ร่างอรชรนั่งทรุดฮวบกองกับพื้นอยู่แทบเท้าของเจ้าผู้ครองแคว้นยิ่งใหญ่
จิรัชยาถูกองค์สุลต่านเรียกเข้าเฝ้าเป็นการด่วน ซึ่งหญิงสาวรู้ดีว่าจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีต่อตนเองอย่างแน่นอน
หล่อนนั่งส้นเท้าอยู่เบื้องหน้าของเขา ผู้ชายที่หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะช้อนตาขึ้นมองสักเสี้ยววินาที
“เงยหน้าขึ้นมองเรา”
คำสั่งกระด้างของลูฟาสทำให้ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดไร้สีเลือดจำต้องแหงนเงยขึ้น
องค์สุลต่านรูปงามที่เป็นตัวแทนความสมบูรณ์แบบของบุรุษเพศทั้งโลกหล้ายืนตระหง่านอยู่ห่างจากร่างของหล่อนเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ใบหน้าหล่อจัดคร้ามคมดูกระด้างและเย่อหยิ่งถือตัว ดวงตาคมกริบสีสนิมที่ทอดมายังร่างไร้ค่าของหล่อนบอกให้รู้ว่าหล่อนไม่ต่างจากเศษขยะสกปรกในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจสาวบอบช้ำอย่างรุนแรง รู้ว่าเขาเกลียดชัง แต่เขาก็เป็นชายในฝันของหล่อนเสมอมา แม้จะไม่มีโอกาสได้ครอบครองเป็นเจ้าของก็ตาม
แววตาของผู้หญิงเบื้องหน้าทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของหล่อนหวานซึ้งและเศร้าหมองทุกครั้งที่เขาได้มอง หยาดน้ำตาคลอสองหน่วยตาเสมอ หากมองเพียงแต่ภายนอก จิรัชยาไม่ต่างจากผู้หญิงอ่อนแอไร้เดียงสา แต่ถ้อยคำที่เขาล่วงรู้มาจากฮันนา ทำให้เขารู้ว่าภายในความบริสุทธิ์ที่เจ้าหล่อนพยายามแสดงออกมานั้น มีความร้ายกาจซ่อนเร้นเอาไว้
จิรัชยาเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่เขาอาจจะเลือกมาเป็นคู่ครองหากไม่มีหญิงที่เพรียบร้อยอย่างฮันนา เพราะหล่อนก็คือหนึ่งในลูกสาวเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน แม้จะเป็นลูกเมียไพร่ก็ตาม
ลูฟาสสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ และสายตาจากดวงหน้าหวานที่เศร้าหมอง และพูดในสิ่งที่ต้องการออกไป
“เรารู้ว่าเจ้าเป็นสหายสนิทของมารีอาห์...”
“หม่อมฉัน... ไม่อาจเอื้อมเป็นพระสหายขององค์หญิงมารีอาห์เพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงแค่คนรับใช้เท่านั้น...”
“แต่น้องสาวเรามองเจ้าเป็นสหาย”
จิรัชยาก้มหน้ามองพื้น เนื้อตัวสั่นเทิ้มสุดจะควบคุม และหล่อนไม่รู้ว่าลูฟาสต้องการอะไร
“เราต้องการให้เจ้าเลิกนิสัยแย่ๆ ซะ”
ลูฟาสเค้นเสียงกระด้างออกมา จิรัชยาเงยหน้าขึ้นมอง กลีบปากอิ่มเผยอค้าง มององค์สุลต่านผู้สูงศักดิ์อย่างไม่เข้าใจ
“โดยเฉพาะการชักชวนให้น้องสาวของเราออกไปเที่ยวนอกวังยามราตรี”
“หม่อมฉันไม่ได้...”
“เรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะปฏิเสธ แต่นี่คือคำสั่ง เพราะถ้าบังอาจชักชวนมารีอาห์ออกไปทำเรื่องแย่ๆ นอกวังหลวงอีกเมื่อไหร่ เราจะสั่งตัดหัวเจ้า!” ทุกพยางค์ที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยได้รูปของลูฟาสช่างเต็มไปด้วยความเดือดดาล
จิรัชยาน้ำตาคลอเบ้า มองลูฟาสอย่างขอความเห็นใจ แต่ชายหนุ่มไม่มีให้
“นี่คือคำเตือนครั้งแรก และก็ครั้งสุดท้าย เพราะถ้าเจ้ากระทำผิดอีก หัวของเจ้าจะหลุดออกจากบ่า”
น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงหล่นไหลรินอาบแก้ม มือเล็กรีบยกขึ้นป้ายทิ้ง ก่อนจะตอบรับเสียงสะอื้น
“หม่อมฉัน... น้อมรับคำบัญชาเพคะ”
“ดีมาก ออกไปได้แล้ว”
“เพ... เพคะ...”
จิรัชยาหอบร่างสั่นเทิ้มที่เกิดจากแรงสะอื้นออกจากตำหนักขององค์สุลต่าน หยาดน้ำตาไหลรินเป็นสายฝน ทหารหนุ่มที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วง แต่นั่นกลับยิ่งทำให้สายตาคมกริบของลูฟาสที่มองออกมาจากหน้าต่างตำหนักเต็มไปด้วยความดูแคลน
“ฉัน... ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวนะคะ”
“ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม”
“ฉันไปเองได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
จิรัชยายกมือขึ้นป้ายน้ำตาและฝืนยิ้มให้กับคู่สนทนา ก่อนจะรีบย่ำเท้าเดินจากไป
มารีอาห์ที่รู้ข่าวว่าจิรัชยาถูกเสด็จพี่ของตนเองเรียกเข้าเฝ้าก็รีบเดินเข้ามาหาเพื่อนต่างชนชั้น
“จินนี่... เจ้าร้องไห้ทำไมน่ะ”
จิรัชยาไม่คิดว่าตนเองจะบังเอิญเจอกับองค์หญิงมารีอาห์ จึงเช็ดน้ำตาไม่ทัน
“หม่อมฉัน... ไม่ได้เป็นอะไรเพคะ”
“แต่เราเห็นเจ้าร้องไห้”
“เอ่อ...” จิรัชยายกมือขึ้นป้ายน้ำตาจนแห้ง ก่อนจะฝืนยิ้มกว้างอย่างสุดความสามารถ “หม่อมฉันแค่ฝุ่นเข้าตาน่ะเพคะองค์หญิง”
มารีอาห์ไม่เชื่อ และพูดออกมาอย่างรู้ทัน “เสด็จพี่ตรัสอะไรกับเจ้าหรือ ทำไมเจ้าถึงร้องไห้”
“เอ่อ... ไม่... ไม่เกี่ยวกับองค์สุลต่านหรอกเพคะ” จิรัชยาปฏิเสธ และเสหลบสายตาขององค์หญิงมารีอาห์
“เราไม่เชื่อเจ้าหรอก ไหนบอกมาเสียดีๆ”
“ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะองค์หญิง โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ”
มารีอาห์คว้ามือเล็กของจิรัชยาเอาไว้ และจ้องหน้าเขม็ง มองอย่างคาดคั้น “ถ้าเจ้าไม่บอกความจริงกับเราเสียเดี๋ยวนี้ เราจะลากเจ้าไปถามเสด็จพี่ด้วยกัน”
“ไม่... ไม่นะเพคะ!” จิรัชยาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
“งั้นเจ้าก็ตอบเรามาตามความจริงสิ ว่าเสด็จพี่เรียกเจ้าเข้าเฝ้าด่วน ด้วยเรื่องอะไร”
“เอ่อ...”
