แสงแดดส่องผ่านม่านแพรมงคลกระทบดวงหน้างามหลับตาพริ้มบนตั่ง ใต้เปลือกตาสีไข่ขยับเล็กน้อย ค่อย ๆ เปิดตาขึ้นมาช้า ๆ แสงส่องกระทบตาจนต้องหรี่ตาลง ขนตางอนงามกระพริบถี่ปรับสายตาให้ชินกับความสว่าง
“อึก..”
ความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวเป็นสิ่งแรกที่หลี่ถิงถิงสัมผัสได้ รูปปากสวยพลันระบายยิ้มกว้าง เคยแอบฟังเหล่าสาวใช้ในจวนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหนุ่มสาวกันสนุกปาก บ้างว่าผ่านบทรักหนักหน่วงทำให้ปวดเมื่อยตัวจนแทบขยับไม่ได้ บ้างก็จับไข้ไปถึงสองวัน
หลี่ถิงถิงหลับตายิ้มเพ้อฝัน การเฝ้ารอถึงสามปีของนางสิ้นสุดลงเมื่อคืน ตำแหน่งฮูหยินของจ้าวเฉียนยี่ที่นางปรารถนาได้เป็นของนางแล้ว จากนี้นางก็สามารถพบหน้าจ้าวเฉียนยี่ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายขึ้นมาให้ขายหน้าอีก
ภาพจ้าวเฉียนยี่ในยามเช้าตอนตื่น หรือในตอนหลับ หรือกระทั่งตอนถูกนางเย้าแหย่จนเสียอาการเช่นเมื่อคืน งือ.. เพียงแค่คิดนางก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ อยากพบหน้าจ้าวเฉียนยี่จะแย่
“คิกคิก”
เรียวตากลมหลับตาจนแน่นดวงหน้าเห่อร้อน พลางส่งเสียงหัวเราะสดใสอย่างอารมณ์ดี กว่าจะรู้สึกตัวถึงความอึดอัดรอบกายก็เป็นตอนที่นางกลิ้งตัวหล่นลงพื้นดังปึก!
“อั้ก!!”
ซ้ำร้ายยังเป็นส่วนใบหน้าคว่ำลงพื้น ยังดีที่นางใช้หน้าผากรับแรงกระแทก ใบหน้าสวยที่อดทนประทินโฉมมานับปีจึงไม่มีรอยขีดข่วน หางตาหญิงสาวน้ำตาเล็ด บนหน้าผากช้ำจนแดงเป็นเปื้อนเนื้อเริ่มปูดนูนขึ้นมาให้เห็น
“เวรเถอะ!”
น้ำเสียงหวานสบถขัดกับภาพลักษณ์อ่อนหวานของนาง ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองผ้าที่พันรอบตัวเอาไว้และถูกมัดปมไว้อย่างดี
“ไอลูกหมาตัวไหนมามัดข้าไว้กะ-”
เกือบด่าจนครบประโยคหลี่ถิงถิงถึงเพิ่งตระหนักเรื่องราวเมื่อคืนได้ ความทรงจำแจ่มชัดประดังเข้ามาในความคิดราวกับภาพย้อน ความหวังได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสามีในคืนเข้าหอถูกพังทลายแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหตุผลที่นางปวดเมื่อยตัวหาใช่บทบรรเลงรักบนเตียงของจ้าวเฉียนยี่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขานำผ้ามารัดนางเสียแน่นจนกลายเป็นกระสอบเยี่ยงนี้ต่างหาก!
หญิงสาวกัดฟันจนแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ หน้าดำสลับแดงทั้งเขินอายที่คิดไปว่านางโดนพรากบริสุทธิ์โดยเขาแล้วแต่หาใช่เช่นนั้นไม่! แววตาแข็งกร้าวกวาดมองทั่วห้อง ไร้เงาหัวของคนไร้ความรู้สึก บุรุษด้านชา! สามารถละทิ้งสาวงามที่เปลือยเปล่ายั่วยวนเขาบนเตียงเช่นนั้นไปได้หน้าตาเฉย นี่นางไม่งดงามเร่าร้อนพอหรือ! ฮึ่ย!
