นั่นคือเรื่องราวเบื้องหลังที่จ้าวเฉียนยี่ไม่เคยรับรู้แม้ผ่านมาถึงสามปีย่างสี่แล้ว จ้าวเฉียนยี่ยังคงรู้เพียงแต่ว่า คืนหนึ่ง บิดาของเขาและท่านเจ้าเมืองหลี่ ทั้งสองได้พูดคุยกันยันมืดค่ำตามประสาสหายที่ไม่ได้พบเจอกันนานท้ายจวน และด้วยเหตุใดบางอย่าง จู่ ๆ ก็เกิดการท้าดวลร่ำสุราระหว่างพวกเขาทั้งสอง และไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นอีกเช่นกัน เมื่อวันต่อมาในช่วงสาย หลังจากบิดาสร่างเมาก็ให้คนมาแจ้งแก่เขาถึงเรื่องคำมั่นสัญญาที่เกิดขึ้นกะทันหัน อีกทั้งยังฝากคำพูดสั้น ๆ ว่า
‘คุณหนูสามสกุลหลี่สนิทชิดเชื้อกับสกุลเรามานานแล้ว หมั้นหมายกันคงไม่มีอะไรเสียหาย อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเองแหละน่าเจ้าลูกชาย’
จ้าวเฉียนยี่ได้ฟังถึงกับลมจับ สำหรับตัวเขาแล้วคุณหนูสามหลี่ถิงถิงนั้นเป็นสหายของพี่สาว และเขานับถือนางดั่งพี่สาวและสหายคนหนึ่ง จะให้ตบแต่งผู้ที่ตนเองนับถือเข้าจวนได้เยี่ยงไรมันไม่สมเหตุสมผลที่สุด! และตัวเขาเองยังไม่พร้อมเปิดใจให้ผู้ใดทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงประวิงเวลามายาวนานถึงสามปี..
ความรู้สึกผิดแน่นอนว่าตัวเขามีมันอยู่ตลอดเวลาสามปีเช่นกัน และได้ยินคำกล่าวจากนางเมื่อเช้าวานนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีกเป็นกอง..
“จ้าวเฉียนยี่ ท่านประวิงเวลากระทั่งผ่านไปถึงสามปี คุณหนูใหญ่จ้าวท้องโตจนท้องแบนราบแล้ว ท่านก็ยังหาข้ออ้างเลื่อนงานแต่งได้ทุกปี แต่ปีนี้เห็นทีจะไม่ได้ ท่านเจ้าอาวาสดูฤกษ์ให้แก่เราแล้วปีนี้เป็นปีที่ดีในการผลิตทายาทนะเจ้าคะ!”
“..จะ..เจ้า”
จ้าวเฉียนยี่อึกอักหน้าเห่อร้อน นับวันคำพูดคำจานางช่างแตกต่างจากคราแรกอย่างสิ้นเชิง หรือเป็นเพราะคลุกคลีกับพี่สาวของตนมากเกินไป จึงติดนิสัยส่วนนั้นมากัน
“ท่านเสนาบดีจ้าว”
และยังลูกไม้ออดอ้อนตาเป็นประกายราวกับลูกหมานี่อีก.. เห็นทีเขาต้องคุยเรื่องนี้จริงจังกับพี่เสวี่ยซินเสียแล้วว่าอย่าได้สั่งสอนเรื่องแปลก ๆ แก่นางอีกเป็นอันขาด!
