พอพนักงานรับออเดอร์เสร็จ พวกเราก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ฉันแอบสงสัยจังว่าคนรุ่นเก่าๆ เขาทำยังไงไม่ให้เกร็งในสถานการณ์แบบนี้ แค่หายใจฉันยังต้องพยายามให้ถูกจังหวะ
ใบหน้าขาวตอนที่ไม่พูดเรื่องเพ้อเจ้อดูดีมาก นัยน์ตาสีอ่อนสะท้อนกับแสงไฟในตอนทุ่มนิดๆ ดูมีเสน่ห์จนฉันใจเต้น
ไม่น่าเล๊ยยยย ไม่น่าเอาไอ้แบบฟอร์มบ้าบอนี่ขึ้นมาเลย ขัดฟีลสุดๆ
“เอ่อ นี่...” ฉันพยายามหาเรื่องชวนคุยเพื่อไม่ให้ระหว่างเราเงียบจนเกินไป และไม่อยากจะให้เขารู้สึกอึดอัดถ้าเรามาเดทกันอีก... และถ้าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ฉันก็อยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดีนะ “จุนคิดยังไงกับเรื่องคลุมถุงชนเหรอ?”
“ก็เหมือนตอนที่คนเราเลือกหมาพันธุ์ดีๆ สองตัวมาผสมกันน่ะครับ เลือกพันธุ์ที่ดีที่สุด ตัวที่แข็งแรงที่สุดจะได้ลูกหมาที่แข็งแรงและมีมูลค่าครับ”
เอิ่ม... ฉันเกลียดเขาจัง หน้าหล่อๆ นี่ขอซื้อต่อแล้วเอาไปแลกกับคนที่นิสัยปกติได้มั้ยเนี่ย!
จุนว่าด้วยสีหน้าเรียบก่อนจะเลื่อนสายตามามองฉันเล็กน้อยแล้วหัวเราะ
“ล้อเล่น” เขาค่อยๆ หยุดขำ “แล้วเจนล่ะคิดยังไงทำไมถึงยอมแต่ง?”
“บ้า ใครบอกว่าจะแต่ง เรายังไม่ได้รับปากสักหน่อยนะ” ฉันเริ่มเปลี่ยนสรรพนามให้ดูกันเองมากขึ้น พอเขาไม่ไร้สาระและคุยธรรมดาก็ดูเป็นคนปกติดีนะ...
“อ้าวเหรอครับ ก็เห็นแม่บอกว่าเจนชอบ”
“ฮะ ชอบอะไร?” ฉันลนลานนิดๆ นึกถึงหน้าแม่และความปากพล่อยของนางก็ไม่ไว้วางใจเท่าไหร่
“ก็ชอบผมไงครับ” คนตัวสูงว่าแล้วก็เอียงคอเหมือนกำลังจับผิดฉันอยู่ มองอยู่ครู่นึงเขาก็ยิ้มแปลกๆ จนฉันกลืนน้ำลาย ไอ้การที่มีผู้ชายหล่อมานั่งจ้องนี่มันไม่ดีต่อใจจริงๆ นะ
โดยเฉพาะผู้ชายหล่อที่ฉลาดแถมรู้ทันฉันเนี่ย!!
“เอ่อ แม่แกก็พูดไปเรื่อยนะ เราไม่รู้หรอกว่าแม่พูดอะไรแต่ฟังแล้วต้องหารร้อยนะจุน” ฉันพยายามจะทำให้เขายังมองฉันเป็นกุลสตรีอยู่ ไม่รู้แม่ใส่ไข่ฉันไปกี่ฟอง เขาถึงมองฉันแบบนั้น จุนพยักหน้ารับเล็กน้อย
“แต่เจนต้องรีบตัดสินใจนะครับ เพราะเจนก็คงไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
“คะ?” ฉันงงกับเขานิดๆ เขาพูดเหมือนฉันกำลังจะตายงั้นแน่ะ ฉันเพิ่งยี่สิบสอง เรียนจบหมาดๆ เองนะ ฉันยังมีเวลาอีกมากที่จะกรีดกรายมองผู้ชายหล่อๆ จุนถอนหายใจแล้วมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเหนื่อยที่จะอธิบาย
“ผมหมายถึงร่างกายของผู้หญิงในวัยประมาณเจนเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์ที่สุดน่ะครับ”
“...”