ได้แล้วเราจะได้เห็นดีกัน
“จ้าวเฉียนยี่!!”
ทางด้านจ้าวเฉียนยี่ยังคงทำเช่นเดิมในทุกวันเป็นปกติ แต่ในเช้าวันนี้เขาออกจากจวนมายังหน่วยงานเร็วกว่าปกติ เนื่องจากไม่ใคร่อยากอยู่พบหน้าสตรีที่นอนหลับอยู่ในห้องของเขา ไม่ใช่ว่ารังเกียจนาง เพียงแต่.. เรื่องเมื่อคืนเป็นเพราะน้ำมึนเมาถึงทำให้เขาขาดสติยับยั้งชั่งใจ ยังดีที่สามารถดึงสติในตอนท้ายไม่ได้ล่วงเกินนาง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อาจสู้หน้านางได้อยู่ดี .. เพียงนึกถึงเรือนร่างและความเร่าร้อนจากกายนางก็ทำเอาจิตใจไม่สงบ
เขาจะไม่มีทางทำผิดพลาดดั่งเช่นท่านพ่อ หลี่ถิงถิงเป็นเพียงสตรีไร้เดียงสาที่ต้องทำตามขนบธรรมเนียม การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นเพราะคำมั่นสัญญาระหว่างครอบครัวทั้งสอง นางจึงไม่อาจเลี่ยงต้องทำตามและมีลูกให้แก่เขา ซึ่งเขาไม่อยากให้กลายเป็นเช่นนั้น..
ไม่จนกว่าเขาจะจัดการความรู้สึกตัวเองได้และสามารถมอบความรักทั้งหมดให้แก่นาง
ระหว่างครุ่งคิด ไม่รู้ด้วยเพราะฝุ่นละอองหรือไม่ อยู่ ๆ จ้าวเฉียนยี่ก็รู้สึกหนาวสั่น ก่อนจะจามออกมายกใหญ่
“ฮัดชิ้ว!”
สายตาหลายคู่เผลอหลุดมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสมส่วนใบหน้ารูปงามขึ้นสีแดงระเรื่อขณะใช้มืออังจมูก คิ้วหนาทรงกระบี่ขมวดจนมุ่น วันนี้อากาศอบอุ่นลมหนาวได้ผ่านไปตั้งแต่ต้นฤดูหนาวที่แล้ว ไม่น่าทำให้จับไข้ได้
“ท่านเสนาบดี รู้สึกไม่สบายตัวหรือขอรับ”
เหมิงฟง ผู้ทำงานภายใต้บังคับบัญชาและเป็นองครักษ์ฝีมือดีติดตามจ้าวเฉียนยี่ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเสนาบดีกลาโหม โดยถิงหลัวหวงตี้เป็นผู้แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยแก่เขา เหมิงฟงเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำผิวกายคล้ำแดดอันเป็นภาพลักษณ์ของชนเผ่านอกด่าน รูปหน้าคมเข้มดุดันต่างจากจ้าวเฉียนยี่ที่มองแล้วนุ่มนวลสบายตา
จ้าวเฉียนยี่ได้ฟังจึงเปรยตามองบุรุษข้างกาย ด้วยนิสัยเรียบง่าย พูดน้อยหากไม่จำเป็น และปฎิบัติตามคำสั่งได้เป็นอย่างดีจ้าวเฉียนยี่จึงชื่นชอบและไว้ใจเหมิงฟงเป็นอย่างมาก
“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร”
“ขอรับ”
“เจ้าเข้ามาหาข้า มีเรื่องด่วนอะไร”
ปกติเหมิงฟงมักเร้นกายและคอยตรวจตราเหล่ากองทัพภายในเมืองหลวงแทนจ้าวเฉียนยี่ที่ต้องเขียนรายงาน การได้เห็นเขาเข้ามาโดยไม่ใช่คำสั่งแสดงว่าต้องมีสิ่งใดร้ายแรงเกิดขึ้น จ้าวเฉียนยี่ไม่รีรอที่จะถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เตรียมหยิบตราประจำตัวเพื่อออกคำสั่งและรายงานเบื้องบนหากมีสิ่งใดผิดปกติ
“ขอรับ ฮูหยินกำลังถามหาท่านเสนาบดีขอรับ”
“....” จ้าวเฉียนยี่ชะงักมือ หันกลับไปหาเหนิงฟงที่ยังคงสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม และถามซ้ำ “ข้าได้ยินไม่ถนัด เจ้าพูดว่าอะไร ฮูหยินข้ามาหรือ”
“ขอรับ นางกำลังเดินเข้ามาด้านใน แต่ข้าหยุดนางไว้ก่อน” เหนิงฟงมีน้ำเสียงงุนงง
“แล้วเจ้าปล่อยให้นางเข้ามาหรือ ไม่เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เหตุผลที่เจ้าปรากฏตัวที่นี่ตอนนี้เป็นเพราะฮูหยินข้างั้นหรือ?!”
“...”
เหนิงฟงนิ่งคิดราวสามอึดใจ ใบหน้าคมสันฉายแววสับสนอยู่เล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านเสนาบดีจ้าวถึงไม่พึงพอใจนัก เขาปฎิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แน่นอนว่าการปล่อยให้คนนอกเข้ามานั้นหาใช่เรื่องสมควร และเหนิงฟงได้บอกแก่ฮูหยินจ้าวก่อนหน้านี้แล้ว
ระหว่างทางมาพบจ้าวเฉียนยี่ เหนิงฟงก็ทันได้เห็นสาวงามผู้หนึ่งดวงหน้าโดดเด่นสะกดสายตา หญิงสาวสวมอาภรณ์ที่หยอกล้อสายตา ด้วยชุดเกาะอกสีม่วงเข้มลายดอกบัวผ้าคลุมบางสีอ่อนปกปิดเพียงผิวเผินแม้ไม่สังเกตก็พอให้เห็นผิวขาวราวหิมะของนาง ผ้ารัดรอบเอวคอดเห็นส่วนเว้าโค้งเด่นชัดยามสะโพกงอนขยับพาให้บุรุษใจเต้นระส่ำกำลังเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับหิ้วของบางอย่างในหอบผ้า
เหนิงฟงตกตะลึงในความงามของนางอยู่ครู่ใหญ่ขณะมองตามด้วยความสงสัย เหตุใดพวกทหารยามถึงปล่อยให้มีแม่นางเดินเข้ามาเผ่นพ่านในเขตหวงห้ามกัน ยิ่งจงใจเลือกสวมผ้าเช่นนี้เป้าหมายชัดเจนว่าคิดยั่วยวนท่านเสนาบดีอีกเป็นแน่
‘คนนอกเข้าไปไม่ได้ขอรับ’
เหนิงฟงถูกสั่งให้ปฎิบัติหน้าที่เพิ่งกลับมาจึงไม่ทันรู้ว่าท่านเสนาบดีจ้าวได้แต่งฮูหยินเข้าจวนแล้ว หลี่ถิงถิงจึงเป็นเพียงคนนอกสำหรับเขา
‘..อุ้ย! ข้าไม่คาดคิดว่าจะมีบุรุษร่างกำยำกว่าพี่รองของข้าอยู่ด้วย เจ้าชื่ออะไร’ สิ่งแรกที่หลี่ถิงถิงมองคือมวลกล้ามแน่นขนัดทุกสัดส่วนและร่างกายสูงใหญ่กว่านางถึงเท่าตัว
เหนิงเฟงเลิกคิ้ว ก้มมองคนตัวเตี้ยกว่ามากทั้งยังยกไม้ยกมือขึ้นวัดความสูงระหว่างเขากับนางโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย
‘..เหนิงฟงขอรับ’
‘ดี เหนิงฟง ท่านเสนาบดีจ้าวอยู่ด้านในหรือไม่ ข้านำของว่างมาให้เขา’
นอกจากนางจะไม่หวาดกลัวเขาเช่นคนอื่นแล้วกลับถามหาเสนาบดีจ้าว หลายปีตั้งแต่ได้อยู่ข้างกายเขาไม่มีวันไหนที่ท่านเสนาบดีจะไม่ปวดหัวเรื่องของเหล่าสตรี ซึ่งหน้าที่รองของเหนิงฟงคือผู้ใดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในหน่วยงานต้องถูกไล่ออกไป แน่นอนว่าหลี่ถิงถิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
‘ขออภัยขอรับแม่นาง ข้าจำเป็นต้องขอให้ท่านกลับไปก่อน ตอนนี้ท่านเสนาบดีจ้าวไม่สะดวกที่จะพบ’
‘อะไรกัน.. ห้ามแม้กระทั่งภรรยาของเขาเองหรือ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย’
หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจ พอ ๆ กับเหนิงฟงที่เพิ่งแสดงสีหน้าตื่นตกใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
‘..ฮูหยินหรือขอรับ…’
หลี่ถิงถิงลอบเห็นสีหน้าแตกตื่นพลันเกิดความคิดชั่วร้ายหนึ่งขึ้น หญิงสาวแสยะยิ้มมุมปาก ท่าทางบุรุษผู้นี้ดูซื่อและเชื่อฟังไม่ต่างจากสามีนางแม้แต่น้อย น่าจะทำให้คล้อยตามได้ไม่ยาก หึหึ!