“บอกเรามาเถอะ เร็วเข้าสิ” องค์หญิงมารีอาห์เร่งเร้า และก็ทำให้จิรัชยาไม่มีทางเลือก
“องค์สุลต่านทรงตรัสว่า...” หล่อนช้อนตาขึ้นมององค์หญิงมารีอาห์ “ไม่ให้หม่อมฉันชักชวนองค์หญิงออกไปท่องราตรีนอกวังเพคะ”
องค์หญิงมารีอาห์กระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ “เจ้าไม่เคยออกไปกับเราสักหน่อย และเราก็ไปของเราเอง”
จิรัชยาก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ
“แล้วเจ้าบอกเสด็จพี่ไปหรือเปล่าว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เราหนีออกไปเที่ยวนอกวังน่ะ”
จิรัชยาส่ายหน้าไปมา และนั่นก็ทำให้องค์หญิงมารีอาห์พ่นลมออกจากปากแรงๆ
“เจ้าก็ปฏิเสธไปสิ ทำไมจะต้องอมพะนำด้วยเนี่ย แบบนี้เสด็จพี่ก็ยิ่งเข้าใจผิดเจ้าไปกันใหญ่” องค์หญิงมารีอาห์โวยวายอย่างหัวเสีย และก็สงสารจิรัชยาจับใจ “เราจะต้องไปคุยกับเสด็จพี่ให้รู้เรื่อง”
“อย่าเพคะองค์หญิง...”
“ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากพ้นผิดเหรอ”
จิรัชยาเงยหน้าที่ฉ่ำไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมององค์หญิงมารีนา และฝืนยิ้ม “ให้องค์สุลต่านทรงคิดแบบนี้แหละดีแล้วเพคะ”
“ทำไม”
“หม่อมฉัน... ไม่อยากให้องค์หญิงถูกตำหนิเพคะ”
มารีอาห์ฟังคำตอบของจิรัชยาแล้วก็ถอนใจออกมา พลางยกมือขึ้นตบบ่าของจิรัชยาเบาๆ “เจ้าดีกับเราเสมอนะจินนี่”
“หม่อมฉันมีหน้าที่ปกป้ององค์หญิงเพคะ”
“แต่เราก็ไม่ต้องการให้เจ้าต้องถูกเสด็จพี่เข้าใจแบบผิดๆ อย่างนี้ไปตลอด และที่สำคัญ... จะต้องมีคนว่าร้ายเจ้าให้เสด็จพี่ฟังอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจู่ๆ เสด็จพี่จะทรงคิดเองได้ยังไงว่าเจ้าเป็นคนชักชวนเราออกไปเที่ยวนอกวังน่ะ เพราะลำพังเสด็จพี่พระองค์เดียวก็ทรงหมกมุ่นอยู่กับราชกิจบ้านเมืองเท่านั้นแหละ”
มารีอาห์รู้ดีว่าเป็นฝีมือของนางมารร้ายคนไหน และแน่นอนว่าจิรัชยาก็รู้เช่นกันว่าใคร “งั้นเจ้ากลับบ้านไปเถอะ นี่ก็จะมืดค่ำแล้ว”
“เพคะองค์หญิง”
“เดี๋ยวเราจะให้คนของเราเดินไปส่งเจ้าที่เรือน”
“เอ่อ...”
“เจ้าไม่ต้องปฏิเสธเลย เพราะเราจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจเด็ดขาด เราไม่ต้องการใครมาดักทำร้ายเจ้าอีกแล้วนะ จินนี่”
จิรัชยามององค์หญิงมารีอาห์ผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยความซาบซึ้งในน้ำพระทัย
“ขอบพระทัยเพคะ องค์หญิง”
องค์หญิงมารีอาห์ระบายยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลของตนเอง
“ฟาเซีย เจ้าไปส่งสหายของเราให้ถึงเรือนพักนะ แล้วก็พาทหารติดตามไปด้วยสักสี่ห้าคน”
“เพคะ องค์หญิง”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
จิรัชยาทำความเคารพสตรีผู้มีชั้นวรรณะที่สูงกว่าตนเองด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเดินตามร่างของนางกำนัลฟาเซียออกไป
องค์หญิงมารีอาห์มองตามร่างของจิรัชยาไปด้วยความสงสาร และก็พยายามหาทางช่วยเหลือ
“เจ้าว่าเราจะช่วยเหลือจินนี่ยังไงดี ซีรีน”
“หม่อมฉัน... ไม่ทราบด้วยเกล้าเพคะ”
“เจ้านี่มันสมองทึบจริงๆ เลย ให้ช่วยคิดแค่นี้ก็คิดไม่ออก เรานี่เบื่อเจ้ามาก”
องค์หญิงมารีอาห์บ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะก้าวเดินกลับตำหนักของตนเองไป