“…กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ปี 2484 กองทัพญี่ปุ่นเข้ามารุกรานแผ่นดินสยามผ่านทางจังหวัด สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และ สมุทรปราการ หวังจะใช้เป็นทางผ่าน แม้ในยามยุคที่ข้าวยากหมากแพงและมีแต่ห่ากระสุน แต่ก็มิอาจกีดกั้นมิตรภาพระหว่างพลทหารกล้าสองนายที่แม้แต่ความตายก็ไม่สามารถพรากพวกเขา” หญิงสาววัยห้าสิบกว่าปีว่าและมองฉันด้วยสายตาจริงจัง เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม ทุ้ม และชัดเจนเพื่อมิให้ใจความที่ต้องการจะสื่อนั้นผิดเพี้ยนไป “นายทหารสองนายถูกส่งไปรบเพื่อกอบกู้ชาติ ฝ่าฟันอันตราย ระเบิด กระสุน มีด ดาบ จนในวันที่ฝนตก อากาศหนาวเหน็บแต่ไร้ซึ่งผ้าห่ม พวกเขาก็ได้สบตากัน”
“แม่กำลังทำไรอ่ะ เล่นลิเกเหรอ จะให้เดินไปหยิบระนาดมาตีประกอบด้วยเลยมั้ย?” ฉันทำหน้าเบื่อหน่ายให้กับความเว่อร์วังอลังการของนางที่เล่นใหญ่จนต้องกลอกตา เป็นรอบที่ห้าร้อยห้าสิบสี่ครั้งหลังจากที่ฉันเกิดและนางเล่าเรื่องนี้ไม่เลิกเพื่อฝังทุกประโยคลงในสมอง นอกจากเพลงชาติและเพลงคสช. ที่ดังขึ้นทุกวันก็มีเสียงแม่ฉันนี่แหละที่หลอนหู
“ฉันก็แค่อยากจะย้ำแกว่าคำสัญญาของปู่ทวดมันสำคัญแค่ไหน”
“ละไง ในวินาทีที่หยาดเหงื่อไหลริน ปู่ท่านก็สัญญาว่าจะให้หลานแต่งงานกัน แต่หลานดันเป็นผู้หญิงทั้งคู่เลยจะให้เหลนอย่างหนูแต่งแทนว่างั้น” ฉันเบ้หน้าให้กับเรื่องไร้สาระ การคลุมถุงชนมันเป็นเรื่องโบราณมากในยุคสมัยที่ 4G กำลังจะเปลี่ยนไป 5 G ผู้ชายหน้าตาดีเต็มไอจีไปหมดแบบนี้ เรื่องอะไรฉันต้องไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ด้วย
“สัญญาต้องเป็นสัญญาสิลูก เค้าว่าคำสัญญาติดตัวไปข้ามภพข้ามชาตินะ”
“ก็บอกปู่ทวดไปแต่งเองสิ ตอนสัญญาน่ะถามลูกถามหลานรึยังว่าอยากจะแต่งกับคนไม่รู้จักมั้ย? ก็ไม่รู้หรอกว่าคิดอะไรตอนไปรบ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเค้า”
“แหม แกจะแอนตี้อะไรนักเจน ยังไงแกก็ไม่มีแฟนอยู่แล้ว และก็คงจะหาไม่ได้ในชาตินี้ ลองคุยๆ คบๆ กับเหลนบ้านนั้นดูจะเป็นไร”
“ใครบอกหนูไม่มี แค่ตอนนี้เค้าติดทัวร์คอนเสริตและติดสัญญาค่ายเลยเปิดตัวหนูไม่ได้เท่านั้นเอง” ฉันว่าก่อนจะนึกถึงโอปป้าหน้าหล่อที่สูบเงินฉันไปทุกรอบที่มาทัวร์ไทย ไม่มีใครทำให้ฉันนอกใจพวกเขาได้หรอก
“แฟนมโนน่ะอยู่ได้แค่จินตนาการนะลูก แต่แฟนตัวจริงเนี่ยลูบได้จับได้แตะได้แบบสามมิติ” แม่ว่าทำเอาฉันเกือบไขว้เขว แต่คิดดูนะ ผู้ชายที่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักในยุคนี้เนี่ยจะเป็นผู้ชายประเภทไหน ถ้าไม่ใช่คนหัวอ่อนมากๆ หรือยึดติดธรรมเนียมประเพณีจนเห็นดีเห็นงามก็ต้องเป็นคนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่คิดว่าจะหาแฟนได้อยู่แล้วแหงๆ
“แม่จะพูดไรก็พูดเหอะ ยังไงหนูก็ไม่แต่งอ่ะ ไม่คบ ไม่เจอ ไม่ยุ่งอะไรด้วยทั้งนั้น นี่มันปีพุทธศักราชที่ 2561 คริสศักราช 2018 อ่ะ นีลอาร์มสตรองไปเหยียบดวงจันทร์จนจะไปดวงอาทิตย์อยู่แล้ว จะมาโบราณคลุมถุงชนอะไรอีก!”
“ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกแต่งเลยสักหน่อย ก็ลองไปเจอดูก่อน ลองไปเจอกัน คุยกันอาจจะถูกใจก็ได้”
“ไม่เอา แม่ไปเจอเองสิ นี่ถ้าแม่ไม่ได้มีผัวอยู่แล้วก็จะไล่ให้ไปแต่งเอง”
“ผัวฉันก็พ่อแกมั้ยล่ะฮะ!”
“ไม่รู้แหละ รอวิญญาณปู่ทวดกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วแต่งเองแล้วกัน” ฉันตัดบทสนทนา และยืนยันหนักแน่นจนแม่ถอนหายใจ
“แต่ฝั่งนู้นเค้าก็หน้าตาดีอยู่นา น่าจะเป็นแบบที่แกชอบเลย จะไม่ลองเจอกันดูก่อนเหรอ” แม่ยังพยายามจะล่อลวงฉันด้วยการเสนอหนังหน้าของเหลนบ้านนู้นมาให้ เฮอะ คิดว่าฉันเป็นคนชอบผู้ชายที่หน้าตาหรือไง ถึงจะหล่อแค่ไหนแต่ถ้าเป็นการบังคับฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก
“แม่ ฟังนะ หนูจะไม่...” ฉันกำลังจะปฏิเสธทว่าจู่ๆ แม่ก็เอาอะไรบางอย่างออกมาวางตรงหน้าฉันดังพรึ่บ! ฉันชะงักก่อนจะหรี่สายตามองกระดาษอะไรบางอย่างที่วางไว้บนโต๊ะ แม่เลื่อนมันอยู่ในระยะสายตาฉันดังครืด
“...จุนเค้าหน้าตาดีออก นิสัยก็ดี”
...พร้อมกับบรรยายลักษณะและสรรพคุณของเหลนบ้านนั้นให้ฉันฟัง
ละทำไม หน้าตาดีแล้วยังไง คิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนถึงจะล่อลวงลูกสาวตัวเองด้วยความหล่อ!
ฉันเบ้หน้ากอดอกมองหน้าแม่ด้วยความไม่พอใจนักที่นางคิดว่าฉันเป็นคนหลงรูปลักษณ์ภายนอก ตาฉันมองแม่ ก่อนจะปรายหางตามองรูปอีตาเหลนบ้านนั้นผ่านๆ ก็ไม่ได้หล่อเอาเท่าไหร่... แค่หน้าขาว จมูกโด่ง ตาเรียวชั้นเดียวดูตี๋ๆ ริมฝีปากไม่บางออกไปทางอวบอิ่ม สวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวสลับน้ำเงิน...
เอ๊ะ ดูไปดูมาเริ่มจะหล่อมากละ...
“ก็งั้นๆ แน่ะ ไม่เห็นจะดีอะไรขนาดนั้น ละดูจากที่ชอบถ่ายรูปโคลสอัพนางต้องเตี้ยแน่ๆ แม่อยากได้หลานเตี้ยหรือไง” ฉันพยายามจะบลั๊ฟผู้ชายในรูป เขาต้องเป็นพวกใช้ร้อยแอพต่อหนึ่งรูปแหง และที่ถ่ายมาแต่หน้าก็อาจจะเป็นผู้ชายที่มีส่วนสูงแค่ร้อยห้าสิบห้าก็ได้ ฉันไม่หลงกลหรอก มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขายอมถูกคลุมถุงชนสิ
“ร้อยแปดสิบห้า”
สูงฉิบ...
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ไม่ว่ายังไงหนูก็ไม่เห็นด้วย มันเป็นเรื่องของการลิดรอนสิทธิมนุษยชน คนเราควรมีสิทธิ์เลือกคู่ตัวเองได้สิ” ฉันส่ายหัวแล้วหยิบรูปเขาขึ้นมาดูอีกที กวาดสายตาอยู่สามรอบ
อืม.....
“ถ้าแกไม่โอเค ฉันก็บังคับแกไม่ได้หรอก” แม่ฉันถอนหายใจและกำลังจะดึงรูปคืนแต่เธอก็ชะงักก่อนเมื่อฉันหยิบมันขึ้นมาดูใหม่ให้แน่ใจว่าผู้ชายในรูปไม่ได้ใช้แอพหนีบหน้าจนโลกเบี้ยว หรือปรับแสงจนขาวหลอกตา
อืม.... ไม่มีจุดใดในรูปน่าสงสัย ดูไปดูมา เขาก็หล่อดีนะ ฉันกระแอมในลำคอแล้วเก็บรูปนั่นเข้ากระเป๋า แม่มองหน้าฉันอย่างงงๆ ฉันไม่ชอบการคลุมถุงชนหรอกนะ แต่ถ้าคลุมถุงชนมันไม่ดี ประเพณีที่ว่าคงไม่มีมาถึงตอนนี้หรอก มันอาจจะมีอะไรบางอย่างก็ได้ ฉันคงปิดใจมากไปหน่อย ฉันไม่ได้แพ้ความหล่ออะไรเลย
เปล๊า!
“หนูไม่โอเคกับการคลุมถุงชน แต่หนูทนเห็นแม่ทำหน้าเสียใจไม่ได้ ไหนจะสัญญาลูกผู้ชายที่ปู่ทวดได้หมายมั่นให้ไว้ ดังนั้นหนูจะยอมแต่งงานกับเค้าก็ได้ เพราะว่าหนูเป็นคนกตัญญู”
ขอย้ำอีกครั้งว่าฉันเป็นคนกตัญญู ไม่ได้บ้าผู้ชาย
ไม่ได้ยอมเพราะเขาหล่อเลยนะ เปล๊า!!