พูดแบบนี้เขาจะสื่ออะไรรึเปล่าฟะ ตั้งแต่คุยมาอีตานี่ดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องลูกและทายาทมากนะ แต่อยากจะให้เขาเจียดความคิดสักนิดนึงมาให้ความสำคัญกับเรื่องปัจจุบันก่อน ปัดโธ่!
ฉันทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะยิ้มรับดี หรือจะด่าเขาดี อยากจะด่าแต่พอเห็นหน้าหล่อๆ และทำสายตาจริงจังแล้วฉันด่าไม่ลง
“อย่างนั้นเหรอคะ” ฉันยิ้มแหย นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ ยังดีที่มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหารช่วยผ่อนความอึดอัดและหาเรื่องอย่างอื่นให้ฉันได้คุยบ้าง นี่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเขากำลังหาเมียหรือหาแม่พันธุ์ให้ลูกเขากันแน่
เฮ้อ เสียดายจัง หน้าก็หล่อ ลองเจียระไนนิสัยหน่อย อาจจะไปกันได้...
“รับน้ำอะไรดีคะ?” พนักงานวางจานอาหารสองสามอย่างที่ฉันสั่ง ก่อนจะก้มโค้งลงมองจุนพร้อมรอยยิ้มหวานจนออกหน้าออกตา จนฉันต้องกระแอมดังแฮ่ม
“เจน เอาน้ำอะไรครับ?” เขาหันมาถามความเห็นฉันตามมารยาท และนี่แหละคือจังหวะที่ฉันรอมานานที่จะได้พรีเซ้นส์ความเป็นนางเอกตั้งแต่หัวจรดเท้ายันสันดานให้จุนได้เห็น
“ที่จริงได้ยินว่าร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ แต่เจนดื่มแอลกอฮอล์ไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่จะดื่มแต่น้ำเปล่า น้ำส้มอะไรแบบนี้น่ะค่ะ” ฉันว่าพร้อมทำท่าคิดหนักเหมือนคนไม่เคยลองแอลกอฮอล์มาก่อนในชีวิต แม้จะเคยกลายเป็นคนวิปริตเพราะเหล้าสี่สิบดีกรีมาแล้วก็ตาม “อืม เอาไงดีนะ จริงๆ ก็อยากลองอยู่เหมือนกัน เราลองสั่งมาชิมกันสักหน่อยดีมั้ย?”
“ไวน์ก็ได้ครับ”
“เอาไวน์แบบไหนดีคะ ร้านเรามีไวน์หลายเกรด” พนักงานรีบหยิบเมนูขึ้นมาทันที
“เอาที่ทานง่าย ไม่บาดคออ่ะครับ”
“งั้นอันนี้ดีมั้ยคะ ไวน์องุ่นแบรนด์ JDR ปี xxxx ทานง่ายนะคะ ลูกค้าหลายคนบอกว่าอร่อย” พนักงานยิ้มหวานและส่งสายตาให้ จุนพยักหน้าเล็กน้อย
“มีคนบอกว่าอร่อยนี่ใครบอกครับ คิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ครับ และนับจากจำนวนทั้งหมดกี่คน”
เดี๋ยว จุน จุ๊นนนนนน!
ฉันชะงักไปเล็กน้อย พอๆ กับพนักงานที่ยืนเงิบไปแป๊ปนึง อีตานี่จะละเอียดไปซะทุกอย่างหรือยังไง ไม่ถามแคลอรี่อาหารที่พนักงานยกมาเสิร์ฟเลยล่ะ!
“เอ่อ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่...”
“แบรนด์นี้ไม่เคยได้ยินเลย ผลิตจากที่ไหนครับ ผ่านมาตรฐาน GMPและ HACCP รึเปล่า”
“อะ อะไรนะคะ?”
“ผมหมายถึงว่ามันปลอดภัยรึเปล่าน่ะครับ แล้วองุ่นพันธุ์อะไร ปลูกที่ไหน ใช้ยาฆ่าแมลงรึเปล่า”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ คุณลูกค้า อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะใช้ยาฆ่าแมลงนะคะ” น้องพนักงานหน้าเหวอ จากที่พยายามส่งสายตาก็เปลี่ยนเป็นก้มโค้งและทำหน้าเครียด ส่วนฉันนั่งนิ่งและพยายามส่งกำลังใจให้นางอย่างห่างๆ เริ่มเกิดความลังเลในใจและอยากกลับบ้าน
ตาบ้านี่ จะเว่อร์อะไรเบอร์นี้เนี่ย!
