...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่...
“นายท่าน”
ซั่วเจามาพร้อมถุงผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตวัดพู่กันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ทั้งที่ก็เข้าสู่ต้นยามจื่อแล้วโดยแท้ สวีฉีเฟิ่งตวัดพู่กันลงไปบนตัวอักษรสุดท้ายแล้วจัดการพับเรียบร้อยเป็นจดหมายลับส่งออกไปกับพิราบสื่อสารสีขาวตัวอ้วนพี
“เรียบร้อยดีทุกสิ่งใช่หรือไม่อาเจา”
“เป็นไปตามบัญชาของนายท่านขอรับ”
“ดี!”
เรียวปากสวยเกินบุรุษแย้มยิ้มงดงามแล้วหยิบถุงผ้ามาเปิดออกเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่พูดสิ่งใดเดินออกจากห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสกุลสวีแล้วมุ่งตรงไปยังสวนด้านหลังเรือนดอกท้อก็พบกับกรงขนาดใหญ่ที่มีเสือดำตัวใหญ่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในถึงสองตัว
“อาลี่”
เจ้าตัวที่ใหญ่กว่าขยับหัวขึ้นดูแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมากลับเป็นตัวที่เล็กกว่าที่ลุกขึ้นมาแล้วบิดตัวราวปวดเมื่อยอย่างยิ่ง แล้วเดินยักย้ายส่ายสะโพกมารับเอามือของมนุษย์คาบไปนอนแทะเล่นยังอีกมุมหนึ่งของกรงราวกับกินของว่างมื้อดึก ซึ่งพอส่ง อาหาร’ ขบเคี้ยว’ ยามดึกให้เสือดำกำลังตั้งครรภ์เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งก็เดินไปล้างมือในอ่างด้านข้างที่บ่าวชายถือรอเอาไว้
“นายท่านจะกลับเรือนนอนหรือไปฟ่านไฉขอรับ”
ซั่วเจาสอบถามผู้เป็นนายหนุ่มที่กำลังขัดถูมือตนเองในอ่างทองเหลืองแล้วรอฟังคำสั่ง ด้วยกิริยาเยือกเย็นจนเด็กหนุ่มผู้ถืออ่างทองเหลืองรู้สึกหนาวเหน็บกับกิริยาของนายท่านหนุ่มและหนึ่งคนสนิทเช่นซั่วเจาใช่น้อย
“ติงฮ่าวเจ้าไปช่วยท่านพ่อบ้านใหญ่เตรียมสินสอดเถิดคืนนี้ข้าจะไปค้างที่รุ่ยเฟิ่งไม่ต้องเตรียมห้องนอน”
รับผ้ามาเช็ดมือไปพลางก็สั่งการบ่าวชายข้างกายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “จัดรถม้าแล้วเจ้าคุ้มกันออกประตูหน้าไปก่อน” มุมปากสวยกระตุกเล็กน้อยในยามคิดถึงแผนการ’ เล่นสนุก’ ให้ได้ยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งตรวจสอบบัญชีมาหลายวัน
“ขอรับนายท่าน”
ซั่วเจารับคำแล้วจึงถอยกายหายไปกับความมืดติงฮ่าวเองพอเสร็จงานในหน้าที่แล้วเขาก็จากไปทำตามคำสั่งเช่นหลายหนาวที่เขานั้นเติบโตมากับ’นายท่าน’ จนบัดนี้เข้าวัยสิบหกปีรู้ดีว่าการขัดคำสั่งนายท่านจะไม่ส่งผลดีต่อตนเองเช่นไรบ้าง
“แทะอาหารว่างไปก่อนพรุ่งนี้ข้าจะนำอาหารหลักมาให้พวกเจ้ากินเพิ่มเอง”
เขากล่าวแล้วตบกรงแผ่วเบาไปสามครั้งเจ้าเสือดำตัวใหญ่ที่นอนสงบนิ่งผงกหัวนำจมูกมาดุนมือเรียวยาวของผู้เป็น’ ทาส’ ที่คอยส่งน้ำส่งเหยื่อไปจนถึงพามันไปเล่นน้ำให้แก่มันอย่างให้กำลังใจอีกฝ่ายว่าจงพา’อาหารหลัก’ มื้อเช้ามาส่ง’ เจ้านาย’ เช่นมันให้จงได้นะ
“รู้แล้วละน่า อาฟ่งมื้อเช้าเจ้าได้กินจนอิ่มแน่”
ลูบปลายจมูกเย็นของเสือดำขนาดยักษ์แล้วจึงเดินตรงไปยังเรือนดอกท้อเพื่อแต่งกายให้รัดกุมกระบี่คู่ถูกหยิบออกมาใช้เรียวปากสวยเหยียดยิ้มเย้ยหยันออกมาอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อต้องอยู่เพียงผู้เดียว กายสูงกำยำในอาภรณ์สีดำสนิทกลืนกินไปกับราตรีกาลเร้นกายขึ้นอาชาพ่วงพีสีนิลตรงไปยังจุดหมายเพื่อรอคอย ‘เหยื่อ’ จะเดินมาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้
ที่สวีฉีเฟิ่งมายังจวนรองสกุลสวีที่แคว้นฉู่ ฉากหน้าคือหนึ่ง ตรวจสอบบัญชีของกิจการโรงเตี้ยมรุ่ยเฟิ่งและหอพนันฟ่านไฉกับสองคือตบแต่งกับคุณหนูสี่สกุลจาง แต่ความจริงคนเช่นเขาไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเดินทางมารับตัวเจ้าสาวไกลถึงเพียงนี้ หากไม่มีสิ่งสำคัญกว่านั้นเป็นแน่ ศัตรูทางการค้าต่างหากคือจุดประสงค์หลักที่เขาเดินทางมาแคว้นฉู่ในคราวนี้กับยังไม่พร้อมเผชิญกับสตรีไม่รู้ความบางคนอีกด้วยเขาจึงต้องจากไกลเจียงหนานและเมืองหลวงมาเช่นนี้
...ถนนเส้นหลักของแคว้นฉู่...
ก่อนถึงโรงเตี๊ยมรุ่ยเฟิ่งและบ่อนพนันฟ่านไฉราวเจ็ดสิบลี้กำลังมีรถม้าหรูหราประทับตราตัวอักษร’ สวี’ บอกชัดเจนว่าเป็นสมบัติของสกุลใดเคลื่อนผ่านตรงไปยังจุดหมายที่แน่แท้ว่าต้องเป็นหอสูงเช่นฟ่านไฉแห่งนั้นมิผิดไป
...ฟ้าว...ฟุ๊บ...ฟุ๊บ...
มิคาดเพียงผ่านไปยังกลางสะพานที่จะข้ามไปยังฝั่งที่ตั้งของโรงเตี้ยมใหญ่ธนูเพลิงก็พุ่งเข้าหารถม้าคันหรูหราราวกับพายุฝนห่าใหญ่ไม่ถึงอึดใจ บุรุษที่รอคอย’ เหยื่อ’ มาติดกับแสยะยิ้มราวปีศาจร้ายเมื่ออีกฝ่ายลงมืออย่างไม่เกรงกลัวอำนาจในมือของตนเองเช่นนี้
“ลงมือ!”
มิคาดว่าจากที่รถม้าถูกเผาขบวนคุ้มกันหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่มถูกโจมตีจนแตกพ่ายในคราแรกจะกลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาได้เปรียบฝ่ายจู่โจมเพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น กระบี่คู่บนแผ่นหลังกำยำถูกกวัดไกวดื่มโลหิตศัตรูคนแล้วคนเล่ามิหลงเหลือคุณชายหยิบโหย่งจับเป็นเพียงปลายด้ามพู่กันและสมุดบัญชีที่ทุกคนคุ้นตากันอยู่เสมอ
“เหลือชีวิตให้พวกมันกลับไปส่งข่าวต่อผู้เป็นนายของพวกมันด้วยซั่วเจา!”
ไม่ถึงสองเค่อซากศพกว่าเจ็ดสิบชีวิตก็กองเต็มถนนกว้างเลือดสีคล้ำเนืองนองพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้ง มือเรียวยาวขยับปลดผ้าคลุมใบหน้าขาวสะอาดออกเปิดเผยให้’ เหยื่อ’ ซึ่งยังรอดชีวิตอีกราวสิบคนได้เห็นเป็นบุญตาว่าคนที่พวกมันต้องการชีวิตนั้นยังอยู่ดีไร้ร่องรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
…หึ!…นิสัยไม่ได้ก็คิดสังหารให้ตายเช่นนี้นะหรือจะให้เขายอมรับนางมาเป็นภรรยามาเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินนอนร่วมเตียงหึ!แต่งนางให้มาสังหารเขาได้สะดวกเช่นนั้นหรือไม่?