“..คุณหนูสาม ใจเย็นก่อนพักนี้งานรัดตัว พร้อมเมื่อไหร่ข้าจะบอกเจ้าเอง อย่างไรท่านพ่อก็ได้รับปากไปแล้ว ข้าไม่อาจทำให้ท่านพ่อเสียหน้า”
“...เจ้าค่ะ เมื่อรู้ว่ามีสัญญาเกิดขึ้น ข้าก็ไม่คิดแต่งผู้อื่น รอท่านมาถึงสามปี พ้นวัยออกเรือนไปแล้ว คงขายผู้ใดไม่ออก.. ท่านเสนาบดีจะรับผิดชอบตัวข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวเฉียนยี่ได้ยินคำตัดพ้อก็หน้าเสีย ตอนนี้หลี่ถิงถิงก็เข้าสู่วัยยี่สิบสี่ปี่ พ้นวัยออกเรือนนั่นก็เป็นความผิดของเขาจริง ๆ ซึ่งจ้าวเฉียนยี่ไม่อาจปฏิเสธ
“นะ..แน่นอน ข้าต้องรับผิดชอบเจ้า”
“ได้ฟังเช่นนี้ก็สบายใจแล้วเจ้าค่ะ”
พลันสีหน้าเศร้าสร้อยคราแรกของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนแก้มฉีกทันทีทันใด อีกทั้งยังส่งเสียงต่ำทำท่วงทำนองในลำคอคล้ายอารมณ์ดี ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่อารมณ์สลับเปลี่ยนไวของหลี่ถิงถิงทำให้จ้าวเฉียนยี่รู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่างไป..
ใช่.. จ้าวฉียนยี่รู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่างไป อย่างเช่นในตอนนี้ ตรงหน้าเขายามนี้.. ระหว่างรอท่านพ่อในเรือนรับรอง
สตรีดวงหน้าหวานละมุนพริ้มเพราผมเงางามถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่ง ปักด้วยปิ่นหยกสีขาวบริสุทธ์ห้อยพู่ดอกเหมยสีชมพูอ่อน หลี่ถิงถิงสวมชุดเกาะอกสีขาวกลีบดอกเถาฮวาทับด้วยผ้าคลุมบางสีฟ้าอ่อน บนใบหน้าหวานโรยด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครต่างก็สามารถหลงไหลไปราวกับหลงทาง
นางมาพร้อมกับขบวนเกี้ยวเจ้าสาว รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวที่นำมาต้องใช้พื้นที่ถึงหนึ่งในสี่จึงเพียงพอวางของของนาง ด้วยจวนอัครเสนาบดีเองหาใช่จวนพื้นที่เล็กที่คนจะสามารดูถูก มันกินพื้นที่ไปมากกว่าเรือนสามหลังติดกัน ทรัพย์สินของนางต้องมากมายเพียงใด ถึงสามารถใช้ไปได้ถึงหนึ่งในสี่ของจวน!
ด้านนอกอยู่ในฤดูกาลอบอุ่น ทว่ายามนี้จ้าวเฉียนยี่กลับรู้สึกหนาวเหน็บถึงขั่วกระดูก คราวนี้นางคิดใช้ลูกเล่นใดอีกแน่กัน.. คิ้วหนาทรงกระบี่ขมวดจนเป็นปม สายตาครุ่นคิดไม่ตกระหว่างมองคนขนของเข้ามาภายในจวน กระทั่งสัมผัสนุ่มนิ่มแตะลงระหว่างคิ้ว ชายหนุ่มผงะ เลื่อนสายตาคมกล้าหันกลับไปมองยังคนที่นั่งอยู่ด้านข้างและยังถือวิสาสะยื่นนิ้วเข้ามา
“ขมวดคิ้วเช่นนั้นเขาว่ากันว่าจะทำให้อายุเยอะขึ้นนะเจ้าคะ”
ใบหน้าเล็กหวานโรยด้วยรอยยิ้มน่ารัก ศีรษะเอียงมองมาทางจ้าวเฉียนยี่ขณะดวงตายิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ครู่หนึ่งที่จ้าวเฉียนยี่สายตาพร่ามัวไปเพราะรอยยิ้มเป็นประกายของนาง แต่เมื่อได้ยินเสียงดังตึงของกล่องกระทบลงพื้นสติพลันกลับคืน ค่อย ๆ ย่นคอหนีห่างจากนิ้วเรียวช้า ๆ
“คุณหนูหลี่ เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่” จ้าวเฉียนยี่กดน้ำเสียงต่ำไม่ลุกขึ้นตำหนิด้วยเพราะไว้หน้านาง
ครั้นสัมผัสร้อนใต้นิ้วหนีห่างหายไปอย่างทุกทีที่หลี่ถิงถิงตั้งใจจะทอดสะพานแก่บุรุษในดวงใจ หญิงสาวพ่นลมออกจมูก กว่านางจะรวบรวมความกล้าประกอบกับได้สหายสนิทเป่าหูว่าอย่าเขินอายต้องใช้เวลานานเพียงใด!