‘อะแฮ่ม.. เจ้าหน่ะเป็นองครักษ์สามีข้าใช่หรือไม่ ต่อให้เจ้าเข้มงวดในกฎตามคำสั่งท่านเสนาบดีจ้าว แต่ข้าเองก็มีศักดิ์เป็นถึงฮูหยินของเขา เจ้าก็ควรทำตามคำสั่งข้าเช่นกันไม่ใช่หรือ’
‘...’
เหนิงฟงครุ่นคิดอย่างหนัก ในหัวกำลังชั่งน้ำหนักความสำคัญระหว่างท่านเสนาบดีจ้าวกับฮูหยิน หลี่ถิงถิงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดรอย รีบพูดสมทบต่อพลางกอดอกเชิดหน้าจนจมูกบานให้ดูน่าเกรงขาม..
‘นำทางข้าไปพบสามีเดี๋ยวนี้’
‘...ขอรับ’
ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงหนักแน่นหรือท่าทางประหลาดของนางกันแน่ เหนิงฟงจึงยอมจำนนอย่างว่าง่าย เดินนำทางสตรีร่างเล็กที่ส่งเสียงทำนองในลำคอไปด้วยความงุนงงในตัวเองอยู่หลายส่วน
ย้อนความก่อนเข้ามาเหนิงฟงหน้านิ่งคิ้วขมวดคล้ายไม่เข้าใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีนิ่งเฉยเสียจนคนฟังปวดขมับ
“องครักษ์รักษาคำสัตย์สาบานภักดิ์ต่อท่านเสนาบดีจ้าว ตัวข้าเหนิงฟงให้ความสำคัญแก่คำสั่งและท่านเสนาบดีเป็นที่ตั้ง จ้าวฮูหยินเป็นภรรยาท่าน ตัวข้า..ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน”
เหนิงฟงชะงักคล้ายไม่แน่ใจ อันที่จริงแล้วเขาควรให้ความสำคัญแก่ฮูหยินด้วยหรือไม่ กลับได้ยินเสียงแว่วประโยคก่อนหน้าของหลี่ถิงถิงเข้ามาในหัว จึงตัดสินใจว่าทั้งสองเป็นผู้ที่ตนต้องให้ความสำคัญ และสุดท้าย
“ขออภัยท่านเสนาบดี ข้ามาแสดงความยินดีช้าไป ยินดีกับงานแต่งด้วยขอรับ”
ใบหน้ารูปงามของชายหนุ่มตึงเครียดคิ้วขมวดชนกัน จ้าวเฉียนยกมือขึ้นนวดหน้าผาก เหนิงฟงเป็นคนทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากไม่ใช่คำสั่งจากเขาไม่มีทางที่เหนิงฟงจะกล้าพาหลี่ถิงถิงเข้ามาที่นี่ เป็นไปได้ว่าสตรีผู้นั้นพูดยุยงเหนิงฟงให้เชื่อฟัง
สตรีตัวเล็กเช่นนางเนี่ยหรือ.. ช่างไม่หวาดกลัวสิ่งใดเอาเสียเลย
เสนาบดีจ้าวทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “..ช่างเถอะ วันนี้ข้าไม่ว่าง เอกสารล้นมือ ให้นางกลับไปก่อน” แล้วหันกลับมาสนใจรายงานในมือต่อแม้ในใจจะหวั่นไม่น้อยด้วยรู้สึกผิดที่ไล่นางกลับไป ด้านเหนิงฟงคิดอย่างหนักมองทางท่านเสนาบดี และเอกสารล้นมือที่ว่ามีเพียงหนึ่งฉบับในมือแผ่นเดียวเท่านั้น มองรอบโต๊ะก็ไม่เห็นรายงานสักฉบับ จะให้เขาผู้นี้โกหกฮูหยินออกไปงั้นหรือ..