…เขายังมิได้โง่งมถึงเพียงนั้น…
“ไปบอกนายของพวกเจ้าว่าหากต้องการ’สามี’ ก็มีมารยาทกว่านี้สักหน่อย ทว่า หากนางต้องการศีรษะของข้า สวีฉีเฟิ่งมือสังหารชั้นปลายแถวเพียงไม่ถึงร้อยอย่าส่งมาอีก!”
น้ำเสียงหนักแน่นนั้นมาพร้อมกับกระบี่คู่ตัดเอาศีรษะของสามในสิบของมือสังหารที่ถูกคนของสวีฉีเฟิ่งห้อมล้อมเอาไว้ “เอากลับไป’ ฝาก’ นายของพวกเจ้าได้ชื่นใจสักหน่อย บอกว่าข้าตั้งใจฝากไปให้นาง”
...ตุ๊บ...ตุ๊บ...
ซั่วเจาจับเอาสองในสามศีรษะโยนออกไปกองตรงหน้าอีกเจ็ดชีวิตที่เหลือจากนั้นส่งสัญญาณให้คนของตนเองเปิดทาง สวีฉีเฟิ่งเหยียดยิ้มเย้ยหยันตามไปกับเงาร่างของทั้งเจ็ดชีวิตที่วิ่งล้มลุกคลุกคลานหายไปกับความมืด
“จัดการมื้อเช้าให้อาลี่กับฟ่งอย่างเต็มที่ส่วนที่เหลือก็ส่งไปเป็นปุ๋ยให้กับดงดอกเหม่ยกุ้ยที่เชิงเขาฝูซานก็แล้วกัน”
สั่งความเสร็จแล้วกายสูงสง่านั้นก็โหนตนเองขึ้นม้าที่คนจูงมาส่งให้มุ่งหน้าไปทิศทางที่ไม่ใช่หอสูงเช่นโรงเตี๊ยมฟ่านไฉและโรงเตี๊ยมรุ่ยเฟิ่งพอซั่วเจาขยับควบม้าตามไปเขาก็ส่งสัญญาณมือว่าไม่ต้องการให้ติดตามไป ม้าของซั่วเจาจึงหยุดลงตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินด้วยซ้ำไป
...เรือนคุณหนูห้าสกุลจาง...
...ตุ๊บ!...
คนกำลังหลับแต่ไม่สนิทเพราะภาพของพี่สาวกับพ่อบ้านฝู่เผยตามหลอกหลอนผวาสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งกลางเตียงเพราะมีเสียงคล้ายของหนักตกลงตรงหน้าต่างบานด้านข้าง ความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องแลเห็นเป็นเงาตะคุ่มวูบไหวทอดยาวราวภาพปีศาจร้ายทำเอาจางเยว่เซียงแตกตื่น มองไปด้านข้างเตียงก็ว่างเปล่าเลยนึกได้ว่าตนเองเพิ่งเล่นบทนางเอกแสนดีส่งฟางปี้เหลียนไปดูแลท่านย่ามหาภัย
“กตัญญูผิดวันเสียแล้วนังบ้าเอ๊ย”
คนงามพึมพำสบถด่าทอตนเองไปพลางก็ค้นหาของที่จะนำมา’ ฟาด’ เงาปีศาจร้ายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ สุดท้ายมือเล็กคลำไปเจอเชิงเทียนบนโต๊ะข้างหัวเตียงจึงคว้ามากำเอาไว้แน่น ในใจก็คิดว่าขอให้เป็นปีศาจจริงๆ เถิด เพราะปีศาจยังน่ากลัวน้อยว่า’ โจร’ ราคะหลายพันเท่า!
...ตุ๊บ!...โครม!...เพล้ง!...
“ตายไหม?!”
มิอาจทราบได้ว่านางถามผู้ใดรู้เพียงตนเองฟาดอีกฝ่ายด้วยเชิงเทียนแล้วเงาดำทะมึนยังยืนโงนเงน นางจึงควานไปหาชุดน้ำชาฟาดซ้ำจนแตกกระจายไม่พอควานมือพบสิ่งใดนางก็จัดการเร่งทุบเปรี้ยงลงไปไม่ยั้งแรง รู้สึกตัวอีกครั้งนางก็ลงไปยืนหอบแฮกๆ อยู่ที่พื้นหน้าเตียงเสียแล้ว โดยมีร่างทะมึนนอนไม่ไหวติงอยู่ที่ปลายเท้า
คนซึ่งไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กเท่ามดนั้นจะมีพลังมากดังหมีป่า นอนมึนเป็นครู่ พอใช้มือคลำไปบนศีรษะกับสัมผัสได้ถึงของเหลวที่อุ่นแถมมีกลิ่นคาวอันคุ้นเคย สวีฉีเฟิ่งที่ยี่สิบกว่าหนาวนั้นไม่เคยเสียทีพลาดท่าให้ผู้ใดก็พลันอึ้ง เมื่อพบว่า ตนเองพลาดท่าเสียทีถูกว่าที่ภรรยา’ ทุบศีรษะ’ จนเลือดนองเข้าเสียได้
“จาง...เยว่...เซียง!”
...เรือนกลางสกุลจาง...
จางเยว่เซียงต้องมายืนปฐมพยาบาลให้กับ’ จอมโจรราคะ’ จำเป็นเช่นสวีฉีเฟิ่งด้วยใบหน้าอิหลักอิเหลื่อเต็มทน ส่วนคนศีรษะแตกก็นั่งกอดอกหน้าตาบึ้งตึงคล้ายพร้อมจะฆ่าคนโดยมีท่านนายอำเภอจางนั้นเทน้ำชาใส่ถ้วยให้พลางยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย
“ลูกเขยค่อยๆ ดื่มน้ำชาก่อน แหะๆ”
เขาตวัดสายตาแค้นเคืองให้คนที่กำลังใส่ยาห้ามเลือดให้แล้วก็ยกถ้วยน้ำชาซดลงคอราวกับจะบดขยี้ถ้วยแล้วกลืนถ้วยน้ำชาเนื้อดีลงท้องระบายแค้นก็มิปาน
“กะ...ก็...ก็...ก็เพียงป้องกันตัวเจ้าค่ะ...ป้องกันตัวเท่านั้น”
กล่าวจบนางก็ส่งยิ้มแสนจะสลดหดหู่ออกไปให้คนหน้าตึงยิ่งกว่าหนังกลองไปหนึ่งสาย แล้วเร่งเก็บเครื่องมือทำแผลกล่องส่งต่อไปให้กับฟางปี้เหลียน นางอยากตะโกนออกไปยิ่งนักว่าตนเองไม่ได้ผิดนะ ก็ใครใช้ให้เขาปีนเข้าห้องของนางกัน เพราะจะมีสตรีที่ดีนางไหนอ้าแขนรับผู้บุกรุกนางเพียงฟาดเขาศีรษะแตกนับว่ายังน้อยหากมีดาบรับรองเขาถูกนางแทงจนร่างพรุนเป็นตะกร้าไปแล้ว
“ดี!”
...อะไรดี? ...นางฟาดได้ดีหรือ? ...
“ข้าฟาดได้ดีหรือเจ้าคะ?” เขาถูกนางฟาดศีรษะจนเสียสติไปแล้วกระมัง
พรวด!...แค่ก....แค่ก...แค่ก...
จางเสียนอีถึงกับสำลักพ่นเอาน้ำชาที่ยังไม่ทันกลืนลงคอออกมาจนหมดถ้วยแล้วไอจนหน้าแดงก่ำอีกหลายยกจนเสี่ยวฮูหยินจางต้องทุบหลังให้เขาหยุดไอเสียหลายตุ๊บ ส่วนจางเยว่เซียงที่จู่ๆ ก็ถูกชม ถึงกับยืนเผยอปากค้าง มองว่าที่สามีนิ่งคล้ายไม่วางใจว่า หลังจากชื่นชมนางเสร็จแล้วเขาอาจ หยิบกระบี่คู่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาแทงนางจนตายอีกรอบหรือไม่
“ถูกต้อง ข้าชมน้องเซียงว่าตีได้ดี!”
จางเยว่เซียงเหลือบสายตาไปมองกระบี่สลับกับมองสีหน้าทะมึนของสวีฉีเฟิ่ง แล้วเท้าไม่รักษาหน้าเจ้าของนั้นก็ขยับถอยหนีไปใกล้ประตูอีกหน่อยก็...โถ...ต่อให้นางเคยตายมาแล้วหนึ่งครั้งก็ใช่ว่าจะชอบตายอีกรอบนี่นา ย่อมกลัวตายซ้ำตายซากอยู่แล้ว
“แหะๆ ...เช่นนั้นเอาไว้เราแต่งกันแล้วน้องเซียงจะช่วยตีพี่เฟิ่งอีกดีหรือไม่”
...โอ๊ย!...นังบ้า!...แกสมควรพูดว่า...คราวต่อไปน้องเซียงไม่กล้าแล้วสิยะ!...
แต่ปากเจ้ากรรมไม่กลัวตายดันพูดออกไปอีกทางจนนางต้องหันหน้าหนีอีกฝ่ายแล้วตบปากตนเองไปหลายที ที่มันไม่กลัวตายพูดจาไม่รักษาชีวิตเจ้าของ
“วันนี้น้องเซียงตีจนพี่เฟิ่งสาแก่ใจแล้วเช่นนั้นคงสมควรลากลับเสียที ท่านพ่อตา อาเฟิ่งขอลา”
“น้อมส่งลูกเขย”
จางเยว่เซียงและเสี่ยวฮูหยินจางต่างมองหน้ากันแล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีเพราะเกิดมาก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นพ่อตา’ น้อมส่ง’ ลูกเขยก็วันนี้นี่แหละ!
แต่คนเช่นนายท่านสวี บิดาของนางน้อมส่งก็คงไม่ผิดอันใดมากนัก ทว่า...จางเยว่เซียงมองมือตนเองพลันสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นกระบี่คู่ของอีกฝ่ายวางอยู่บนโต๊ะนางจึงคิดทำดีไถ่โทษสักครั้งคว้าเอากระบี่คู่มาหอบเอาไว้แล้ววิ่งตื๋อพุ่งตามไปทิศทางที่คาดว่าสวีฉีเฟิ่งเดินไปพอเห็นด้านหลังของอีกฝ่ายไวไวจึงตะโกนเรียกเขาสุดเสียง
“พี่เฟิ่งลืมกระบี่แล้วเจ้าค่ะ!”
...กึก!...
กายสูงสง่าหยุดกึกลงทันควันเช่นกัน จางเยว่เซียงเตรียมฉีกยิ้มประจบประแจงเต็มที่คาดว่าเขาหันมาพบต้องมีให้อภัยนางบ้างไม่มากก็น้อยที่ฟาดจัดเต็มจัดใหญ่ใส่ไปไม่ยั้งที่ห้องนอนเมื่อครู่ใหญ่ทว่า
“ให้น้องเซียงเป็นรางวัลที่ตีได้ดี”
กล่าวจบเขาก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพงแล้วหายลับไปกับความมืด จางเยว่เซียงจึงฉีกยิ้มแย้มแตะแต้มค้างเติ่ง พลันนั้นแข่งขาก็ดันหมดแรงทรุดนั่งสิ้นกิริยาคุณหนูห้าผู้เรียบร้อยไปโดยสิ้นเชิงภายในหัวก็มีแต่ภาพข้อมือของฝู่เผยถูกตัด ภาพใบหน้าของจางเยว่ซินถูกกรีด
พอภาพดังกล่าววิ่งตีกันอยู่ในหัวอ้อมแขนที่กอดกระบี่สองเล่มก็ดันสั่นพั่บๆ ดังกับว่านางเป็นไข่เอ๊ย...เป็นไข้จับสั่นก็มิปาน “สั่นทำไมละ? ...อย่าสั่นสิวะ!” แต่ดุมันก็แล้ว ด่าเจ้าแขนทั้งสองข้างไปจนคอแห้ง เจ้าสองแขนไม่เอาไหนก็ไม่หยุดสั่นไม่พอ มันยังพาเอาขาสองข้างสั่นไปด้วยอีกต่างหาก
“คุณหนูห้า...”
ยังดีว่ามีฟางปี้เหลียนมาช่วยตามเก็บนางกลับเรือนหาไม่จนถึงช่วงสายก็คาดว่านางอาจยังไม่หยุดสั่นแล้วพาตนเองกลับไปนอนหวาดผวาอยู่ที่ห้องนอนของตนเองได้เป็นแน่
...แต่...นางไม่ผิดจริงๆ น่ะนะ นางตีถูกเขาทุกครั้งเลย...จริง...จริ๊ง!...