หลี่ถิงถิงเม้มปากอมลมจนแก้มป่อง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันคล้ายขัดใจ มีแววตาผิดหวังอยู่ในที ก่อนจำใจชักนิ้วกลับอย่างเสียไม่ได้
“ข้าได้บอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าปีนี้เป็นปีมงคล ในเมื่อท่านเสนาบดีไม่ใคร่แต่งข้าเข้าจวนตามสัญญาเสียที ข้าเองก็ต้องพาตัวเองเข้ามาเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ”
ร่างเล็กพูดขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวประหนึ่งว่าการแต่งตัวเองเข้าจวนบุรุษเป็นเรื่องปกติ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ตั้งแต่ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวออกจากจวนเจ้าเมืองหลี่ ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปไกลทั่วแคว้นต้าฉินราวกับไฟลามทุ่ง ว่าบุรุษรูปงามแห่งเมืองต้าฉินคนที่สองถูกจับจองโดยบุตรสาวคนเล็กสกุลหลี่ไปแล้ว ไม่พอยังเป็นผู้ส่งตัวเองเข้าจวนบุรุษ ถึงอาจหาญใจกล้าอย่างไรก็มิสมควร!
เสียงชาวเมืองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่านางอาจใช้มารยาใดล่อลวงท่านเสนาบดีให้ตกหลุมพราง ด้วยนิสัยไม่เกรงกลัวใครและเป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด หลี่ถิงถิงเป็นหนึ่งหญิงงามไม่น้อยหน้าผู้ใด เพียงบุคลิกภายนอกเย่อหยิ่งคบหายาก ผู้คนที่เฉียดกรายอยากเข้าใกล้จึงมักจะทนความเฉยชาของนางไม่ไหว ส่วนมากหันไปนิยมชมชอบหลานอี้หนานที่เป็นมิตรวาจาไพเราะมากกว่าแทน
กระนั้นนิสัยส่วนนั้นของนางไม่เคยถูกหยิบยกมาใช้กับจ้าวเฉียนยี่เลยแม้แต่น้อย ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าสตรีดอกบัวขาวผู้นั้นมีน้ำหนักเพียงใดในใจของเขา หลี่ถิงถิงจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นได้ดั่งหลานอี้หนาน เว้นเสียแต่นิสัยออดอ้อนช่างพูดช่างจายามอยู่กับจ้าวเฉียนยี่เท่านั้นที่นางทำออกมาโดยเป็นธรรมชาติที่สุด
“..คุณหนูหลี่ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือหากรอให้ข้าพร้อม”
“ร่างกายท่านมีปัญหาหรือ”
“!” จ้าวเฉียนยี่ผงะผินมองใบหน้างาม ได้เห็นแววตากระจ่างใสไร้พิษสงพลันส่ายหน้าพรืด เกือบยกมือขึ้นกุมขมับ นางช่างมีวาจาตรงไปตรงมาไม่คิดเขินอายบ้างเลยหรืออย่างไร แต่ถึงนางไม่อายแต่เขาอาย!
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงทุ้มตอบเรียบนิ่ง มิใช่พร้อมด้วยร่างกายแต่ด้วยความรู้สึกตอนนี้กำลังบอกเขาว่าเขายังไม่พร้อม..
หลี่ถิงถิงเลิกคิ้วมองคนที่นับวันยิ่งเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางรู้แก่ใจดีว่าที่เขากลายเป็นเช่นนี้เพราะหลานอี้หนานสตรีผู้นั้นที่บังอาจทำลายหัวใจดวงน้อย ๆ ของจ้าวเฉียนยี่ของนาง! รอยยิ้มที่มักจะอ่อนโยนเองก็เลือนหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน จนนางจำไม่ได้แล้วว่าบุรุษข้างกายนางในตอนนี้เคยยิ้มอย่างจริงใจครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน
แต่ช่างเถอะ ถึงเขาจะยังมีใจหลงเหลือให้แก่แม่บัวขาวดินโคลน แต่นางก็หาสนใจไม่ หากเขาเศร้า นางก็จะเป็นคนทำให้เขายิ้มให้ได้เอง ถึงจะกลายเป็นสตรีดื้อดึงในสายตาคนอื่นแล้วอย่างไร พวกเขาควรคิดเสียใหม่ว่า มันเป็นเพราะความรักของนางมั่นคงดั่งหินผาต่างหาก! ทั่วผืนดินนี้จะมีบุรุษสักกี่คนที่โชคดีได้อย่างจ้าวเฉียนยี่อีก ไม่มีหรอก ฮึ่ม!
“หึ หากท่านมีปัญหาด้านร่างกายล่ะก็ ท่านอย่าได้กังวล ข้ามีตำราดี” ร่างเล็กแต่กลับมีทรวดทรงส่วนเว้าโค้งให้หลงใหลเบียดกายเข้าหาบุรุษข้างกาย พลางกล่าวกระซิบแหบพร่าข้างใบหู จ้าวเฉียนยี่สะดุ้งสุดตัวทว่าไม่ทันได้ผละออก ก็ต้องได้ฟังประโยคถัดมาของนางที่ทำเอาใจโหวง
“หากท่านไม่เก่ง ถิงเอ๋อร์ยินดีร่ำเรียนวิชาบนเตียงเพื่อท่าน.. นะเจ้าคะ” ไม่พอยังแอบเฉียนริมฝีปากนุ่มลงบนใบหูเล็กน้อย
“นี่จะ..เจ้า!!!”
จ้าวเฉียนผุดลุกขึ้นราวกับถูกไฟลน มือใหญ่กุมใบหูของตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว ดั่งกับมีน้ำตื้นในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาหน้าเปลี่ยนสีดวงตาเบิกกว้างจนหลี่ถิงถิงแอบตกใจ กระนั้นก็ผ่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
และไม่ลืมที่จะตบท้ายให้อีกคนใจหายอีกรอบด้วยว่า
“ไหน ๆ แล้ว ข้าขอซ้อมเรียกท่านว่า สามี ก่อนเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“!”
คนตัวสูงหลุบตามองใบหน้าหวานกำลังยกยิ้มกว้าง ไม่รู้ด้วยเหตุใด จ้าวเฉียนยี่ถึงรู้สึกราวกับว่าเขาตกเป็นรองแก่นางแล้วกัน.. แล้วนั่นใช่นางคนเดิมแน่หรือ ถึงจะพูดจาเกี้ยวพาอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้ สายตาเจ้าเล่ห์ของนางนั่นมันอะไรกัน!
“อะแฮ่ม ต้องขอโทษด้วยที่ข้ามาช้า แม่นางหลี่คงไม่ถือโทษโกรธคนแก่เช่นข้าใช่หรือไม่ แล้วนั่น.. จ้าวเฉียนยี่เจ้ากำลังจะไปไหน”
จวบจนเสียงกระแอมไอดังขึ้นหน้าประตู ตามมาด้วยร่างของบุรุษสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เดินไผ่หลังเข้ามาในห้อง แม้มีร่องรอยแห่งวัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าแต่สามารถกล่าวได้ว่า ครั้งหนึ่งจ้าวฉงซานนั้นรูปงามเฉิดฉายที่สุดในเมืองหลวง ไม่แปลกใจที่จ้าวเฉียนยี่มีใบหน้าราวกับบรรจงปั้น เพราะได้รับจากบิดามาถึงสามส่วน หนึ่งส่วนที่แตกต่างคงเป็นดวงตาคู่สวยภายใต้แพขนตาหนางอนงามคู่นั้น ทำให้จ้าวเฉียนยี่ดูงดงามคล้ายสตรีก็ไม่ปาน
“ถิงเอ๋อร์ไม่บังอาจโกรธเคืองท่านลุงเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่เสียมารยาทมาโดยไม่บอกกล่าว ต้องขออภัยเจ้าค่ะ” ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นเดินเชื่องช้าขึ้นมาด้านข้างจ้าวฉงซาน มือเล็กทั้งสองประสานไว้ช่วงท้อง โน้มตัวลงเพื่อขออภัยแก่เขา
จ้าวเฉียนยี่มองไปที่นางอย่างอึ้ง ๆ ประเมินกิริยาอ่อนช้อยงดงามของหลี่ถิงถิงด้วยสายตายากจะคาดเดา เมื่อสักครู่นางแทบจะเป็นแมวป่าแสนยั่วยวน บัดนี้คงท่าทางเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ ยิ่งพักหลังมานี้มีเหตุการณ์เช่นนี้ให้เห็นถี่ขึ้น ทั้งที่เมื่อสี่ปีก่อนยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขานานเกินสองอึดใจด้วยซ้ำ..
“นั่งลงเถอะ เจ้าก็ด้วยจ้าวเฉียนยี่”
ประโยคหลังจ้าวฉงซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายตำหนิอยู่ในที สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในจวนเพียงนี้ไม่ใช่เพราะใครที่ไหน แต่เป็นเพราะบุตรชายไม่ยอมรับภรรยาเข้าตบแต่งตามที่สัญญาเสียที ตัวเขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยจึงปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกระทั่งถึงสามปี บางครั้งได้แสร้งถามไถ่เจ้าตัวก็ตอบปัด จนตอนนี้เจ้าบุตรชายก็ยังไม่มีท่าทีจะแต่งคุณหนูหลี่เข้าจวน ให้ตายเถอะ..
หากไม่ใช่เพราะสายตาจิกกัดทิ่มแทงและคำพูดเหน็บแนมทุกครั้งยามได้พบหน้าผู้เป็นสหาย หลี่โจวฝาง แล้วล่ะก็ตัวเขาคงไม่ร้อนใจถึงเพียงนี้
‘อัครเสนาบดีจ้าว บุตรชายท่านทำเกินไปแล้ว เขาคิดจะปล่อยให้ถิงเอ๋อร์ของข้านั่งรออยู่เรือนจนถึงเมื่อไหร่ นางเรียนรู้งานเรือนจนช่ำชองอีกหน่อยคงเลื่อนขั้นเป็นปรมจารย์ได้แล้วกระมัง ..ท่านอัครเสนาบดี ท่านลองบอกข้าทีสิ บุตรสาวข้าไม่ดีอย่างไรไหนท่านลองพูดมา!!’
ไม่พอยังเตรียมถกแขนเสื้อเดินปรี่เข้ามาหาอีกด้วย.. หลี่โจวฝางตำหนิบุตรชายเขาไฉนถึงกลายเป็นตัวเขาที่ถูกเหมารวมเป็นเครื่องระบายความหงุดหงิดด้วยเล่า..
“เฮ้อ”
จ้าวฉงซานถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่มือกุมขมับเมื่อนึกถึงใบหน้าเดือดดาลตาเหลือกโตของหลี่โจวฝางจ้องมองมายังเขา ทว่าก็เข้าใจถึงหัวอกผู้เป็นบิดาดี เขาเองก็มีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง ยังดีที่นางออกเรือนไปแล้วและได้สามีที่ดีเป็นคู่ครองตัวเขาจึงหายห่วง
และหากมองในมุมของคุณหนูสามสกุลหลี่แล้ว เวลาอันสมควรแก่การออกเรือนต้องใช้ไปเพื่อรอแต่งเข้าจวนจ้าวเฉียนยี่ตามสัญญา มันน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย วันนี้จ้าวฉงซานจึงตั้งใจจะไม่ข้องเกี่ยวให้เหล่าหนุ่มสาวเขาตัดสินใจกันเอง เพียงแต่มาเพื่อเป็นพยานรับรู้เท่านั้น
“ว่ามาเถอะ ปล่อยให้เจ้าเมืองหลี่รอนานคงไม่ดี”
จ้าวฉงซานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนยี่นั่งลงแล้วขณะสายตาเหลือบมองไปทางหน้าจวน
“หากท่านพ่อเข้ามาด้วยเวลานี้คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่.. ท่านพ่อค่อนข้างอารมร์เสียอยู่มาก ได้โปรดท่านลุงอย่าถือสา”
หลี่ถิงถิงกล่าวขึ้นเสียงสุภาพ หวั่นใจไม่น้อยเฝ้าดูหน้าประตูเรือนอยู่ตลอดเวลา ก่อนมายังจวนอัครเสนาบดีทันได้เห็นท่านพ่อจิบชาให้ชุ่มคอไปอึกใหญ่ เกรงว่าท่านพ่อตั้งใจจะถนอมลำคอไว้เพื่อทำการบางอย่าง จึงจำใจขอให้รอหน้าเรือนอย่างเสียไม่ได้..
