ตอนที่ 1
“ไหนล่ะแม่ ของที่ต้องส่ง” ฉันถามแม่ในขณะที่กำลังมัดผมตัวเองเป็นหางม้ารวบสูง ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว เตรียมพร้อมที่จะลุยงานวันหยุดเต็มที่
“แม่วางไว้ที่เคาน์เตอร์แล้ว อ้อ...เฟรย่า ขากลับแวะซื้อผักคะน้ามาให้แม่ด้วยนะ”
“ค่า” ฉันขานรับ
บ้านของฉันเปิดเป็นร้านขายบะหมี่ โดยมีแบบบริการส่งถึงที่เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าด้วย และหน้าที่ส่งบะหมี่ก็คือหน้าที่ของฉัน เฟรย่าคนนี้นี่เอง =____=
ทุกคนอาจจะงุนงงและแปลกใจว่าชื่อของฉันมีความหมายว่าอะไร และทำไมชื่อฉันถึงออกแนวฝรั่งทั้งที่ฉันหน้าไทยแท้ตั้งแต่รากเหง้ายันรากผม ฉันเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆ มักจะโดนพวกผู้ชายที่พ่อแม่ลืมผ่าหมาออกจากปากให้ตอนเกิดล้ออยู่บ่อยๆ กับชื่อที่ค้านกับหน้าตาอย่างสิ้นเชิงของฉัน ก็เลยลองถามแม่ดู และได้คำตอบมาว่า พ่อของฉันเป็นคนที่ชอบทุกอย่างเกี่ยวกับกรีก ไม่ว่าจะเป็นเทพนิยายกรีกโบราณ หรือประวัติของชาวกรีก และ ‘เฟรย่า’ ก็คือตัวแทนแห่งความรัก พ่อก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อของฉัน เพราะฉันคือตัวแทนแห่งความรักของพ่อกับแม่ยังไงล่ะ ถึงจะรำคาญเวลาโดนล้อ แต่ฉันก็ชอบชื่อนี้มากนะ เพราะมันเป็นชื่อที่มีความหมายและมีความรักของพ่อกับแม่อัดแน่นอยู่
และเมื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายกับใบหน้าอันแสนสวยเรียบร้อยแล้ว ฉันก็รีบวิ่งไปเอากล่องบะหมี่ที่ต้องไปส่งลูกค้าจากแม่ และวิ่งไปที่รถจักรยานคันโปรดทันที (ความจริงคือมีอยู่คันเดียวนั่นแหละ - -;) ก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นออกไปตามแผนที่ที่ได้รับมาจากแม่ด้วย
ตั้งแต่จบชั้นประถม ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่กับแม่มาโดยตลอด เพราะพ่อที่เป็นตำรวจตายในหน้าที่ ฉันก็เลยต้องทำงานช่วยแม่ทุกอย่าง เพราะลำพังตัวแม่เองก็สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ร้านบะหมี่เล็กๆ ของเราสองแม่ลูกก็ไม่พอค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีพวกเจ้าถิ่นมารีดไถเงินที่ร้านของฉันทุกเดือน ถ้าเดือนไหนไม่ให้ พวกมันก็จะพังร้านของฉันจนไม่มีลูกค้าเข้าร้าน
“ทำไมบ้านหลังนี้มันอยู่ไกลจัง -*-“
ฉันขมวดคิ้วอย่างงงๆ บ้านหลังแรกที่ฉันจะต้องไปส่งบะหมี่ให้อยู่ห่างจากบ้านฉันเกือบ 7 กิโล นี่ฉันปั่นจักรยานจนน่องปูดหมดแล้วนะ ทำไมบ้านมันไกลอย่างนี้ T^T
พลั่ก! พลั่ก!
เอี๊ยด!
ฉันเบรกจักรยานอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากซอยที่ฉันเพิ่งขี่ผ่านมาเมื่อกี้ ฉันค่อยๆ ถอยหลังจักรยานกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าในซอยที่ฉันขี่จักรยานผ่านมาเมื่อกี้มีนักเรียนชายอัดแน่นกันอยู่ยิ่งกว่าปลากระป๋องประมาณ 30 กว่าคน พวกเขาทำอะไรกันนะ -*- มาประชุมอะไรกันในซอยแคบๆ ล่ะเนี่ย แถมวันหยุดแบบนี้ยังจะใส่ชุดนักเรียนกันอีก
“นายไม่มีวันชนะฉันหรอกฟอลคอน!”
“นั่นมันคำพูดของฉันต่างหากล่ะ ทาเฟล”
ตุ้บ! พลั่ก! ผัวะ!
และพอจบบทสนทนาแปลกๆ เมื่อกี้ปุ๊บ ฉันก็ได้ยินเสียงตุ้บๆ ตั้บๆ ดังตามมา ก่อนที่นักเรียนชายที่หันหลังให้ฉันอยู่จะแหวกตัวออกมายืนด้านข้างกันหมด ทำให้ฉันเห็นผู้ชายสองคนกำลังสู้กันนัวเนีย โดยที่ผู้ชายใส่ชุดขาวยืนกอดอก และใช้เท้าทั้งสองข้างสู้แทน กับผู้ชายชุดดำที่มือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกงและสู้ด้วยมือขวามือเดียว พวกเขากำลังตะลุมบอนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ทาเฟล! ใช้มือสู้สิ นายชนะแน่นอน!” หนึ่งในนักเรียนชายชุดสีขาวตะโกน
ใครคือทาเฟล -*-
“ฟอลคอน เอามือซ้ายออกมาสู้สิ รับรองว่ามันแพ้ราบคาบแน่!” นักเรียนชายชุดดำตะโกนบ้าง
แล้วใครคือฟอลคอน -*-
พลั่ก! ตุ้บ! พลั่ก!
ทั้งสองคนยังคงนัวเนียกันโดยไม่ฟังเสียงตะโกนของใครเลย พวกเขาดูเอาจริงเอาจังในการต่อสู้ครั้งนี้มาก ฉันส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพวกเด็กที่ชอบใช้ความรุนแรง ก่อนจะปัดขาตั้งจักรยานขึ้นและขึ้นคร่อมเพื่อจะขี่ไปส่งของต่อ แต่ทว่า...
พลั่ก! ตุ้บ! โครม!
“โอ๊ยยยยยย!!!!” ฉันร้องลั่น เมื่อจู่ๆ ผู้ชายสองคนที่สู้กันอย่างนัวเนียในวงล้อมเมื่อกี้ต่อสู้กันจนมาถึงตัวฉันและชนเข้ากับรถจักรยานจนฉันล้มกลิ้ง บะหมี่ที่อยู่ในถังทั้งหมดกระเด็นหลุดออกมาเกลื่อนเต็มถนน บางถ้วยก็ยังมีบะหมี่เหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ไม่นะ! บะหมี่ของฉัน TOT
พลั่ก! ตุ้บ!
ทั้งสองคนยังไม่รู้ตัวว่าชนฉันกับจักรยานและบะหมี่ของฉันจนเสียหาย พวกเขายังคงตะลุมบอนกันต่ออย่างไม่ลดละ ท่ามกลางนักเรียนชายคนอื่นๆ ที่เดินตามออกมาดูการต่อสู้ โดยไม่สนใจฉันเลยสักนิด นี่พวกเขาจะสู้กันกลางถนนแบบนี้เลยหรือไง!
“นี่นาย!” ฉันตะโกนเรียก แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงฉันสักคน อย่าว่าแต่ได้ยินเสียงเลย ฉันยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นบ้างมั้ย
“นี่นาย! พวกนายทำบะหมี่ของฉันหกหมดแล้วนะ!” ฉันป้องปากตะโกน แต่ก็ยังไม่มีใครหันมามองฉันสักคน มันจะบังอาจมากเกินไปแล้วนะ จะทะเลาะกันแล้วทำไมต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยเล่า!