จู่ ๆ ภาพสตรีดวงหน้างดงามถลึงตาใส่ นิ้วเรียวชี้เข้าหาตัวนางเอง ข้าจะยอมรออยู่ตรงนี้ แต่เจ้าต้องพาเขามาพบข้าให้ได้ หากไม่แล้วจะถือว่าเจ้าผิดคำสาบานต่อฮุหยินเช่นข้า หวังว่าองครักษ์ผู้มีเกียรติเช่นเจ้าจะไม่ผิดคำพูด ..ให้ตายเถอะ เขายอมกัดลิ้นตายเสียดีกว่าโกหกผู้เป็นนาย!
ครั้นเห็นเหนิงฟงนิ่งเงียบ จ้าวเฉียนยี่วางเอกสารลงแล้วจึงกำชับองครักษ์ข้างกายอีกครั้ง
“เหนิงฟง”
“ท่านเสนาบดี การโกหกฮูหยินเป็นเรื่องไม่สมควรนะขอรับ”
ในที่สุดเหนิงฟงก็ตัดสินใจพูดหลังจากคิดอยู่นาน จ้าวเฉียนยี่ได้ยินก็เผลอปล่อยรายงานหลุดมือ ใบหน้ากระตุกเกือบอ้าปากค้างดีที่กัดฟันไว้ได้ทัน ปมคิ้วที่เพิ่งคลายออกกลับมาขมวดเข้าหากันอีกรอบ
เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่..
“.. ข้าไม่มีเหตุผลให้โกหกนาง” จ้าวเฉียนยี่ขยับตัวเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่สนใจสายตาจับผิดของเหนิงฟง มือแอบซ่อนเข้าไปในสาปเสื้อตัวสีขาวอย่างไม่รู้ตัว
“นางเหมือนอยากพบท่านมาก”
“...” จ้าวเฉียนยี่ยังคงนิ่งเฉย
“เดินเท้าเข้ามาถึงข้างในไร้ผู้ติดตาม”
“...นางถือหอบผ้ามาด้วยใช่หรือไม่” จ้าวเฉียนยี่พูดขึ้นเริ่มเหลือบหันมามองด้วยสายตาละห้อยรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ขอรับ.. หิ้วหอบผ้าด้วยแขนเล็กเทียบเท่าเพียงนิ้วสองคู่ของข้าเองกระมัง” คนที่พูดน้อยชักจะพูดเยอะขึ้นทุกที ทั้งยังเปรียบเทียบจนเขาเห็นภาพสะท้อนขึ้นมาในหัว นางตัวเล็กจริง และเล็กมากด้วย..
จ้าวเฉียนยีหันกลับมาเต็มใบหน้านิ้วเกลี่ยริมฝีปากชั่งใจ
“...”
“ท่านเสนาบดีเป็นผู้สูงส่งใจกว้างดั่งน้ำทะเล ผู้คนอาจยำเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่คนเรารู้หน้าอาจไม่รู้ใจ เรื่องเลวร้ายอาจอยู่ภายใต้จมูกของท่าน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ในที่สุดคนที่เงียบอยู่นานก็ยอมเปิดปากพูดทั้งที่พยายามไม่ตั้งใจฟังเรื่องของนาง แต่เหนิงฟงที่อยู่กับจ้าวเฉียนยี่มานานจนสามารถจับสังเกตได้ว่าท่านเสนาบดีหางคิ้วกระตุกตั้งแต่เขาพูดถึงฮูหยินประโยคแรกแล้ว
“ข้ามักเห็นสตรีสูงศักดิ์หลายนางสวมทับผ้าไหมเนื้อดีมีราคา แต่ฮูหยินกลับสวมเพียงสิ่งเรียบง่ายเบาบางจนข้าเกรงว่านางอาจต้องลมหนาวจนล้มป่วย”
เหนิงฟงพูดตามความจริงทั้งยังมีแววตาแสนจริงจัง นึกถึงร่างกายเล็กน่าถนุถนอมของฮูหยินแล้วเขาเกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะล้มป่วยลงอย่างที่คิด โดยที่เหนิงฟงไม่ทันรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอาภรณ์ที่หลี่ถิงถิงเลือกใส่มาวันนี้มาจากความตั้งใจของนางต่างหาก!
จ้าวเฉียนยี่ได้ฟังพลันหน้ากระตุก คราวนี้นางมาโดยวางแผนการใดไว้อีก! “ข้าจะไปพบนางเดี๋ยวนี้”
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือไขว่หลังเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้องทำงาน ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจแต่ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปสอดของคนในกรม ด้านองครักษ์หนุ่มหลังทำตามคำสั่งสำเร็จลุล่วงสีหน้าโล่งใจเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
ด้านนอกหน่วยงานกลาโหม ใต้ต้นหลิวสีเขียวสดเรือนร่างเล็กอรชรจัดแจงตัวเองนั่งเรียบร้อยบนโต๊ะหินอ่อน แขนเรียวยุ่งวุ่นวายจัดวางถ้วยอาหารจำพวกผัดและข้าวลงข้างกัน และไม่ลืมที่จะหยิบขนมหวานที่จ้าวเฉียนยี่ชื่นชอบขึ้นมา วางไว้ไกลหน่อยสำหรับเป็นของตบท้ายของคาว ดวงหน้างามหญิงสาวขยับยิ้มราวกับมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้
ทว่าจู่ ๆ หลี่ถิงถิงรู้สึกว่าลมนิ่งสงบพร้อมกับได้กลิ่นหอมสะอาดคล้ายต้นสน เป็นกลิ่นที่คุ้นเคย เมื่อเป็นเช่นนี้ใบหน้างามจึงเงยขึ้น ได้สบเข้ากับแววตาคล้ายโกรธคล้ายไม่พอใจของบุรุษร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาใกล้ หลี่ถิงถิงคล้ายไม่สลด กลีบปากแดงระเรื่อขยับยิ้มจนแก้มปริ
“จ้าวเฉียนยี่ ท่านมาแล้ว”
แท้จริงนางกังวลในใจอยู่หลายส่วน แต่เลือกยิ้มใจดีสู้เสือ ในเมื่อตัดสินใจเดินหน้ามาถึงเพียงนี้แล้วจะให้ถอยก็เสียดาย ที่ผ่านมานางพยายามไม่แสดงความรู้สึกที่มีต่อจ้าวเฉียนยี่ จึงพบหน้าพูดคุยเฉพาะตอนปรึกษาตำรา บทกลอนและตอนไปหาจ้าวเสวี่ยซินเท่านั้น เวลาสามปีมันนานพอให้รู้ว่านางไม่เคยมีตัวตนอยู่ในใจเขา และรู้ทั้งรู้ว่าสตรีที่มีน้ำหนักในใจเขาเป็นผู้ใด แต่ความรักของนางก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยน ใครจะหาว่านางโง่งมนางก็ไม่สนใจ เพราะรักเขานางถึงยังพยายามอยู่ในตอนนี้.. พยายามโดยมีความหวังที่เริ่มจะน้อยลงทุกที
สีหน้าเศร้าหมองเกิดขึ้นและจางหายไปยามสายลมพัดมาพร้อมกับกลิ่นต้นสนชัดเจน
“หลี่ถิงถิง...เจ้ามาทำอะไร”
น้ำเสียงทุ้มคล้ายอ่อนลงไม่เหมือนทุกที จ้าวเฉียนยี่ตั้งใจตำหนินางเรื่องการเลือกชุดไม่เหมาะสม แต่ทันได้เห็นสีหน้าคล้ายร้องไห้ของนางเพียงอึดใจเมื่อครู่ ความคิดตำหนินาง จู่ ๆ ได้หายไปจากความตั้งใจอย่างไม่รู้ตัว
“เมื่อเช้าดูเหมือนว่าท่านเสนาบดีจะรีบจนไม่ได้รับประทานอาหาร และถิงเอ๋อร์พอคาดเดาได้ว่าท่านคงมุ่งมั่นทำงานจนลืมรับประทานอาหารในช่วงบ่าย ข้าจึงนำอาหารและของว่างมาให้เจ้าค่ะ”
“อาหาร?”
คิ้วหนาเลิกขึ้นคล้ายแปลกใจที่นางไม่ถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาจับตัวนางม้วนด้วยผ้า ตื่นเช้ามาไม่กล้าปลดนางออกเพราะจำได้ว่าปล่อยให้นางหลับไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สวมใส่ผ้ากลับคืนให้แก่นาง อีกอย่าง..เขาไม่คิดเอาเปรียบสตรีที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติ
ฟึบ
จู่ ๆ คนตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้ามาประชิดร่างสูง ใบหน้างามเชิดขึ้นมองจ้าวเฉียนยี่ ดวงตากลมโตสีดำขลับกระจ่างใสงดงามจ้องมองมาทางเขาออดอ้อน นิ้วเรียวเกี่ยวแขนเสื้อเสนาบดีจ้าวพลางกระตุกน้อย ๆ
“ข้าเร่งรีบมาพบสามี ไม่ได้ทานอะไรมาด้วยเช่นกัน ไหนแล้ว ๆ วันนี้เราทานอาหารด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่พูดเปล่ายังขยับตัวเขย่าไปมา เสื้อเกาะอกที่นางสวมใส่ ไม่รู้ว่ามันเล็กเกินไปหรือเพราะบางอย่างมันมีมากเกินพอดี ถึงคลอนสั่นเป็นเป้าสายตา จ้าวเฉียนยี่ตัวแข็งทื่อ เป็นช่วงหลายอึดใจกว่าจะดึงหน้าหนีจากนางไปอีกทางหนึ่ง
“จ้าวเฉียนยี่”
ทั้งเสียงออดอ้อนเช่นนี้อีก.. นับวันนางยิ่งไม่คล้ายนางคนเดิมเกินไปหรือไม่ จ้าวเฉียนยี่คิดพลางถอดทอนหายใจ ก่อนจะยอมพยักหน้ารับรัว ๆ แล้วขยับตัวออกห่างนางหนึ่งก้าว
“ท่านจะเดินหนีข้าทำไมหน่ะ” ทว่าหลี่ถิงถิงกลับก้าวขายาวตามาจนตัวนุ่มนิ่มชนตัวของเขา เขย่งเท้าเข้าหาเขาจนสายตาประสานกันในระดับเดียวกันอย่างกระทัน
“จะ เจ้า!”
คนตัวสูงสะดุ้งราวกับถูกน้ำร้อนลวกพลางร้องเสียงหลง เผลอถอยหลังจนเกือบล้ม โชคดีที่ได้หลี่ถิงถิงช้อนหลังรับตัวคนที่กำลังล้มลงไว้ได้ทัน
“ฮู่ว เกือบไปแล้วนะเจ้าคะ”
“...”
ร่างสูงโปร่งชายหนุ่มเอนไปแล้วกว่าครึ่งจนเท้าชี้ฟ้า โดนหยุดไว้ด้วยมือเล็กที่ช้อนตัวเอาไว้ จ้าวเฉียนยี่อับอายเกินกว่าจะสามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูด ตัวเขาเป็นบุรุษกลับได้สตรีรูปร่างบอบบางราวต้นหลิวเช่นนางช่วยเหลือไว้ ไม่พอยังรับเขาราวกับบุรุษอุ้มสตรีเช่นนี้อีก น่าอายยิ่งนัก!!