“คุณพนักงานคิดเองได้ยังไงครับ คุณไม่ใช่คนปลูกนะ”
จุนทำหน้าเครียดไปครู่นึง น้องพนักงานกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเว้นจังหวะไปสามนาทีแล้วหัวเราะขึ้นมา
“ผมล้อเล่นครับ อันนี้ก็ได้”
“อะ เอ่อ เหรอคะ โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวไปหยิบมาให้นะคะ” น้องพนักงานเงยหน้าขึ้นมาทำท่าเหรอหราในขณะที่คนตัวสูงหัวเราะร่าเหมือนสนุกที่ได้แหย่ชาวบ้านเล่นๆ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาแหย่ หรือเขาถามจริงเพราะตอนที่เขาทำหน้าซีเรียสนี่กดดันจนฉันหยุดหายใจไปด้วย
น้องตัวเล็กกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปอีกทาง ก่อนที่คนตัวสูงจะเลื่อนสายตากลับมาที่อาหารของพวกเรา ฉันตักข้าวให้เขาเพื่อแสดงความเป็นกุลสตรีก่อนจะหยิบช้อนส้อมมาเรียงบนจาน
“ขี้แกล้งนะเนี่ย” ฉันแซวนิดนึง
“ไม่ได้แกล้งหรอก แค่ Test ดู”
“Test?” ฉันย่นคิ้ว
“ใช่สิ นี่ถ้าน้องเค้าอยู่บริษัทผม ผมคงไล่ออก เพราะถามอะไรก็ตอบไม่ได้สักอย่าง ถ้าเราจะขายอะไรให้ใคร เราต้องมีข้อมูลสิ ไม่ใช่สักแต่ว่าขาย” เขาพูดเสียงเรียบดูไม่ได้อะไรนัก แต่ฉันดันสัมผัสได้ถึงความจริงจังของเขา
อีหรอบนี้ Perfectionist แหงๆ แค่ดูท่าจับช้อนส้อมและเสื้อที่รีดมาเนี้ยบจนคมกริบบาดคอฉันได้ ฉันก็รู้แล้ว
“จุนเป็นคนจริงจังดีนะ”
“ครับ ชีวิตมันสั้น”
มีปรัชญาในใจซะด้วย...
“แต่จริงจังไปเดี๋ยวจะเครียดเอานะ ระวังไมเกรนขึ้นหรอก”
“เป็นห่วงเหรอครับ?” คนตัวสูงหัวเราะก่อนจะหยิบช้อนกลางตักปลาใส่ในจานฉัน จุนเป็นคนที่ละเอียดกับทุกอย่าง ขนาดปลาราดพริกโง่ๆ เขายังต้องจัดการเลาะกระดูกออกก่อนและตักปลาแบบตัดเป็นชิ้นที่ระยะเท่ากันมาใส่ในจานฉันอย่างกับเป็นเชฟ
“ชีวิตคนเรามันไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้นะ”
“แต่เรื่องอาหาร ถ้าผิดพลาดก็จะตายได้นะครับ คนเราไม่ควรตั้งอยู่บนความประมาท”
เออ มันก็ใช่แหละ... แต่นายก็เกินไปนิดนึง คราวหน้าไม่ขอตัวอย่างส่งแลปก่อนแล้วค่อยกินล่ะ!
“ไหนบอกเป็นคนเงียบๆ ไง พอพูดแล้วก็พูดไม่หยุดเลยนะ” ฉันแอบดุเขานิดนึง แล้วตักกุ้งชุบแป้งทอดใส่จานให้เขาบ้าง จุนชะงักไปเล็กน้อยแล้วเลื่อนนัยน์ตาสีอ่อนมามองฉัน มองจนฉันทำตัวไม่ถูก
อะไรเนี่ย หรือว่าเขาจะซึ้งที่ฉันตักกุ้งให้... คนหล่อมองแล้วเขินนะ
“ทำไม...” เขาค่อยๆ เลื่อนสายตาลงจากหน้าฉันไปที่ช้อนและจานของเขา “เจนไม่ใช้ช้อนกลางตักล่ะครับ”
จบเลย... โอ๊ย! ถ้าไม่เห็นว่าหล่อจะขอยืมหม้อในครัวมาตีหัวเขาแล้วนะ