามแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเมื่อไหร่จะไปจากที่นี่ แต่แม่ก็ยังอดทนเหมือนเดิม และหล่อนที่เป็นลูกก็จำต้องเคารพการตัดสินใจของท่านอย่างช้ำใจ
งานอภิเษกเดินทางเข้ามาเจียนจะถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ภาพที่ฮันนามีความสุข ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทุกๆ คนบนเรือนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเต็มไปด้วยความรื่นเริง หล่อนก็ได้แต่ยิ้มให้กับบุญวาสนาของฮันนาทั้งน้ำตา
“ถ้าไม่มีคุณหนูฮันนา เจ้าก็จะเป็นอีกคนที่มีสิทธิ์ถูกเลือกขึ้นเป็นองค์สุลตาน่าขององค์สุลต่าน”
แม่ของหล่อนพูดขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง และหล่อนหันไปยิ้มเศร้าสร้อยให้ท่าน
“ฉันไม่อาจเอื้อมคิดแบบนั้นหรอกค่ะแม่”
“แม่รู้ แต่แม่แค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้น เพราะเจ้าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ต่างจากคุณหนูฮันนา แม้ว่าจะมีแม่เป็นไพร่ในเรือนก็ตาม”
แม่ของหล่อนน้ำตาซึม หล่อนโผเข้ากอดแม่เอาไว้ และพูดปลอบประโลมท่าน
“ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ค่ะแม่ ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าไม่มีพี่ฮันนา แล้วฉันจะมีสิทธิ์ถูกคัดเลือกได้เป็นองค์สุลตาน่าแห่งฟาดิลาห์ ดังนั้น แม่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ”
เพราะถึงไม่มีฮันนา องค์สุลต่านแห่งฟาดิลาห์ก็ไม่มีทางเลือกหล่อนอยู่ดี เพราะพระองค์เกลียดชังหล่อน
“แม่แค่รู้สึกผิดกับเจ้าน่ะ จินนี่”
“แม่อย่าคิดแบบนั้นสิคะ ในชีวิตของฉันไม่เคยหวังอะไรเลย นอกจากขอแค่ให้ได้อยู่กับแม่แบบนี้ทุกวันก็พอแล้วค่ะ”
น้ำตาของจันจิราไหลรินออกมาอาบแก้ม หล่อนกอดลูกสาวเอาไว้แนบอก และมองออกไปนอกหน้าต่าง
ในที่สุดวันที่พสกนิกรชาวฟาดิลาห์รอคอยก็มาถึง... นั่นก็คือวันอภิเษกสมรสขององค์สุลต่านหนุ่มรูปงามกับลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย
งานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษกขององค์สุลต่านลูฟาสถูกจัดขึ้นอย่างหรูหรา ยิ่งใหญ่ สมกับพระเกียรติของจ้าวผู้ครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล
แขกเหรื่อผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ รวมถึงเชื้อพระวงศ์จากดินแดนใกล้เคียงต่างเดินทางมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง คำถวายพระพรมากมายมอบแต่คู่บ่าวสาวล้นหลาม
วรกายสูงเพรียวกำยำสุดสง่าของลูฟาสอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าแขกบ้านแขกเมือง ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความผ่อนคลายและรื่นเริง
“หม่อมฉันขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นด้านซ้ายมือ ทำให้ลูฟาสละสายตาจากสหายสนิทและภรรยาของเขานั่นก็คือจามีลกับชมพูนุช มามองเจ้าของคำอวยพรแทน
“คาฟาห์... พี่นึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว”
คาฟาห์ บิน โมฮัมหมัด อัล ซานัล คือลูกพี่ลูกน้องของลูฟาสนั่นเอง บิดาของคาฟาห์คือน้องชายแท้ๆ ของบิดาของเขา และพวกเขาก็สนิทสนมกันมากตั้งแต่เยาว์วัย จนกระทั่งคาฟาห์ย้ายตามบิดาหรือก็คือชีคโมฮัมหมัดไปพำนักที่เมืองไทย เขากับคาฟาห์จึงไม่ค่อยได้พบหน้ากันอีก
“หม่อมฉันจะไม่มาร่วมยินดีกับเสด็จพี่ได้ยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมากน้องชาย” ลูฟาสยกมือขึ้นตบบ่ากว้างของคาฟาห์เบาๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเพื่อหาชีคโมฮัมหมัด
“แล้วท่านอาไม่ได้มาพร้อมเจ้าหรอกหรือคาฟาห์”
ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเคราจางๆ ของคาฟาห์เคร่งขรึมขึ้นในทันที แต่ชายหนุ่มก็พยายามฝืนยิ้ม “ท่านพ่อสุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หมอประจำตัวไม่อนุญาตให้เดินทางไกลพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้าว นี่ท่านอาป่วยหรือ”
“ก็โรคคนไม่ยอมแก่นั่นแหละพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
แม้คาฟาห์จะพูดคล้ายกับไม่ใส่ใจนัก แต่ลูฟาสรู้ดีว่าน้องชายรักบิดามากแค่ไหน
“แล้วท่านอายังอยู่กับผู้หญิงไทยคนนั้นหรือเปล่า ชื่ออะไรนะ พี่จำไม่ได้แล้ว...”
