ตอนที่ 9 เกลียดจนเข้ากระดูกดำ

1338 คำ
'ข่าวลือ' มักถูกสร้างโดยคนที่เกลียด จากนั้น จะถูกส่งต่อโดยคนที่ตกเป็นเครื่องมือ และ ถูกเชื่อโดย คนหูเบา ผู้คนในเมืองโจวถิง เมืองเล็กๆในเขตทุรกันดารที่ห่างไกลจากเมืองหลวงไป๋ซ่านลี่ของแคว้นไป๋กว๋อต่างร่ำลือกันว่า บุตรสาวคนโตของนายอำเภอหลาน นายอำเภอคนปัจจุบันของโจวถิงนั้นเป็นโรคประหลาดที่ยากจะหาหมอมารักษาได้ ร่างกายนางทรุดโทรมลงทุกวัน สารรูปราวกับผีตายซาก นางคงได้แต่รอวันตายเท่านั้น นั่นเป็นเพราะชาติที่แล้วนางเป็นมาร ชาตินี้สวรรค์จึงลงทัณฑ์ หลานฮุ่ยเจินตาเบิกโพลง นางจ้องผ้าสีแดงยาวสามฉื่อผืนนั้นตาไม่กระพริบ ผ้าสีแดงผืนนั้นบัดนี้อยู่ในมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวของนาง หลานฮุ่ยเหมยแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม นางถือผ้าสีแดงผืนนั้นมั่นไว้ในมือ ขาก็ก้าวเข้ามาหาผู้เป็นพี่สาวอย่างช้าๆ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าดื้อนักเลย ทำตามวิธีที่ข้าบอกเถอะ ท่านจะได้ทรมานน้อยหน่อยอย่างไรล่ะ” “ทะ...ทำ...ทำไม ทำไมเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้ นี่ข้าไม่ใช่พี่สาวของเจ้าอย่างนั้นรึ?” หลานฮุ่ยเจินละล่ำละลักถามออกไป โฉมสะคราญที่ยืนมาดมั่นอยู่เบื้องหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงบนขอนไม้ใกล้ๆกับที่ที่ผู้เป็นพี่สาวนั่งคุกเข่าอยู่ นางยิ้มเยือกเย็นก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ “ใช่แล้วอย่างไรล่ะ พี่ใหญ่ ท่านเป็นพี่สาวที่ข้ารักมากซะเหลือเกิน ตั้งแต่จำความได้ ท่านก็แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้า ในฐานะที่ท่านเป็นบุตรสาวคนโตของท่านนายอำเภอกับฮูหยินใหญ่ ข้าวของทุกสิ่งที่จัดว่าดีล้วนประเคนมาให้ท่าน ท่านพ่อก็ยกย่องท่านออกหน้าออกตา ทั้งๆที่ท่านน่ะไม่ได้มีอะไรที่ดีพิเศษกว่าคนอื่นหรือแม้กระทั่งข้าผู้เป็นน้องสาวของท่าน หน้าตาท่านก็สุดแสนจะธรรมดา เปรียบกับหญิงงามอันดับหนึ่งอย่างข้าแล้วท่านก็เปรียบเหมือนกับฝุ่นผงเท่านั้น ท่านย่าเองก็ลำเอียง พอมีเรื่องอะไรก็เข้าข้างท่านตลอด ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากับท่านแม่ของข้าต้องอดทนมานานแค่ไหน นานแค่ไหนแล้วที่พวกเราต้องอดทนอยู่ในสภาพเป็นรอง” หลานฮุ่ยเจินพยายามยามประคองร่างที่ดูเสมือนไร้วิญญาณของตนขยับถอยไปด้านหลัง เวลานี้นางแทบจะไร้เรี่ยวแรงอีกทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวทั้งโดนวางยาให้ร่างกายอ่อนแอผ่ายผอม ขี้โรค และทั้งโดนรุมทำร้ายมา “แต่ข้าก็ไม่เคยทำร้ายเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาว และปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี” “ฮึ! ปฎิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี โดยการโยนของเก่าที่ใช้แล้วของท่านให้ข้าอย่างนั้นรึ?” “เจ้าก็รู้ว่าสกุลเราเป็นสกุลขุนนางเล็กๆ ไม่ได้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยอย่างพวกขุนนางใหญ่ๆ อะไรที่พวกเราช่วยท่านพ่อประหยัดได้เราก็ควรทำมิใช่หรือ อีกอย่างข้าวของที่ข้าให้เจ้านั้นล้วนยังไม่ผ่านการใช้ทั้งสิ้น” “ฮึ! เรื่องข้าวของนั้นมันเรื่องเล็ก ยังมีเรื่องใหญ่กว่านั้น” “ระ...เรื่อง..