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจดี แต่อย่าปล่อยเขาไว้เช่นนั้นนานเลย มีสิ่งใดต้องการจะพูดก็พูดมาเถอะ”
แม้มองไม่เห็นหน้าเจ้าตัวแต่ความรู้สึกเสียววูบที่คอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังก่นด่าต่อว่าได้เจ็บแสบเพียงใด กระทั่งรับรู้ได้ผ่านทางสายลม!
“ท่านพ่อ..” คล้ายสิ้นหนทางเอาตัวรอด จ้าวเฉียนยี่กล่าวเรียกบิดาเสียงอ่อนแต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อหญิงสาวข้างกายก็โพล่งขึ้นมาเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
“ท่านพ่อสามี!!” หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนประสานมือไว้ด้านหน้า ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจอีกสองชีวิตในห้อง..
พ่อสามี.. ทั้งจ้าวเฉียนยี่และจ้าวฉงซานชะงัก ทวนคำนางอีกครั้ง พ่อสามีงั้นหรือ.. แล้วนั่นทำไมนางถึงยืนแล้วประสานมือไว้เช่นนั้นเล่า?
“ข้าหลี่ถิงถิงบุตรสาวเจ้าเมืองหลี่ วันนี้จะมาขอร้องท่าน!!”
เสียงหวานดังกังวาน ทุกถ้อยคำล้วนชัดเจนและหนักแน่นสร้างความฮึกเหิมราวกับกล่าวปลุกระดมในกองทัพ! ทำเอาจ้าวฉงซานถึงกับต้องลุกขึ้นยืนรับคำขอร้องของนางด้วยความลืมตัว
ต่างจากจ้าวเฉียนยี่ที่ตกตะลึง สลับมองบิดาของตัวเองกับหลี่ถิงถิงไปมา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วภายในหนึ่งลมหายใจ ชายหนุ่มเพียงได้ยินเพียงเสียงของสตรีข้างกายกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หูจะอื้อไป
“ได้โปรดยกเขาให้ข้าเถิด ข้ารวยมากพร้อมเลี้ยงดูสามีชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
“!”
“!”
ในตำราจากสหายได้กล่าวไว้ว่า จงเดินหน้าให้ถึงที่สุด ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรหากได้พยายามแล้วจะไม่เสียใจภายหลัง หลี่ถิงถิงยึดมั่นคำกล่าวนั้นมาโดยตลอด แต่นางอาจกำลังเข้าใจผิดไปบางอย่าง.. เพราะนางไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่นางทำลงไปมันเกินกว่าคำว่าสุดไปไกลแล้ว..
ครั้นหญิงสาวไม่ได้ตะหงิดใจ ใบหน้างดงามยิ้มกว้างจนถึงใบหูเมื่อบทสรุปในวันนี้คือการได้เข้าพิธีแต่งในสองวันข้างหน้า รวดเร็วทันใจนางดีนัก เสียงหวานเค้นหัวเราะในลำคอ หึ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจรอดพ้นมือนางได้อยู่ดี เอาสิ จะหนีรอดไปไหนได้ นางเองก็ทุ่มเทถึงเพียงนี้แล้วหากยังไม่ได้ใจมาครองอีกล่ะก็ …จ้าวเฉียนยี่ผู้นั้นก็คงโง่เกินคน!