ฉันกัดฟันตัวเองอย่างโกรธจัด ก่อนจะก้มลงเก็บถ้วยบะหมี่สองถ้วยที่ยังคงมีบะหมี่หลงเหลืออยู่พอสมควร ก่อนจะหยิบถุงน้ำซุปที่อยู่ในถังออกมาแกะแล้วเทใส่ในชามพร้อมจะเสิร์ฟเต็มที่ โชคดีจังที่น้ำซุปยังไม่เย็นชืดไปซะก่อนน่ะ - -*
“หลบหน่อยๆ ขอทางหน่อยสิ”
ฉันแหวกวงล้อมของพวกนักเรียนชายคนอื่นๆ จนสามารถเข้ามายืนอยู่ในวงล้อมได้สำเร็จ เจ้าบ้าสองคนนี้ยังสู้กันอยู่เลย ไม่คิดจะแหกตาดูบ้างหรือไงว่าไปทำความเดือดร้อนให้ใครไว้!
“นี่!!!”
ฉันตะโกนเรียก แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ยิน นี่ขนาดฉันอยู่ใกล้พวกเขาจนแทบจะกระโดดขี่หลังได้อยู่แล้วนะ ให้ตายสิ...เจ้าพวกบ้านี่ทำฉันเดือดถึงขีดสุดแล้ว!
ฉันวางชามบะหมี่ลงบนพื้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาสองคนนั้นที่กำลังสู้กันอยู่ แล้วจัดการแยกพวกเขาออกจากกันด้วยกำลังที่มีทั้งหมด ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้สั่งสอนไอ้เจ้าบ้าสองคนนี้ให้หลาบจำ ก็อย่ามาเรียกฉันว่าเฟรย่าเลย ฮึ่ย! สุดจะทนแล้ว!!!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! หยูดดดด!”
ฉันดึงแขนผู้ชายชุดดำไว้ก่อนจะใช้ขายันหน้าท้องผู้ชายชุดขาวแล้วตะโกนลั่น ได้ผล! พวกเขาทั้งสองคนเลิกสู้กัน พร้อมกับส่งสายตางงๆ มาที่ฉัน
“เธอเป็นใคร” ผู้ชายชุดขาวถาม
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ทุกคนในทีนี้มองเห็นการมีตัวตนของฉันแล้ว ฉันก็เอาเท้าตัวเองกลับมาวางบนพื้นตามเดิม รวมถึงปล่อยมือที่ล็อกแขนผู้ชายชุดดำไว้ด้วย
“ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มองเห็นฉัน!” ฉันตะคอกก่อนจะเดินกลับมาหยิบชามบะหมี่ที่ตั้งอยู่บนพื้นแล้วเดินกลับไปหาพวกเขาสองคนอีกครั้ง แค้นนี้ต้องชำระคืนทันที!
“มีธุระอะไรกับพวกฉันหรือไง” คราวนี้เป็นผู้ชายชุดดำถาม
เสียดายจริงๆ หน้าตาก็ดีทั้งคู่ ไม่ได้ดีธรรมดานะ แต่มันดีมากกกก! ราวกับเทวดาจากสวรรค์เลยแหละ แต่นิสัย...ปรับเปลี่ยนด่วน!
“แน่นอน ฉันมีแน่!”
สิ้นคำพูดฉันก็เขย่งตัวให้สูงพอๆ กับพวกเขา ก่อนจะเทบะหมี่ร้อนๆ ราดหัวพวกเขาทั้งสองคน และปาชามบะหมี่ทิ้งลงพื้นอย่างหัวเสีย
“โอ๊ย! ร้อนๆๆ”
ทั้งสองคนโอดครวญ พวกเขาสะบัดตัวและหัวไปมาเพื่อไล่น้ำซุปร้อนๆ ฉันยืนเท้าสะเอวมองทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แหม...เสียดายจริงๆ ที่เสื้อนักเรียนแขนยาว ไม่อย่างนั้นล่ะก็...คงได้ลวกแขนพวกอันธพาลบ้านี่ไปแล้ว!
“เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!” ผู้ชายชุดดำโวย เขาชี้หน้าฉันแล้วจ้องมาด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว แต่คนอย่างฉันน่ะเหรอจะกลัว ในเมื่อพวกเขาเป็นคนทำบะหมี่ของฉันเสียหายก่อน!
“ทำบ้าเหรอ! พวกนายน่ะสิบ้า! หัดแหกตาดูรอบข้างซะบ้างนะ นายสองคนสู้กันจนมาชนจักรยานของฉันล้ม บะหมี่ที่ฉันจะต้องเอาไปส่งลูกค้าในอีกสามนาทีนี้เละหมดเลย!”
ฉันชี้ไปที่จักรยานซึ่งมีเส้นและน้ำบะหมี่เกลื่อนกลาดเต็มถนนไปหมด ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บใจ T^T ไอ้พวกบ้านี่ทำบะหมี่ที่ฉันบูชาเสียหายหมดเลย!
“เท่านั้นยังไม่พอนะ ดูนี่! ข้อศอกของฉันเป็นแผลหมดแล้ว! มันมาจากฝีมือพวกนายทั้งนั้น จะสู้กันน่ะฉันไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อนไม่ได้หรือไง รู้มั้ยว่าบะหมี่พวกนั้นสำคัญสำหรับฉันมากแค่ไหน ไอ้พวกทุเรศ!!!”
ฉันด่าแบบไม่ยั้ง ก่อนจะหยุดด่าเพื่อเว้นจังหวะให้ตัวเองได้หายใจ ทั้งผู้ชายชุดดำและผู้ชายชุดขาวต่างยืนมองฉันด้วยความงุนงง ดูเหมือนพวกเขายังปรับสถานการณ์ไม่ทัน
“เอาล่ะ...ถ้าไม่อยากโดนบะหมี่ราดหัวอีกถ้วย ก็ชดใช้ค่าเสียหายมาซะ บะหมี่ทั้งหมดสิบสองชาม ทั้งหมดก็...สองพันพอดีเป๊ะ!”
“หา?”
ผู้ชายชุดดำเลิกคิ้วสูงอย่างงงๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“เธอชื่ออะไร” เขาถาม
ฉันเชิดหน้าสู้กับเขาอย่างไม่เกรงกลัว เกิดเป็นลูกผู้หญิงต้องไม่กลัว! ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครมาข่มเหงแน่นอน!
“เฟรย่า! จำชื่อฉันไว้ให้ดีล่ะ ไม่ต้องพูดมาก จ่ายเงินมาได้แล้ว สองพันบาทถ้วน!”
ฉันแบมือไปตรงหน้าเขาสองคน ความจริงสิบสองชามมันก็แค่สามร้อยหกสิบบาทเท่านั้นแหละ แต่ที่เหลือก็ถือซะว่าเป็นค่าเสียเวลาและค่าทำขวัญฉันก็ได้นี่!
“ฮะๆ เฟรย่าเหรอ เธอเป็นต้นกำเนิดความรักที่งดงามสินะ ^^~” ผู้ชายชุดขาวพูดพลางฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดเล่นด้วย! จ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้สองพันบาท ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ถึงตำรวจแน่”
“นี่...ยัยบ้าจอมเจ้าเล่ห์ บะหมี่สิบสองชามมันแค่สามร้อยหกสิบเองไม่ใช่เหรอ คิดเกินไปตั้งหนึ่งพันหกร้อยสี่สิบบาทเลยนะ -_-!” ผู้ชายชุดดำพูด
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยที่เขารู้ทัน เอาไงดีล่ะ =____=;;;
“อ้าวๆ เล่นคิดเกินราคาไปตั้งเยอะแบบนี้ พวกเราก็แจ้งตำรวจได้เหมือนกันนะ ^^” ผู้ชายชุดขาวซ้ำต่ออีกยก
ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วนะ จะไปไม้ไหนต่อดี แงๆ ไอ้สองคนนี้มันกำลังรวมหัวกันรุมฉัน T^T!