“อย่าว่าแต่เสด็จพี่จำไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน ท่านพ่อเปลี่ยนภรรยาเป็นว่าเล่น”
“ก็ผู้หญิงพวกนั้นทิ้งท่านอาไปไม่ใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ พวกนางกอบโกยเสร็จก็ชิ่งคนแก่อย่างท่านพ่อไปอย่างไม่ดูดำดูดี หม่อมฉันก็เตือนท่านพ่อไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าอย่าหลงเชื่อพวกผู้หญิงสาวๆ สวยๆ พวกนั้น พวกหล่อนก็แค่มาขุดทองเท่านั้นแหละ ไม่มีใครรักท่านพ่อจริงๆ สักคน”
“พี่เสียใจด้วยนะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ แต่เสด็จพี่ไม่ต้องเสียพระทัยกับท่านพ่อหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ท่านพ่อกำลังหมายตาผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว”
ลูฟาสหัวเราะร่วน ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ท่านอาจะเจ็ดสิบอยู่แล้ว แต่ยังเตะปี๊บดังอยู่เลย วันหน้าพี่คงต้องไปขอคำแนะนำจากท่านอาแล้วละ”
คาฟาห์ไม่ได้รู้สึกขบขันด้วยเลย เพราะเขาอยากให้บิดาหยุดเรื่องตัณหา และหันมาดูแลสุขภาพในบั้นท้ายชีวิตจะดีกว่า แต่ท่านก็ไม่ยอมหยุดเสียที
ลูฟาสเห็นลูกพี่ลูกน้องหน้าเครียดๆ ก็อดที่จะชวนคุยไม่ได้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ เมื่อไหร่จะแต่งงานสักทีล่ะ ครองตัวเป็นโสดมานานแล้วนะเจ้าน่ะ”
คาฟาห์ส่ายหน้าดิก ปฏิเสธทันควัน “จากที่หม่อมฉันเห็นสิ่งที่ท่านพ่อถูกกระทำ หม่อมฉันก็มองไม่เห็นความดีของสตรีอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้หญิงดีๆ ก็ยังคงมีอยู่นั่นแหละ แต่เจ้าอาจจะยังไม่เจอ”
คาฟาห์แค่นยิ้ม ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ “วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของเสด็จพี่ หม่อมฉันไม่ควรนำเรื่องระคายพระทัยมาทูลเลย”
“พี่เป็นคนถามเจ้าต่างหาก” ลูฟาสอมยิ้ม ยกมือขึ้นตบบ่าของลูกพี่ลูกน้องสุดหล่ออีกครั้ง “งั้นตามสบายนะคาฟาห์ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับท่านทูตก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
คาฟาห์มองตามเรือนกายสูงใหญ่ของลูฟาสไปจนลับตา ก่อนจะถอนใจออกมาแผ่วเบา
‘ชีวิตคู่หรือ ไม่เห็นน่าพิสมัยเลยสักนิด’
ประสบการณ์จากคนใกล้ตัวนั่นก็คือบิดา ทำให้คาฟาห์ขยาดการมีความรัก และก็ขยะแขยงผู้หญิงหน้าตาดีๆ พวกนั้นเป็นที่สุด เพราะผู้ชายไม่อาจล่วงรู้เลยว่า ภายใต้ใบหน้าสวยงามของพวกหล่อน มันซ่อนมีดเอาไว้กี่เล่ม