จ้าวเฉียนยี่รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากอ้อมแขนของนาง “ขะ..ขอบใจเจ้า อะแฮ่ม อยากทานข้าว ก็ทานเสียตอนนี้เลยเถอะ”
หลี่ถิงถิงค้างอยู่ในท่าตั้งรับ กดยิ้มมุมปากส่งเสียงหึหึในลำคอ “ได้สิสามี ข้าเตรียมของที่ท่านชอบมาไว้แล้ว”
สองมือเล็กวาดมือไปบนโต๊ะ อาหารหน้าตาน่าทานจัดเรียงสวยงามรองด้วยผ้าสีม่วงเช่นเดียวกับสีชุดของนาง แต่สิ่งที่สะดุดตากว่าคือรอยแผลจาง ๆ บนนิ้วมือเรียว จ้าวเฉียนยี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว สีหน้าฉายชัดถึงความไม่พอใจ
“ถิงถิง ห้ามเข้าครัวอีก”
“..ทำไมถึงห้ามข้าล่ะเจ้าคะ” หลี่ถิงถิงเอียงคอถามกลับคนตรงหน้าด้วยความสงสัย หรือเขาไม่ชอบฝีมือทำอาหารของนาง?
“จวนข้าไม่ได้ขัดสนบ่าวใช้ถึงขนาดต้องปล่อยให้ภรรยาเข้าครัวด้วยตัวเอง”
“!” หลี่ถิงถิงชะงัก ไม่ว่าแท้จริงแล้วจ้าวเฉียนยี่จะพูดเพราะต้องรักษาหน้าตระกูลหรือไม่ แต่นางจะขอเข้าใจไปว่าเขาเป็นห่วงนางแล้วกัน!
ด้านจ้าวเฉียนยี่นั่งลงกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ ทุกจานล้วนเป็นของชอบของเขาทั้งสิ้น ครั้นหันไปเห็นขนมหวานอีกจานที่วางอยู่ไม่ไกล ขนมรูปดอกไม้สีชมพูอ่อน ขนาดทุกชิ้นเท่ากันไม่มีส่วนไหนเละหรือพังดูไม่น่าทาน ระหว่างทางเศษหินและดินโคลนทำให้รถม้าโคลงเคลง นางต้องระมัดระวังเพียงใดอาหารเหล่านี้ถึงยังอยู่ในสภาพที่ดีได้
“มาสิ”
ไม่รู้ด้วยเพราะสีหน้าตกตะลึงของนางหรือเพราะการรักษาอาหารไว้อย่างดีถึงทำให้จ้าวเฉียนยี่เป็นฝ่ายชักชวนหญิงสาวที่ยืนค้ำศีรษะอยู่ให้ลงมานั่งด้วยกัน ทั้งยังใช้น้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ
หลี่ถิงถิงฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหูถือวิสาสะนั่งลงข้างกายคนตัวโต การตัดสินใจมาในวันนี้อาจไม่สูญเปล่า วันนี้ได้เขาชวนก่อนเป็นครั้งแรกนางเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ขอให้เขาใจอ่อนให้นางอีกสักหน่อยแล้วกัน..
ระหว่างที่นั่งยิ้มไม่หุบพร้อมกับคีบตักอาหารใส่จานจ้าวเฉียนยี่อยู่นั้น อยู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหวานพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า
“ข้าอาจไม่เคยพูดมาก่อน แต่วันนี้มีโอกาสได้พูดแล้ว ฟังให้ดีเพราะข้าจะบอกกับท่านทุก ๆ วัน ..ข้ารักท่านนะเจ้าคะ”
“!”
เคร้ง
ช้อนหล่นลงจากมือใหญ่กระทบถ้วยข้าว จ้าวเฉียนยี่หันพรึบตาโตกลับไปมองสตรีข้างกายที่กำลังยิ้มหัวเราะได้อย่างน่าเอ็นดู
ดูทำหน้าเข้าสิ อึ้งจนลืมเคี้ยวข้าวเสียแล้ว.. หลี่ถิงถิงคิด