“กะ...ก็...ก็ค่าทำขวัญไง! พวกนายทำให้ผู้หญิงบอบบางและตัวเล็กๆ อย่างฉันตกใจจนขวัญเสีย แถมยังทำให้ข้อศอกที่แสนนุ่มนวลต้องมีรอยแผล”
ฉันแกล้งก้มหน้าลงยกมือเช็ดน้ำตา และเล่นบทโศกเศร้าเต็มที่ อายตัวเองจริงๆ T^T แต่เอาเถอะ เพื่อหาหนทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องทำมันต่อไป แม้ว่าจะน่าอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแค่ไหนก็ตาม =__=//
“พอๆ หยุดแหกปากได้แล้ว สองพันใช่มั้ย เอาไปเลยสามพัน แล้วหุบปากสักที!” ผู้ชายชุดดำพูด ก่อนจะดึงมือฉันไปหาเขาแล้ววางเงินลงให้สามพัน
“แหม...นายนี่เป็นคนดีจริงๆ เลย ขอบใจมาก ไว้ว่างๆ ล่ะก็อย่าลืมแวะไปที่ร้านของฉันนะ อยู่ถัดไปอีกเจ็ดซอยนี่เอง”
ฉันเปลี่ยนโหมดอย่างรวดเร็วและรีบเก็บเงินลงกระเป๋า ยิ้มกว้างให้เขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะส่งรอยยิ้มประดุจนางสาวไทยให้กับนักเรียนชายทุกคนที่ยืนมุงอยู่
“ยัยนี่มันตัวอะไรกัน”
ผู้ชายชุดดำพึมพำขึ้น แต่ฉันได้ยินชัดเจน เขามองฉันราวกับว่าฉันเป็นตัวประหลาด เอาเถอะ...เห็นแก่เงินสามพันที่เขาให้ ฉันจะถือซะว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน
“งั้นไว้เจอกันนะทุกคน ลัคกี้!”
ฉันเดินไปเก็บข้าวของใส่ในถังอีกครั้งแล้วขี่จักรยานกลับไปที่ร้านตามเดิม เสียไปสามร้อยหกสิบบาทแต่ได้กลับมาสามพันแบบนี้ มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีกนะ >___‘พวกมัน’ ที่ฉันพูดถึงก็คือพวกมาเฟียที่ชอบมาเก็บค่าคุ้มครองจากชาวบ้านที่เปิดร้านทำมาหากินกันอยู่ในละแวกนี้ และร้านของฉันก็เป็นเบอร์หนึ่งที่พวกมันจ้องจะมารีดไถเสียด้วย
“แม่อยู่คนเดียวได้ ยังไงพรุ่งนี้เฟรก็ต้องไปโรงเรียน นี่คือคำสั่งของแม่นะ”
“แต่แม่...”
“เฟรจะขัดคำสั่งแม่เหรอ” แม่กดเสียงต่ำลงพลางจ้องฉันด้วยสายตาตำหนิ
“เปล่าค่ะ...”
ฉันก้มหน้าจ๋อยๆ จะให้แม่เผชิญกับพวกลูกน้องมาเฟียคนเดียวได้ยังไงกัน! ครั้งก่อนมันก็ทำร้ายแม่ฉันไปรอบหนึ่งแล้ว เพราะแม่ฉันลืมที่ซ่อนเงินเลยเอาเงินมาให้พวกมันที่รออยู่ช้า แล้วถ้าครั้งนี้พวกมันเกิดทำร้ายแม่ของฉันขึ้นมาอีกล่ะจะทำยังไง! พ่อคะ...ได้โปรดคุ้มครองแม่ด้วย...อย่าให้พวกมันทำร้ายแม่ได้เด็ดขาด