เรื่องอะไรงั้นรึ?” หลานฮุ่ยเจินพยายามเค้นเสียงที่แหบแห้งของตนถามออกไป ร่างกายของนางก็เจ็บปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “เรื่องคุณชายซืออย่างไรล่ะ ท่านก็รู้ว่าข้าหมายตาเขาอยู่ แต่ท่านก็ยังให้ท่าเขา” “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่” “ท่านคงอยากแต่งออกไปกับบุตรชายคหบดีผู้ร่ำรวยละสิ ชีวิตจะได้เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ จะใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ย่อมได้” “อ็อก!” หลานฮุ่ยเจินกระอักเลือดออกมา นางสังเกตุเห็นว่าลิ่มเลือดสีดำที่เพิ่งออกมาจากปากของนางนั้นมีเกล็ดสีม่วงปนออกมาด้วย หญิงสาวตาเบิกโพลงอย่างตกใจกลัว นางจ้องหน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความหวาดกลัว “ท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าโดนวางยา ฮึ! โง่เหมือนท่านแม่ของท่านเลย” หลานฮุ่ยเจินมือไม้สั่นเทา ปากสั่นระริกพลางเค้นเสียงอันแหบแห้งพูดออกไป “นี่เจ้า เจ้าวางยาท่านแม่ข้าด้วยเช่นนั้นรึ?” “เป็นท่านแม่ของข้าทำ ส่วนท่าน...ข้าเองแหละที่เป็นคนทำ ส่วนผู้ช่วย ก็...สาวใช้คนสนิททั้งสองของท่านอย่างไรล่ะ” “ว่าอย่างไรนะ?” หลานฮุ่ยเจินพยายามตะเบ็งเสียงออกมาอย่างไม่เชื่อหูของตน “เป็นเรื่องธรรมดาที่สาวใช้จะขายผู้เป็นนายหากถูกซื้อด้วยเงินจำนวนมาก เรื่องนี้...ท่านเองก็น่าจะรู้” “ไม่จริง จิ้งอี้กับมู่หลินไม่มีวันทรยศข้า” หลานฮุ่ยเหมยยักไหล่ไม่แยแสก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาผู้เป็นพี่แล้วจิกหัวหลานฮุ่ยเจินดึงรั้งไปทางด้านหลัง “โอ๊ย! ปล่อยข้า” “นังโง่ จะตายอยู่แล้วยังไม่หายโง่อีก แหกตาดูซะว่านังสาวใช้คนสนิททั้งสองของเจ้านั้นมันเป็นคนของใครกัน” หลานฮุ่ยเจินเงยหน้าขึ้นตามแรงดึงรั้ง หญิงสาวเป็นต้องตกใจจนแทบเสียสติเมื่อจิ้งอี้กับมู่หลินนั้นก้าวช้าๆออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ จิ้งอี้นั้นเผยรอยยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างไม่คิดจะปิดบัง ส่วนมู่หลินนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นเทาไปหมด นางเอ่ยเพียงเบาๆว่า “คุณหนู ขะ...ข้า...ข้าขอโทษ” หลานฮุ่ยเจินมือไม้อ่อนแรง นางเริ่มมีอาการหายใจหอบเหนื่อย ปากซีด มือไม้สั่น “พี่ใหญ่ ดูท่าทางแล้ว ท่านคงจะอยู่ต่อได้อีกไม่นาน เพื่อไม่ให้ท่านต้องทนทรมานอีกต่อไป ข้าจะให้สองสาวใช้ของท่านช่วยสงเคราะห์ให้ท่านไปปรโลกได้เร็วขึ้น จิ้งอี้ มู่หลิน...” หลานฮุ่ยเหมยหันไปสั่งสองสาวใช้ทรยศของผู้เป็นพี่สาว “เจ้าค่ะ” จิ้งอี้เอ่ยรับเสียงหนักแน่น ใครที่ให้เงินนางมากกว่า นางย่อมเลือกอยู่ข้างคนผู้นั้น “จัดการแขวนคอคุณหนูของพวกเจ้า แล้วเฝ้ารอดูนางจนสิ้นลม จากนั้นให้จิ้งอี้วิ่งไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าว่าหลานสาวคนโปรดของท่านคิดสั้นเพราะหมดหวัง ท้อแท้ในชีวิตที่มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ส่วนเจ้า มู่หลิน เจ้าเป็นคนเฝ้าศพนางไว้ จากนั้นทางจวนสกุลหลานจะส่งคนมาเก็บศพนางไป พวกเจ้าอย่าทำงานพลาดล่ะ ใครพลาดก็เตรียมตัวตามนายเก่าของพวกเจ้าไปปรโลกได้เลย” พูดจบหลานฮุ่ยเหมยก็เดินฉับๆจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาที่นั่งฟุบลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก “คราวนี้ ข้าจะได้หมดเสี้ยนหนามหัวใจเสียที” หลานฮุ่ยเหมยเอ่ยเบาๆกับตนเองในขณะที่กำลังนั่งรอให้จิ้งอี้วิ่งกระหืดกระหอบมารายงานฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลาน แปลกเสียจริง วันนี้อากาศนั้นช่างหนาวเหน็บ แต่ใจของหลานฮุ่ยเหมยกลับร้อนรุ่ม ไม่เพียงแต่จิตใจเท่านั้นที่อยู่ไม่เป็นสุข ตามฝ่ามือของนางนั้นมีเหงื่อเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง หัวใจก็เต้นรัวเร็ว ถึงแม้ว่านางจะมีจิตคิดริษยาและเกลียดชังหลานฮุ่ยเจินมาตั้งแต่จำความได้ แต่ก็ยังไม่เคยคิดลงมือฆ่าสักครั้ง แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ ส่วนสาเหตุนั้นก็มาจากคุณชายซือ หรือซื้อจิ้นหยาง นั่นเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม