บทที่ 1 เข้าทางพ่อตาก็สิ้นเรื่อง

3588 คำ
เมื่อสี่ปีก่อน หลี่ถิงถิงในวัยยี่สิบปี พิธีปักปิ่นวนมาถึงรอบที่สองและเพิ่งผ่านพ้นไปได้เพียงสองวัน ครั้นอยากให้หลี่ถิงถิงตบแต่งออกเรือน ด้วยกลัวเสียงครหาทำให้บุตรสาวต้องอับอาย วันนี้หลี่โจวฝางจึงตั้งใจมาพูดคุยกับบุตรสาวให้รู้เรื่อง ถึงแม้ว่าการส่งนางออกเรือนจะทำให้หัวอกผู้เป็นพ่อเสียใจอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็วางใจหากส่งบุตรสาวออกเรือนกับบุรุษที่เชื่อถือได้ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีด้วยตัวเขาเอง หลังจากทำงานหนักในการคัดเลือกบุตรเขยเข้าจวนสกุลหลี่ วันนี้หลี่โจวฝางใบหน้าแจ่มใสหลังได้รับสมุดรายชื่อเหล่าบุรุษผู้เพียบพร้อมและรูปงามเพื่อมอบแก่บุตรสาว แม้จะเป็นสมุดเล่มบางที่มีรายชื่ออยู่เพียงไม่กี่คน เนื่องจากหลักเกณฑ์สุดโต่งที่อีกนิดก็คงต้องเป็นบุรุษระดับแม่ทัพใหญ่ หรือ องค์รัชทายาทแล้วกระมังถึงจะผ่านเกณฑ์ในสายตาหลี่โจวฝางไปได้ “ถิงเอ๋อร์ล่ะ” หลี่โจวฝางหันไปพูดกับภรรยาผู้งดงาม หยวนเหย่า ฮูหยินวางถ้วยชาลงบนถาดรอง ผินหน้ามองผู้เป็นสามี ได้เห็นสีหน้าดีใจเป็นอย่างมากก็พอเดาได้ว่าผู้เป็นสามีนางกำลังดีอกดีใจเรื่องอะไร “ออกไปจวนอัครเสนาบดีแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” “ไปอีกแล้วรึ! ให้ตายสิ นางไปอยู่จวนสกุลจ้าวมากเสียกว่าอยู่เรือนตัวเองเสียอีก เป็นสตรียังไม่ออกเรือนกลับเที่ยวเล่นจนมืดค่ำ ข้าคงละเลยนางมากเกินไปใช่หรือไม่ ไม่ตักเตือนสักครั้งเห็นทีคงไม่ได้แล้ว” หลี่โจวฝางทำท่าขึงขัง ไม่รู้ว่าที่จวนอัครเสนาบดีจ้าวมีอะไรดีนักหนา บุตรสาวถึงเทียวไปเทียวมาตลอดสี่ปีนี้ หากไม่ไปเที่ยวเล่นอยู่จวนสกุลจ้าว ก็ชักชวนจ้าวเฉียนยี่บุตรชายคนรองมาขอคำปรึกษาตำราที่เรือน แต่.. บุตรสาวของเขาสนใจพวกตำราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นวัน ๆ ร้องขอแต่จับดาบขี่ม้า หรือเพราะบุรุษหน้าขาวผู้นั้นทำให้ถิงเอ๋อร์ของเขาไม่ยอมตบแต่งออกเรือนจนกลายเป็นที่นินทาของชาวบ้านกันแน่ “ข้าให้คนไปแจ้งแก่นางแล้วว่าวันนี้ท่านพักงานอยู่เรือน หากนางได้รับข่าวต้องรีบกลับมาโดยเร็วแน่ ท่านก็รอหน่อยเถอะ อย่าใจร้อนนักเลย” ทางด้านหยวนเหย่า เสียงหวานกล่าวตอบพลางหัวเราะเล็กน้อย ขณะยกมือรินชาร้อนใส่ถ้วยยื่นให้แก่สามี หลี่โจวฝางรับถ้วยชาจากมือภรรยาขึ้นมาจิบทั้งที่สีหน้ายังไม่หายขุ่นเคือง ยิ่งเรียกร้อยยิ้มน้อย ๆ จากหยวนเหย่าได้อีกครึ่งหนึ่ง รู้เป็นอย่างดีว่าหากถิงเอ๋อร์กลับมา หน้าตาบึ้งตึงยามนี้คงเปลี่ยนเป็นดีใจจนหน้าชื่นเบิกบานเป็นแน่ ด้วยหลี่โจวฝางเอ็นดูบุตรสาวดั่งแก้วตาดวงใจ มีหรือจะกล้าตำหนิอะไรนาง เพียงบุตรสาวออดอ้อนเล็กน้อยก็คงตามใจเช่นเดิมเสียมากกว่า หยวนเหย่าคิด “จริงสิ ท่านเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านจ้าวฉงซานนานแล้ว วันนี้มีเวลาว่างไม่ไปเยี่ยมเขาบ้างหรือเจ้าคะ” “บุตรสาวเราไปเยี่ยมแทนข้าทุกวันแล้ว ข้าคงไม่ต้องลำบากไปเองหรอก แต่ก่อนติดพี่ชายทั้งสองแจ ตอนนี้ไปติดบุตรสาวบ้านอื่นเสียแล้ว หรือแท้จริงติดบุตรชายบ้านอื่นกันแน่..” หลี่โจวฝางพูดไปก็ใจหายไป ทั้งที่ตัวเองกำลังถือสมุดรายชื่อบุตรเขยในมืออยู่แท้ ๆ! หยวนเหย่าหัวเราะให้กับคนที่กำลังน้อยใจที่ไม่พบหน้าบุตรสาว “หากท่านไปจะไม่เป็นการดีหรือ หากได้เห็นกับตาว่านางอยู่เที่ยวเล่นเป็นเช่นไร ท่านจะได้วางใจ อีกอย่างได้แวะเยี่ยมสหายเก่า จะได้ฝากฝังถิงเอ๋อร์ด้วยอีกแรง” “..อืม” หลี่โจวฝางหยุดคิดก่อนจะรีบส่ายหน้า เพราะตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่านั่นคือว่าที่บุตรเขยต่างหาก! จ้าวเฉียนยี่ผู้นั้นก็พอมีดี ฉลาดทั้งยังรูปงาม น่าเสียดายที่เกณฑ์บุตรเขยสกุลจ้าวต้องกล้าแกร่ง หนักแน่นดั่งหินผา มีมาดสูงศักดิ์ถึงจะเหมาะสม จ้าวเฉียนยี่เพียงฉลาดรูปงาม แต่ดูเชื่องช้า นิ่มนวล ไร้เรี่ยวแรงเหมือนสตรีคงดูแลบุตรสาวไม่ได้เป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นหลี่โจวฝางจึงเปิดสมุดรายชื่อขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเขาตรวจดูรายชื่อในสมุดมาแล้ว และชื่อที่ถูกจดไว้ในลำดับแรกคุ้นตาเขาอย่างไรชอบกล “เสี่ยวเหย่า สหายของเจ้าที่เมืองฝูเจี้ยน บุตรชายคนโตของเขา เว่ยเมิ่งหรู่ ใช่หรือไม่” “เว่ยเมิ่งหรู่ น่าแปลกใจที่ท่านจำชื่อบุตรชายครอบครัวอื่นได้” หยวนเหย่าขมวดคิ้ว เพราะปกติสามีไม่ใคร่จดจำผู้ใดนอกจากบุตรสาวและบุตรชายตัวเอง ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าค่ะ.. บุตรชายคนโตสกุลเว่ย ได้ข่าวว่าเขาได้เลื่อนขั้นเป็นตูจวินแล้ว ถึงตระกูลเว่ยจะเป็นตระกูลพ่อค้า แต่บุตรชายคนโตกลับมากความสามารถด้านการรบ ไม่แปลกใจเลยที่เขาเลื่อนขั้นได้ไว ช้ากว่าตงอี้ไปเพียงปีเดียว” “หึ บุตรชายคนโตเรามีความสามารถ ตงอี้เป็นตัวอย่างที่ดี จิงเทียนมักจะทำตามพี่ใหญ่ของตัวเองทุกอย่าง ตอนนี้ทั้งคู่ตัวสูงใหญ่ ไหล่กว้างดูกล้าแกร่งสมดั่งบุรุษชาญศึก บุรุษแบบนี้แหละที่จะปกป้องถิงเอ๋อร์ของเราได้” หลี่โจวฝางกล่าวขณะลูบเคราของตัวเองอย่างลืมตัวเมื่อเขากำลังพึงพอใจอะไรบางอย่าง ผู้เป็นภรรยาเห็นดังนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาถึงความไม่สมเหตุสมผลที่หลี่โจวฝางถามถึงบุตรชายคนโตของสหายสนิท ทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน “..ท่านพี่ คงไม่ใช่ว่าท่านคิดส่งถิงเอ๋อร์ตบแต่งเข้าสกุลเว่ยหรอกนะเจ้าคะ” “อะแฮ่ม.. บุรุษที่ดูแลบุตรสาวของเราได้ก็ต้องเหมือนพี่ใหญ่และพี่รองของถิงเอ๋อร์ย่อมดีที่สุด” สายตาจับผิดของฮูหยินทำเอาหลี่โจวฝางเลิ่กลั่กต้องกระแอมไอกลบเกลื่อน หยวนเหย่าลอบถอนหายใจ ความคิดของสามีใยผู้เป็นภรรยาเช่นนางจะไม่ล่วงรู้ แน่นอนว่าการส่งบุตรสาวไปไกลถึงเมืองอื่นคงทำให้ชายผู้นี้แห้งเหี่ยวกินข้าวไม่ได้ราวกับตรอมใจ “ที่เมืองหลวงไม่มีคุณชายตระกูลอื่นที่เข้าตาแล้วงั้นหรือ” หลี่โจวฝางชะงัก สีหน้าหนักใจจนกลายเป็นเครียด นำมือขึ้นมาประสานระหว่างคิ้วและนวดคลึงมันเบา ๆ “...ก็เพราะว่าไม่มีหน่ะสิ ข้าถึงจำใจเลือกเว่ยเมิ่งหรู่ อย่างน้อยเขาก็เป็นบุตรชายสหายของเจ้า” “จริงอยู่ที่ถิงเอ๋อร์ก็พอรู้จักเว่ยเมิ่งหรู่อยู่บ้าง แต่ถ้าหากนางไม่ยินยอมเล่าท่านพี่จะทำเช่นไร” หน้าของสามีเคร่งเครียดยิ่งกว่าเก่า รู้เท่าทันความคิดภรรยาว่าต้องการสื่อถึงเรื่องใด แต่เขาไม่มีทางยินยอม! “บุรุษหน้าขาว นุ่มนวลราวกับสตรีจะดูแลบุตรสาวของข้าได้เยี่ยงไร! พบเจอโจรป่าโจรภูเขาคงวิ่งแตกตื่นไปก่อนถิงเอ๋อร์เป็นแน่ ไม่แน่ถิงเอ๋อร์อาจต้องเป็นคนแบกเขาขึ้นบ่าพาหนีโจรก็เป็นได้!” “ท่านก็กล่าวเกินไป หากลูกยังคงดึงดันไม่แต่งเล่า” “ข้าก็จะบังคับนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด!” “หากถิงเอ๋อร์ร้องไห้เพราะท่านเล่า” “...นางไม่ใช่เด็กขี้แยเสียหน่อย เสี่ยวเหย่า” หลี่โจวฝางตั้งท่าเคร่งขรึม พยายามไม่สนใจคำพูดของภรรยา ทว่าภายในจิตใจกลับหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย ทางด้านหยวนเหย่าก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม เอาเถอะ นางจะรอดูผลลัพธ์แล้วกันว่าจะเป็นบิดาหรือบุตรสาวกันแน่ที่เป็นผู้ชนะในตอนท้าย และมันก็ไม่ผิดจากที่หยวนเหย่าคาดการณ์ เมื่อบุตรสาวกลับมาถึงเรือน ใบหน้าบึ้งตึงราวกับกินของผิดสำแดงพลันยิ้มระรื่นในทันทีทันใด ได้ยินเสียงฝีเท้าบุตรสาวตรงมายังเรือน เจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้นปรี่ไปทางประตู อ้าแขนกว้างตั้งแต่เดินก้าวแรกไปทางบุตรสาวแล้ว! “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านแม่เจ้าคะ” เสียงหวานคล้ายออดอ้อนเอื้อนยาวระหว่างโผเข้าสวมกอดผู้เป็นบิดาก่อนจะเอียงคอออกมายิ้มหวานส่งให้แก่มารดาด้านหลัง หลี่โจวฝางเองก็สวมกอดบุตรสาวคนเล็กเสียแน่นประหนึ่งว่าไม่ได้พบกันมานานแรมปีทั้งที่เพิ่งทานข้าวร่วมกันเมื่อสามวันก่อน.. “ถิงเอ๋อร์ออกไปข้างนอกมาสนุกหรือไม่ เจ้าไม่รู้หรือว่าบิดาของเจ้าจะกลับจวน” “รู้เจ้าค่ะท่านพ่อ เมื่อได้ข่าวข้าก็เร่งรีบมาหาท่านพ่อทันทีเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดถึงท่านพ่อมาก” ใบหน้าเล็กอมลมจนแก้มป่อง เม้มริมฝีปากสีหน้าออดอ้อนเสียเต็มที่ ทางด้านหลี่โจวฝางได้ฟังเสียงเล็กเสียงน้อยของบุตรสาวพลอยฉีกยิ้มจนตาปิด “ฮ่า ๆ ถิงเอ๋อร์ของเราช่างพูดนัก มาถึงก็อ้อนข้าเช่นนี้ต้องการสิ่งใดกัน” หลี่โจวฝางกล่าวพลางหัวเราะชอบใจ โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากบุตรสาวคนเล็ก หลี่ถิงถิงคิดมาอย่างดีแล้ว ตราบใดที่นางยังมีท่านพ่อผู้เป็นสหายกับท่านลุงจ้าวฉงซาน นางก็ยังมีโอกาส! ในเมื่อเข้าหาโดยตรงไม่ได้ ก็เข้าทางอ้อมเสียเลยสิ! ..หึ ทางพ่อตาอย่างไรเล่า! “ท่านพ่อ.. ท่านอย่ายืนนานเลยเดี๋ยวจะเมื่อยเอาได้ มาเถอะ มานั่งลงก่อน” หลี่ถิงถิงดึงรั้งบิดาให้เดินตามมา ซึ่งหลี่โจงฝางก็ยอมตามแรงบุตรสาวมาอย่างว่าง่าย ตัวหย่อนลงนั่งตามที่นางต้องการ ขณะที่หลี่ถิงถิงหันไปรินน้ำชาให้แก่บิดา ท่ามกลางสายตาปลื้มใจอย่างยิ่งในตัวบุตรสาว ถิงเอ๋อร์ของพวกเขาน่าเอ็นดูเสียขนาดนี้จะให้ส่งเข้าจวนบุรุษ ด้านหยวนเหย่าเห็นสามีกลายเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ คนที่กล่าวอย่างหนักแน่นว่าจะส่งนางออกจวนไปยังเมืองฝูเจี้ยนหายไปไหนเสียแล้ว! “ถิงเอ๋อร์ ไปเยี่ยมจวนสกุลจ้าว ได้พบท่านจ้าวฉงซานและฮูหยินจ้าวบ้างหรือไม่ หากพบพวกเขาฝากคำยินดีแก่พวกเขาด้วย ที่บุตรสาวและบุตรชายทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย และจ้าวเฉียนยี่สอบจิ้นซื่อ ได้เป็นปั่งเหยียน” หยวนเหย่าฝากคำยินดีผ่านบุตรสาว หลี่ถิงถิงที่กำลังเครียดอย่างหนักว่าจะเริ่มต้นหว่านล้อมท่านพ่อของนางเรื่องแต่งงานอย่างไร ได้ท่านแม่เป็นคนเกริ่นนำก็ลอบข่มริมฝีปากไม่ให้หลุดยิ้มออกมา กล่าวชมเชยมารดาในใจ เยี่ยมมากท่านแม่! แล้วจึงจงใจปั้นหน้าตื่นตาตื่นใจจนตาโต รีบสวมเข้าบทบาทกองอวยจ้าวเฉียนยี่ในทันทีทันใด! “ลูกไม่ลืมฝากคำยินดีของท่านแม่ให้ท่านลุงและท่านป้าเจ้าค่ะ ส่วนคุณหนูใหญ่จ้าวนั้นสบายดีไม่ต้องห่วงนาง จะว่าไปแล้วคุณชายรองจ้าวสอบได้เป็นปั่งเหยียนทั้งที่อายุยังน้อย เก่งมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อท่านแม่ ลูกได้คุณชายรองจ้าวแนะนำตำราและบทกลอนมาจนชือฝูยังกล่าวชมข้า ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ จ้าวเฉียนยี่เก่งที่สุดเลยว่าหรือไม่!” ว่าไม่พอมือก็ยังบีบนวดปรนนิบัติบิดาอย่างเอาใจ แต่กลับกันหลี่โจวฝางได้ยินชื่อบุรุษหน้าขาวร่างกายอ่อนปวกเปียกผู้นั้นบ่อยขึ้น คิ้วพลันกระตุกถี่ ใบหน้ามีร่องรอยกาลเวลาคดเกร็งคล้ายบึ้งตึง ทุกทีที่มีโอกาสถิงเอ๋อร์ก็ไม่ลืมที่จะบอกคุณงามความดีของชายผู้นี้กรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวี่ทุกวัน! “เก่งหรือก็เก่งอยู่ แต่ถิงเอ๋อร์เจ้าเองก็เคยชื่นชอบบุรุษห้าวหาญชาญศึกดั่งพี่ชายทั้งสองของเจ้า ก็ย่อมรู้ดีว่าพวกขุนนางเหล่านั้นมีดีก็แค่ฝีปากและหัวคิดขัดผลประโยชน์ต่ออีกฝ่ายเท่านั้น บุรุษกล้าแกร่งมีภูมิฐานย่อมดีกว่าบุรุษใช้เพียงแต่ฝีปากเป็นไหน ๆ” “..ท่านพ่อก็เป็นขุนนางไม่ใช่หรือเจ้าคะ” “!” หลี่โจวฝางผงะเกือบตกเก้าอี้ เหลือบมองดวงตาใสของบุตรสาวที่เพิ่งพูดแย้งขึ้นมาตัดอารมณ์ลงไปอย่างไม่ไยดี.. “นะ..แน่ล่ะว่าข้าไม่ใช่อย่างพวกเขา” มือเอื้อมยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแก้ขัดอยู่หลายอึก ระหว่างที่หยวนเหย่าผู้เป็นภรรยาป้องปากหัวเราะเสียยกใหญ่ เขาวางถ้วยชาลงบนถาดรองก่อนจะปั้นหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาใหม่อีกครั้งและกล่าวเสียงนิ่งว่า “คู่ครองที่ดีต้องเป็นบุรุษกล้าหาญปกป้องเจ้าได้ทุกทาง บุรุษขุนนางไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด” “แต่ข้าชื่นชอบบุรุษรูปโฉมงดงาม น่าเอ็นดู ที่สำคัญต้องเชื่อง ว่านอนสอนง่าย ไม่ใช่บุรุษโผงผาง ท่าทีเย็นชาราวกับอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ไม่พอยังมีใบหน้าหล่อแต่ดูดุดันโหดเหี้ยมอีก ข้าไม่ชอบเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านพ่ออยากเห็นข้าไม่มีความสุขเพราะอยู่กับคนที่ไม่ได้รักหรือเจ้าคะ!” หลี่ถิงถิงยืดตัวขึ้นพลางกอดอก ใบหน้างามอมลมจนแก้มป่องอาการเง้างอน ทำเอาท่านพ่อของนางที่เบ่งข่มขวัญบุตรสาวในตอนแรกรีบเปลี่ยนท่าทีเนื่องจากกลัวบุตรสาวไม่พอใจ “โถ่ ถิงเอ๋อร์ ข้าเองไม่เคยคิดอยากส่งเจ้าออกเรือนให้ตระกูลใด แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องงานแต่งของเจ้าได้เช่นกัน เจ้าเองก็เข้าพิธีปักปิ่นครั้งที่สองมาแล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวสายตาว่าร้ายและคำตินินทาต่อเจ้า ข้าก็คงไม่ต้องลำบากใจถึงตอนนี้ ตัวข้าเองมีบุตรสาวแสนงดงามอยู่เพียงผู้เดียว จึงอยากเลือกหาบุรุษที่เหมาะสมที่สุดแก่เจ้าให้” หลี่โจวฝางกล่าวเสียงอ่อนลงหลายส่วน เมื่อได้จังหวะอันดี หญิงสาวไม่รอช้าในการเริ่มแผนการถัดไป นางหันหลังให้กับบิดาพลางบังคับให้ไหล่เล็กของตัวเองสั่นเล็กน้อย และไม่ลืมที่จะเบิกตากว้าง ๆ ให้ลมเข้าตาจนตาเจ็บร้าว น้ำตาตามสั่งค่อย ๆ เอ่อคลอบนดวงตาคู่สวย “ฮึก..ท่านพ่อจะบังคับข้าแต่งออกเรือนใครหรือเจ้าคะ” “ถิงเอ๋อร์..” เสียงสะอื้นแผ่วเบากับไหล่เล็กสั่นไหวทำเอาหลี่โจวฝางหน้าถอดสี ตั้งแต่เล็กจนนางเติบโต เขาเคยเห็นน้ำตาของบุตรสาวนับครั้งได้ เมื่อหมดหนทางเขาจึงหันไปทางภรรยาราวกับต้องการความช่วยเหลือ แต่กลับโดนภรรยาเมินหนีด้วยการยกชาขึ้นจิบพร้อมกับหยิบขนมทานประหนึ่งว่าฮูหยินหลี่กำลังเพลิดเพลินกับบทการแสดงครั้งนี้อยู่! ให้ตายเถอะ! สุดท้ายไม่มีคนช่วย ผู้ที่มักจะใจอ่อนต่อน้ำตาบุตรสาวไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป ในที่สุดหลี่โจวฝางจึงกัดฟันพูดคำที่หลี่ถิงถิงกำลังรออยู่ก่อนแล้วออกมา “ถิงเอ๋อร์หรือเจ้ามีบุรุษที่พึงพอใจอยู่แล้ว..” กระนั้นในใจก็ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นบุรุษหน้าขาว จ้าวเฉียนยี่ผู้นั้นเลย ได้พบครั้งสุดท้ายคือก่อนที่เขาจะตามสตรีทั้งสองจ้าวเสวี่ยซินและหลานอี้หนานไปเมืองตงฟาง รูปร่างชายหนุ่มนั้นสูงโปร่งแต่ติดที่ผอมแห้งคล้ายคนอดยาก หากมีโอกาสสักวันเขาต้องถามจ้าวฉงซานให้ได้ว่า เจ้าเลี้ยงบุตรชายด้วยน้ำแกงอย่างเดียวหรืออย่างไร! ส่วนหลี่ถิงถิงนั้นก็ยังคงแสร้งเสียอกเสียใจ มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาเชื่องช้า ค่อย ๆ หันหน้ากลับมาเผยแววตาเศร้าหมอง ทั้งที่ภายในใจกำลังแสยะยิ้มดีใจจนตัวสั่น หึหึ ไม่มีทางที่ท่านพ่อจะชนะนางได้หรอก นางเว้นช่วงตอบไว้ราวหนึ่งลมหายใจ แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าท้องพลางเอ่ยตอบบิดาเสียงสั่น ๆ ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้มันเป็นไปอย่างธรรมชาติที่สุด! “ขะ..ข้ามีเจ้าค่ะ ข้าก็พูดถึงเขาให้ท่านฟังอยู่ทุกวัน ผู้ที่ให้คำแนะนำตำราแก่ข้า จ้าวเฉียนยี่อย่างไรเจ้าคะท่านพ่อ” “!!” “เขาถูกใจข้าที่สุดแล้ว ท่านพ่อ..ข้าอยากแต่งให้กับเขาเจ้าค่ะ” ครั้นไม่อาจขัดใจบุตรสาว แต่หลี่โจวฝางไม่ได้มีอำนาจถึงขั้นสามารถบังคับการแต่งงานระหว่างหลี่ถิงถิงและจ้าวเฉียนยี่ได้ ทางนั้นเป็นถึงอัครเสบาดี อยู่ใต้เพียงคนคนเดียว เหนือคนนับหมื่น ตัวเขาเป็นผู้น้อยตำแหน่งเจ้าเมือง ไหนเลยจะกล้าอาจหาญไปขอบุตรชายท่านโหว ถึงจะเป็นสหายสนิทกันเพียงใด ก็ไม่สมควร “..แต่ถิงเอ๋อร์ ถึงข้าจะส่งแม่สื่อไปทางจวนสกุลจ้าวแล้ว แต่หากตัวจ้าวเฉียนยี่เองไม่ต้องการ ข้าก็ไม่อาจไปบังคับเขาได้ เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่” หลี่ถิงถิงพลันกระตุกยิ้มร้ายกาจ น้ำตาแห้งเหือดไปตอนไหนหลี่โจวฝางก็ไม่อาจทราบ ทว่าบุตรสาวยามนี้ช่างแตกต่างจากคำว่าเพิ่งเสียน้ำตาไปหมาด ๆ ลิบลับ “รู้เจ้าค่ะ ข้าถึงเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้ท่านพ่อแล้ว” นางกล่าวขึ้นพลางปรบมือสองสามที จื่อลั่วก็เดินเข้ามาจากทางหน้าประตูเรือนพร้อมกับกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากในมือ ทั้งหลี่โจวฝางและหยวนเหย่าพากันชะเง้อคอมอง คิดไม่ตกว่าคราวนี้บุตรสาวจะพาเรื่องปวดหัวใดมาอีก! แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้หลี่โจวฝางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่บุตรสาวไปแล้ว! “ในเมื่อบังคับไม่ได้ ท่านพ่อก็สร้างมันขึ้นมาเองก็สิ้นเรื่อง!” ดวงหน้าหวานละมุนฉุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งยื่นสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้มอบให้แก่บิดา “ทะ..ทำอย่างไร” หลี่โจวฝางรับสิ่งนั้นมา และต้องตกใจเมื่อเห็นว่าในมือมันคือสุราหมัก เขาเงยหน้าขึ้นสลับมองมันกับหน้าบุตรสาว หลี่ถิงถิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “เรื่องนั้น ข้าเตรียมการไว้ให้ท่านพ่อแล้ว จื่อลั่ว..” หลี่โจวฝางหันขวับไปทางประตูอีกครั้ง ครั้งนี้จื่อลั่วเดินเข้ามาพร้อมกับม้วนกระดาษหนาในมือ ถ้วยชาและของเกะกะบนโต๊ะถูกนำออกและแทนที่ด้วยกระดาษใหญ่จนเต็มโต๊ะ หากใครผ่านไปผ่านมาคงคิดว่าสกุลจ้าวกำลังวางกลยุทธ์ออกรบอยู่หรือไม่ ถึงกับต้องกางแผนที่ขึ้นมาเลยทีเดียว! ทว่าในกระดาษนั้นมิใช่แผนที่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ มันเต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพวาดประกอบทำความเข้าใจที่หลี่โจวฝางมองแล้วคล้ายไม่เข้าใจเท่าไหร่ เนื่องจากภาพที่กางออกมานั้นขยุกขยิกคล้ายกับว่าคนวาดเขียนมันขณะเร่งรีบ และใช่.. หลี่ถิงถิงเพิ่งจะทำเสร็จระหว่างทางมาหาท่านพ่อนางเมื่อสักครู่นี้เอง.. “เอาล่ะท่านพ่อ สิ่งที่ท่านควรสนใจไม่ใช่ภาพวาดอันน่าเกลียดคล้ายยันต์กันภัยของข้า แต่เป็นวิธีการที่ข้าเตรียมมาเพื่อท่านต่างหากเจ้าคะ!” หญิงสาวร้อนรนกล่าวขึ้นมาด้วยความอับอาย ฮึ่ม! “..อะ..เอ่อ ข้าขอฟังดูหน่อยแล้วกัน” “อะแฮ่ม แผนการครั้งนี้มันช่างง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพียงท่านพ่อจดจำไว้ว่าอย่างหนึ่งว่า เมื่อคนเราไร้สติเมื่อนั้นจะยิ่งหว่านล้อมได้ง่าย” ยามนี้บุตรสาวยิ้มได้ดูชั่วร้ายเหลือทนในสายตาหลี่โจวฝาง “...” “สิ่งที่ท่านพ่อต้องทำก็แค่ไปเยี่ยมท่านลุง และท้าดวลสุราเท่านั้นเองเจ้าค่ะ.. ที่สำคัญท่านต้องชนะเท่านั้น อ้อไม่ต้องห่วงข้ารู้ว่าท่านพ่อต้องแพ้ให้แก่ท่านลุงแน่ ข้าเลยเตรียมส่วนสุราที่ออกฤทธิ์ไม่ต่างจากน้ำผลไม้ไว้ให้ท่านแล้ว สู้ ๆ นะเจ้าคะ!” พร้อมกับยื่นสุราหมักอีกลังหนึ่งมาให้ ไม่พอยังยักไหล่ราวกับมันเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย.. โดยไม่ทันเห็นใบหน้าเหงื่อตกของบิดาเลยแม้แต่น้อย “...” จะให้เขาไปท้าดวลสุรากับคนที่ดื่มสุราได้ถึงสามไหหน่ะหรือ.. ตอนนี้หลี่โจวฝางได้แต่คิดว่า หรือแท้จริงแล้วเขาพลาดตั้งแต่หยุดพักงานวันนี้แล้วกัน..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม